เล่มที่ 2 บทที่ 3
ทั้งสองเดินไม่นานก็มาถึงสถานที่ทดสอบ ด้านหน้ามีศิษย์ของสำนักยืนอยู่สองคนเพื่อตรวจสอบผู้เข้าร่วมการทดสอบที่อยู่ในชุดขาวตัดฟ้า ซึ่งเป็นชุดประจำของสำนักและตรงอกมีตัวอักษรปักไว้ว่า สวรรค์
หยางอี้และเป่ยลู่เดินตรงไปทักทายก่อนจะบอกว่ามาเพื่อเข้าร่วมทดสอบและแสดงป้ายที่ได้รับมาจากผู้อาวุโสด้านหน้า ก่อนจะเข้าไปภายในหอ
เมื่อก้าวเข้ามาภายในทั้งคู่กลายเป็นตกตะลึง ภายในหอเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหล่าผู้เยาว์หลายพันคนที่มาเพื่อร่วมทดสอบ เสียงพูดคุยดังกระหึ่มไปทั่วทั้งหอ หยางอี้และเป่ยลู่เดินตรงไปยังจุดที่มีศิษย์ของสำนักนั่งอยู่เพื่อสอบถามถึงการทดสอบ
หลังจากรู้ว่าการทดสอบจะเริ่มขึ้นอีกไม่นาน และจะมีผู้อาวุโสมาบอกถึงกฎต่างๆในการทดสอบ ทั้งคู่จึงได้แต่รอเท่านั้น หยางอี้และเป่ยลู่นั้นค่อนข้างเป็นจุดสนใจอยู่บ้าง เพราะเหตุการณ์ในถนนสายหลักมีคนไม่น้อยที่ได้เห็น
“เงียบ!”
เสียงดังกังวานจนแสบแก้วหูดังออกมาจากด้านหน้าจนหลายคนถึงกับต้องเอามืออุดหู ภายในหอแห่งนี้กลายเป็นเงียบสนิททันที ชายวัยกลางคนในชุดสีครามเดินขึ้นไปบนแท่นด้านหน้าก่อนจะพูดออกมา
“ก่อนจะเริ่มการทดสอบ ข้าจะบอกรายละเอียดให้พวกเจ้าได้รู้ สำนักวิหารสวรรค์นั้นไม่ต้อนรับพวกอ่อนแอ แม้จะเป็นการทดสอบพวกเจ้าอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ หากใครไม่พร้อมให้ถอยกลับไปตั้งแต่ตอนนี้”
ชายวัยกลางคนเว้นระยะเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครถอนตัวจึงกล่าวต่อ
“ดี การทดสอบแรกจะเริ่มขึ้นที่นี่ หอแห่งนี้ชื่อว่าหอสวรรค์ ถูกสร้างขึ้นจากการร่วมมือของผู้อาวุโสสูงสุดของ 4 สำนักใหญ่ ตั้งแต่ชั้นที่ 2 ขึ้นไปจะเต็มไปด้วยความหนาแน่นของพลังปราณและแรงกดดัน การทดสอบแรกนั้นก็ง่ายๆ ภายใน 1 ชั่วยามพวกเจ้าจงขึ้นไปให้ได้สูงที่สุด และป้ายที่พวกเจ้าได้รับมาจะบันทึกแต้มของพวกเจ้าเอาไว้ และการจะผ่านการทดสอบเข้าสู่สำนักจะขึ้นอยู่กับแต้มรวมของพวกเจ้า จงทำให้ดีที่สุด เพราะการทดสอบต่อไปการจะได้รับแต้มมาจะยิ่งยากเป็นเท่าตัว”
หลังสิ้นการประกาศ เหล่าผู้เข้าทดสอบกลายเป็นฮือฮาพูดคุยกันดังกระหึ่ม มีหลายคนที่คิดว่าการทดสอบแรกจะเป็นเพียงการวัดระดับปราณธรรมดา หากเป็นเช่นนั้นคนที่มีระดับปราณถึงเกณฑ์แต่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวแต้มได้ครบตามกำหนดก็จะมีโอกาสไม่ผ่านการทดสอบ
ชายวัยกลางคนผู้ประกาศกฎการทดสอบยืนยิ้มอย่างสบายใจ คำว่า 4 สำนักใหญ่ไม่ได้มีดีเพียงแค่ชื่อ มีผู้คนมากมายใฝ่ฝันจะได้เป็นส่วนหนึ่งของทั้ง 4 สำนัก เพียงแค่เป็นข้ารับใช้หากได้ชื่อว่าเป็นคนของ 4 สำนักใหญ่แล้ว นับว่าภายในจักรวรรดิเมฆาหวนแห่งนี้ล้วนไม่มีผู้ใดอยากจะมีเรื่องด้วย เช่นการทดสอบย่อมไม่เป็นไปแบบสามัญแน่นอน ในที่นี้มีหลายคนที่คิดง่ายเกินไป และทุกปีก็จะมีคนที่คิดเช่นนี้เหมือนกัน
เหล่าคนของสำนักกลายเป็นยิ้มอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นผู้สมัคหลายคนเริ่มลนลาน จะเป็นอย่างไรหากความจริงที่ว่าปีนี้สำนักวิหารสวรรค์จะรับศิษย์สายนอกเพียง 500 คน และข้ารับใช้อีก 1000 คน เจ้าพวกผู้เข้าสมัครหลายพันคนนี้ไม่หัวใจวายตายกันก่อนหรือ หากเรื่องนี้ถูกประกาศออกไป
“เอาล่ะ เงียบๆหน่อย หอแห่งนี้มีทั้งหมด 9 ชั้น แต่ละชั้นจะได้รับแต้มที่ต่างกัน ทุกชั้นที่สูงขึ้นจะได้รับแต้มเป็นทวีคูณโดยเริ่มจากชั้นที่ 2 คือ 10 แต้ม และที่สำคัญความหนาแน่นของพลังปราณ ยิ่งชั้นสูงขึ้นก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเช่นกัน และมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับพวกเจ้า แต่จงจำไว้ว่ามีเวลาเพียง 1 ชั่วยามเท่านั้น”
หลายคนเมื่อได้ฟังก็ยิ่งกลายเป็นตื่นเต้น โอกาสเช่นนี้มิได้หาได้ง่ายๆแน่นอน
“อ้อ และสุดท้าย เนื่องจากผู้อาวุโสของ 4 สำนักนั้นล้วนจิตใจกว้างขวางจึงได้ทิ้งสมบัติมากมายไว้ภายใน ยิ่งสูงขึ้นคุณค่าของมันก็จะมากขึ้นเช่นกัน บางทีพวกเจ้าอาจจะมีโชคได้รับหนึ่งหรือสองอย่าง”
หลังจากกล่าวจบ ชายวัยกลางคนหยุดไปเล็กน้อย เพื่อดูอาการของผู้เข้าทดสอบ และก็เป็นไปดังคาด หลายคนล้วนถูกความโลภเข้าครอบงำทันที และเหตุนี้คือสิ่งที่เขาได้กล่าวไว้ว่า การทดสอบอาจจะมีการตายเกิดขึ้น จะเป็นอย่างไรหากมีบางคนได้รับบางอย่างแต่อีกหลายคนไม่ได้รับมัน
“จากนี้ข้าขอประกาศเริ่มการทดสอบได้ หากใครพร้อมจงก้าวขึ้นสู่ชั้นที่ 2 ได้เลย ป้ายประจำตัวจะเริ่มนับเวลาเมื่อพวกเจ้าก้าวเข้าสู่ชั้นที่ 2 และจะส่งพวกเจ้าออกมาเมื่อครบ 1 ชั่วยาม และหากใครต้องการออกมาก่อน จงถ่ายพลังปราณเข้าสู่ป้ายก็จะสามารถออกมาได้ทันทีเช่นกัน และภายในครึ่งชั่วยามใครไม่เข้าร่วมการทดสอบจะถูกตัดสิทธิ์ออกทันที ใช่แล้วหลายสิ่งนั้นถูกค้นพบไปในปีก่อนๆจึงทำให้เหลือสมบัติอยู่ไม่มากนัก ขอให้พวกเจ้าโชคดี”
หลังจบคำ ผู้เข้าทดสอบนับ 1,000 คนต่างวิ่งแห่กันเพื่อเข้าสู่ชั้นที่สองอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าไม่มีใครอยากพลาดโอกาสนี้ ทุกคนย่อมรู้ถึงความเสี่ยง แต่หากคิดดีๆเพียงไปให้ถึงชั้นบนก็จะได้รับแต้มทันทีและหากมีโชคพบบางอย่างก็สามารถนำกลับออกมาได้ทันทีเช่นกัน
หยางอี้และเป่ยลู่ยังคงยืนอยูใกล้ๆกับศิษย์ของสำนัก ชายหนุ่มมองไปรอบๆ พบว่ามีหลายคนยังคงรั้งรออยู่เช่นกัน ความจริงนั้นสมบัติเป็นเพียงตัวล่อ หากได้รับก็ถือว่าดีไป หากไม่ได้ยังมีโอกาสอีกมากมายในอนาคตที่จะได้รับพวกมัน แต่ทว่าความหนาแน่นของพลังปราณภายในหอแห่งนี้มีโอกาสไม่บ่อยที่จะได้สัมผัสมัน เวลา 1 ชั่วยามแม้จะดูเหมือนน้อยนิดแต่หากขึ้นไปในชั้นที่สูงขึ้นการบ่มเพาะจะต้องก้าวหน้าขึ้นอย่างแน่นอน
“ถือว่าเป็นเวลาดี ข้านั้นค้างอยู่ในระดับนี้มานานแล้วและยังไม่ค่อยมีเวลาบ่มเพาะพลังปราณอย่างเต็มที่ เพราะเรื่องวุ่นวายหลายๆอย่าง”
หยางอี้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข สำหรับผู้อื่นมีเวลา 1 ชั่วยามยังถือว่าได้รับประโยชน์อย่างมากแต่สำหรับเขาเมื่อเข้าสู่มิติพิเศษจะมีเวลาถึง 10 ชั่วยาม
“ดูเหมือนปีนี้คงจะมีหลายคนที่ได้รับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง กระทั่งอาจจะมีคนตายจำนวนมาก”
ศิษย์ของสำนักบางคนกล่าวออกมาเมื่อมองเห็นความโลภในสายตาของผู้เข้าทดสอบ หยางอี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจึงหันมามองเมื่อได้ยินการสนทนาของพวกเขา
“เฮ้อ แน่นอนสิ ผู้อาวุโสจางเป็นคนคุมการทดสอบ เจ้าคิดรึว่ามันจะเป็นไปอย่างราบรื่น”
“แน่นอนว่าไม่ ผู้อาวุโสจางขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดและโหดเหี้ยม โชคดีเมื่อปีก่อนที่ข้าเข้าทดสอบไม่เป็นผู้อาวุโสจาง”
กลุ่มศิษย์มองหน้ากันอย่างขยาดก่อนจะมีบางคนหันมาเห็นหยางอี้ที่กำลังมองมาทางพวกเขาอย่างสนใจ
“เฮ้เจ้าหนู เจ้าไม่เข้าไปรึ”
ศิษย์คนหนึ่งกล่าวถามหยางอี้ขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนั้นหยางอี้และเป่ยลู่จึงเดินเข้ามาทักทายตามมารยาท หยางอี้เองก็อยากได้ข้อมูลมากขึ้นเช่นกันจึงกล่าวออกไปอย่างนอบน้อม
“ยินดีที่ได้พบศิษย์พี่ทั้งหลาย ข้าหยางอี้และนี่คือเป่ยลู่สหายของข้า”
เมื่อได้ยิน ศิษย์ทั้งกลุ่มกลายเป็นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีบางคนเอ่ยถามออกมา
“เจ้านามว่าหยางอี้งั้นหรือ เจ้ารู้จักแม่นางเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงหรือไม่”
เมื่อได้ยิน หยางอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะมีลางสังหรณ์ว่าจะต้องเจอเรื่องวุ่นวายเข้าอีกแล้ว ก่อนจะถามออกไปด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ใช่แล้ว นางทั้งสองคือ น้องสาวของข้าเอง มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกนางหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำตอบ หลายคนกลายเป็นตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่ผู้นำของกลุ่มจะหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆ น้องสาว? เจ้าหนูโชคดีที่เจ้าเจอเป็นกลุ่มของพวกข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าต้องเจอเรื่องวุ่นวายเป็นแน่”
ด้วยมารยาทและความนอบน้อมของหยางอี้ ทำให้ศิษย์กลุ่มนี้ประทับใจไม่น้อย เพราะเท่าที่พวกเขารู้มา หยางอี้ของเทพธิดาทั้งสองนั้นจะได้รับการดูแลโดยหนึ่งในสามผู้อาวุโสสูงสุดของสำนัก ‘เหล่ยโหลว’ แต่ทว่ากับศิษย์สายนอกเช่นพวกเขา หยางอี้ไม่มีความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” หยางอี้กลายเป็นงุนงงเมื่อได้ยินคำของศิษย์คนนี้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัย
“หืม ก่อนอื่นข้าขอถามให้แน่ใจอีกครั้ง เจ้ากับนางทั้งสองเป็นพี่น้องกันแน่หรือ”
“ข้าและพวกนางรู้จักกันตั้งแต่ยังเด็กและนางทั้งสองก็เปรียบดังน้องสาวของข้า”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ฮี่ๆ ยังไงเจ้าก็ได้เข้าสำนักเราอยู่แล้ว ในฐานะศิษย์พี่ ข้าจะบอกให้ นางทั้งสองเปรียบดังเทพธิดาของสำนักเราในตอนนี้ ด้วยความงดงามและความสามารถกระทั่งได้รับการฝึกที่สนับสนุนจากผู้อาวุโสสูงสุด มันทำให้นางทั้งสองโดดเด่นอย่างมาก และแน่นอนพวกนางย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษมากมาย มีหลายคนพยายามตีสนิทกับพวกนางกระทั่งพวกศิษย์สายในก็ไม่เว้น และเจ้าทายสิคำตอบที่พวกนั้นได้รับคืออะไร”
หยางอี้เมื่อได้ฟังเรื่องราวก็พอใจเข้าใจขึ้นมาบ้าง นางหนูสองคนนี่มีอาวุธอันร้ายกาจอยู่กับตัวทำไมเขาจะไม่รู้ หยางอี้พลันฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบถามออกไป
“ท่านอย่าบอกนะว่าพวกนาง....”
“ฮ่าๆ คำตอบของนางทั้งสองเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ข้ามีสามีแล้วคือท่านพี่หยางอี้ฮี่ๆ ทีนี้เจ้ารู้หรือยังว่าชื่อของเจ้ามันโด่งดังแค่ไหน เจ้าคิดว่ามีกี่คนล่ะที่หมายปองพวกนาง”
หยางอี้ได้แต่ตบหน้าผากกับคำพูดของทั้งสอง ก่อนที่ศิษย์อีกคนจะกล่าวขึ้นมาบ้าง
“เฮ้อ ข้าคิดว่าความสามารถที่โดดเด่นของพวกนางคือ ฝีปากอันร้ายกาจและความเอาแต่ใจมากกว่า”
“ใช่ ข้าเห็นด้วย”
ทั้งกลุ่มกล่าวออกมาพร้อมกันแม้แต่หยางอี้ก็ไม่เว้น เหลือเพียงเป่ยลู่ที่ยังคงรับฟังเรื่องราวอย่างงุนงง
“ช่างมันเถอะ ข้าชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว ว่าแต่พวกนางสบายดีหรือไม่”
“แน่นอน ตอนนี้พวกนางกำลังเก็บตัวบ่มเพาะพลังปราณตามคำสั่งผู้อาวุโสอยู่”
“เป็นเช่นนั้น เฮ้อ ดูเหมือนข้าจะมีโชคอยู่บ้าง”
หยางอี้กล่าวออกมาพร้อมถอนหายใจทำให้ทั้งกลุ่มอดหัวเราะกันขึ้นมาไม่ได้
“เอาล่ะศิษย์น้อง ข้าจะบอกเจ้าสักเล็กน้อย การจะผ่านด่านทดสอบแรกเจ้าต้องขึ้นไปอย่างน้อยชั้นที่ 4 และอย่าพลาดโอกาสในการเก็บเกี่ยวล่ะ ข้าคิดว่าเจ้ารู้ว่าข้าหมายถึงอะไร”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณพวกท่านมาก”
หยางอี้แยกออกจากกลุ่มมาเฝ้าดูสถานการณ์อีกครู่หนึ่ง เมื่อจำนวนคนเหลือไม่มากและเวลาก็ใกล้จะหมดแล้วจึงหันมากล่าวกับเป่ยลู่
“ไปเถอะ ได้เวลาแล้ว”
ทั้งคู่เดินตรงไปยังบันไดหินขนาดใหญ่ที่ทอดยาวเป็นวงกลมเพื่อขึ้นสู่ชั้นที่สอง เมื่อเดินขึ้นมาจนสุดทาง ทั้งคู่พบประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้างอยู่แต่ทว่าไม่สามารถมองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน คล้ายบรรยากาศภายในประตูบิดเบี้ยวอยู่ตลอดเวลา
ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน เมื่อหยางอี้พยักหน้าให้สัญญาณทั้งคู่ก็เดินฝ่าบรรยากาศนั้นเข้าสู่ประตูไป
วูปปปป
เมื่อผ่านเข้ามา ความกดดันเริ่มถาโถมเข้าหาทั้งสองทันที แต่เพียงแค่นี้ยังไม่สามารถทำอะไรทั้งคู่ได้ หากเทียบกันความกดดันนี้มากกว่าบันไดหินทางเข้าลานทดสอบเพียงเล็กน้อยแต่ทว่า...
“สุดยอด สมคำร่ำลือจริงๆ”
หยางอี้อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น ทันทีที่เข้ามานั้นไม่เพียงแค่แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา แต่พลังปราณธรรมชาติอันหนาแน่นภายในหอนี้ทั้งสองก็สัมผัสได้เช่นกัน
“นายน้อย นี่มันเกินไปแล้ว ขนาดชั้นนี้ยังหนาแน่นกว่าข้างนอกถึงสองเท่าแล้วชั้นต่อไปเล่า โอ ข้าไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ”
เป่ยลู่กล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นเช่นกัน ด้วยความหนาแน่ของพลังปราณเช่นนี้ แม้จะมีเวลาไม่มาก แต่ประโยชน์ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
“รีบไปเถอะ เวลามีไม่มาก”
หยางอี้กล่าวออกมาก่อนจะเดินนำเป่ยลู่เพื่อมุ่งไปยังบันไดขึ้นสู่ชั้นต่อไป
ภายในชั้นที่สองนั้นเป็นเพียงลานกว้างโล่งๆ โดยรอบแถวกำแพงจะมีแท่นหินวางต่อกันมากมาย ดูเหมือนจะเป็นที่สำหรับผู้ที่ต้องการบ่มเพาะพลังปราณ หยางอี้มองไปโดยรอบมีผู้เข้าทดสอบเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ด้านหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่รั้งรออยู่ตั้งแต่แรกเหมือนกับพวกหยางอี้ที่เริ่มจะทยอยกันเข้ามาแล้ว
ด้วยความรวดเร็วหยางอี้และเป่ยลู่ตรงมาจนถึงบันไดทางขึ้นชั้นที่ 3 เพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่าทั้งคู่ตรงขึ้นสู่ชั้นถัดไปทันที
หยางอี้ก้าวผ่านมวลบรรยากาศที่ปิดกั้นระหว่างประตูเข้ามาพร้อมกับเป่ยลู่ และทันทีที่ก้าวเข้ามาหยางอี้ถึงกับต้องขมวดคิ้ว แม้ความหนาแน่นของพลังปราณสมควรจะทำให้ตื่นเต้นก็จริงแต่ทว่าตอนนี้กลับมีอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ทันที่เมื่อก้าวเท้าเข้ามาภายในชั้นที่ 3
“กลิ่นคาวเลือด”
หยางอี้พูดออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับขมวดคิ้ว เป่ยลู่นั้นรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าการที่ชั้นที่ 3 นี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งกรุ่นไปทั่วไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เป่ยลู่จับดาบข้างเอวเตรียมพร้อมไว้ก่อนจะถามกับหยางอี้
“นายน้อยเอาไงดี ข้าว่ามันชักจะแปลกๆนะ”
“อืม เตรียมพร้อมไว้ก่อน เราจะไปถามคนข้างหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น”
หยางอี้และเป่ยลู่เดินตรงไปตามทางเดิน ภายในชั้นที่ 3 นี้ไม่ได้เป็นลานกว้างเหมือนชั้นที่ 2 แล้ว หยางอี้พบว่า ทางชั้นที่ 3 ดูเหมือนจะเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่มีหลายเส้นทาง หยางอี้เลือกเส้นทางหนึ่งก่อนเดินไปตามทาง
ตลอดทางกลิ่นคาวเลือดยังคงมีอยู่เรื่อยๆ และยิ่งตรงเข้าไปลึกเท่าไหร่มันยิ่งรุนแรงมากขึ้น เส้นทางที่หยางอี้เลือกนั้นที่ผ่านมามีทางแยกออกไปหลายทางที่ตรงไปสู่ห้องเล็กๆ และเมื่อเข้าไปสำรวจดูเหมือนมันจะเป็นห้องสำหรับบ่มเพาะพลังปราณ
หยางอี้และเป่ยลู่เดินมาได้ไม่นานก็พบคนกลุ่มแรกที่มีกันอยู่ 3 คนกำลังเดินย้อนกลับมา เพื่อหาห้องสำหรับบ่มเพาะพลังจึงตรงเข้าไปเพื่อถามถึงสถานการณ์ของชั้นนี้ทันที
“พี่ชาย ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมที่นี่ถึงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด”
ชายคนที่ถูกถามหันมาตอบหยางอี้อย่างหัวเสียทันที
“เจ้าคงเพิ่งมาสินะ เป็นเพราะเจ้าพวกตัวบัดซบกลุ่มหนึ่ง มันตั้งด่านเรียกเก็บค่าผ่านทางไปชั้นที่ 4 น่ะสิ หากใครไม่จ่ายมันก็ไม่ให้ผ่านไป จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นมีคนตายไปเยอะเลยล่ะ ตอนนี้นอกจากพวกที่ยอมจ่ายก็ติดกันอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้านี่เอง ส่วนพวกที่ถอดใจแล้วก็จะหาห้องเพื่อบ่มเพาะพลังปราณแล้วไปหวังกับแต้มในรอบที่ 2 แทนเหมือนพวกข้านี่แหละ”
“อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณมากพี่ชาย”
“เจ้าเองก็ควรย้อนกลับไปหาห้องเสียเถอะ ข้าเตือนด้วยความหวังดี ข้าไปล่ะ”
หลังจากพูดจบ ทั้งสามก็แยกย้ายกันเพื่อหาห้องทันที ด้านหยางอี้ที่ได้ฟังก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าจะปรากฏรอยยิ้มที่ทำให้เป่ยลู่ถึงกับขนลุกซู่
หยางอี้เดินนำเป่ยลู่ไปตามทางที่ผู้ทดสอบทั้งสามคนได้บอกไว้ไม่นานก็พบทางเข้าโถงขนาดใหญ่
หยางอี้ยังไม่เข้าไปในทันที แต่ยืนสังเกตอยู่ด้านหน้าก่อน เพราะดูเหมือนมีคนสองกลุ่มกำลังโต้เถียงกันอยู่ ภายใน หยางอี้มองหาแต่กลับไม่พบศพผู้เข้าทดสอบเลยสักคน สำหรับคนที่บาดเจ็บก็พอจะมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก ที่เหลืออยู่ดูเหมือนจะเป็นพวกที่รวมตัวกันต่อต้านพวกเก็บค่าผ่านทาง หยางอี้หยิบป้ายที่ได้รับออกมาดูครั้งหนึ่งก็พบว่าตอนนี้ที่ใต้ชื่อของเขามีหมายเลขซึ่งเป็นแต้มปรากฏออกมาคือ 40 แต้ม
‘หากเป็นเช่นที่ข้าคิด ด้านนอกจะไม่เกิดสงครามกันงั้นหรือนี่ ทางสำนักนี่โหดร้ายไม่เบา’
มีผู้ร่วมทดสอบมากมายที่เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ทรงอำนาจ หากพวกเขารู้ว่าลูกหลานพวกนี้ตายจะทำอย่างไร แน่นอนว่าหากตกตายลงเพราะการทดสอบย่อมเป็นเพราะความอ่อนหัดของพวกเขาเอง ทางตระกูลจึงได้แต่ยอมรับเพราะสำนักได้ประกาศแล้วว่ามีความเสี่ยงถึงชีวิต และให้ถอนตัวตั้งแต่แรก แต่ทว่าหากถูกผู้อื่นสังหารเล่า แล้วผู้ร่วมทดสอบที่ตายไปมีกี่คนกันด้านนอกคงวุ่นวายมิใช่น้อย
“อู่จาง ไอ้พวกบัดซบ หลีกทางไปเดี๋ยวนี้”
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มต่อต้านพูดออกมาอย่างเกี้ยวกราด
“ฮ่าๆ อันจิ่ว หากไม่จ่ายเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ขึ้นไป”
ชายนามอู่จางกล่าวออกมาอย่างยิ้มกระหย่อง อันจิ่วได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้น ลำพังเพียงอู่จางเขาไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย ทั้งคู่ล้วนอยู่ในปราณขั้นก่อตั้งจิตขั้นกลางเฉกเช่นเดียวกัน แต่ทว่าชายผมสีน้ำตาลยาวลงมาปกคลุมใบหน้าจนมิอาจเห็นดวงตาที่นั่งอยู่ด้านหลังพวกนั้นตรงทางขึ้น เพราะการมีอยู่ของชายคนนั้น ทำให้พวกกลุ่มต่อต้านมิกล้าเคลื่อนไหวเข้าโจมตีฝ่าไป
“เสี่ยวยิ่งจื้อ เจ้าเป็นถึงอัจฉริยะลำดับ 5 ของรุ่นเยาว์แห่งเมืองหลวง เหตุใดจึงกระทำเรื่องเช่นนี้”
“…..”
อันจิ่วได้แต่กัดฟันกรอดอีกครั้งเมื่อไร้เสียงตอบกลับมา หลายคนคิดว่าชายคนนั้นอาจจะหลับไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
“อันจิ่ว อย่าได้ทำอะไรโง่ๆหน่อยเลย เจ้าคิดว่ารวบรวมพวกอ่อนแอมาเช่นนั้นจะผ่านไปได้เรอะ หากไม่จ่ายค่าผ่านมาก็กลับไปซะ”
อู่จางยังคงกล่าวยั่วยุอีกครั้ง ทว่าอันจิ่วก็มิกล้าพอจะบุกเข้าไป เสี่ยวยิ่งจื้อนั้นอยู่ในระดับก่อตั้งจิตขั้นปลายก็หนักหนาพอควรแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสฝ่าไป ด้วยจำนวนคนพวกเขามีมากกว่าเกือบเท่าตัว แต่ทว่าเบื้องหลังของเสี่ยวยิ่งจื้อนั้นคือปัญหาใหญ่ที่ทำให้อันจิ่วต้องคิดหนัก
ทว่าการทดสอบเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ การได้เข้าสำนักย่อมต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว อันจิ่วหันไปปรึกษากับพรรคพวกผู้ร่วมอุดมการณ์ ไม่นานก็ตัดสินใจจะใช้กำลังฝ่าไป
เสี่ยวยิ่งจื้อเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกอันจิ่ว เสี่ยวยิ่งจื้อลุกขึ้นยืนก่อนจะนำอาวุธซึ่งเป็นดาบยาวใบหนาขนาดใหญ่ออกมาก่อนจะเดินลากดาบตรงไปยังพวกของอันจิ่วทำให้บางคนถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทุกคนที่นี่ต่างได้เห็นความโหดเหี้ยมของเขามาแล้ว มี 8 คนที่ตกตาย และอีกนับร้อยที่บาดเจ็บสาหัสด้วยคมดาบของเขา
“อย่าไปกลัวมัน เรามีคนมากกว่าจะจัดการมันไม่ได้ให้รู้ไป”
อันจิ่วกล่าวปลุกใจพรรคพวกอีกครั้ง ความกังวลเริ่มลดน้อยลง อย่างไรเสี่ยวยิ่งจื้อแม้จะเก่งกาจก็ยังเป็นเพียงผู้เยาว์เฉกเช่นเดียวกัน หากเจอรุมกลุ้มเช่นนี้ย่อมมิอาจทานทนได้นานเป็นแน่
เสี่ยวยิ่งจื้อเพียงเผยรอยยิ้มอันน่าหวาดหวั่นก่อนเดินตรงเข้ามาอย่างช้าๆ แน่นอนว่าเขารู้ดีหากโดนคนกลุ่มนี้รุมกลุ้มเข้ามาจริงๆ เขาเองก็ย่อมมิอาจทานทนได้ แต่ทว่า..
วูปปป
ฉับ!
การเคลื่อนตัวหนึ่งครั้งและหนึ่งคมดาบที่มาจากเสี่ยวยิ่งจื้อ ส่งผลให้แขนข้างหนึ่งของผู้เยาว์ด้านหน้าขาดกระเด็นลอยล่องอยู่ในอากาศพร้อมกับสายโลหิตที่พุ่งกระฉูดออกมาไม่หยุดหย่อน
อ้ากกกก
เสียงร้องจากความเจ็บปวดก้องกังวานสลักลงในจิตใจพวกเขาอย่างฝังลึก
การรวมกลุ่มเช่นนี้ย่อมแตกออกโดยง่าย เพราะจิตใจของแต่ละคนต่างเคยพ่ายแพ้มาแล้วครั้งหนึ่ง หากโดนกะเทาะอีกครั้งไฉนเลยจะคงทนอยู่ได้ การใช้จำนวนเข้าว่าย่อมชนะแน่นอนนั่นคือความจริง ทว่าล้วนไม่มีผู้ใดเต็มใจเป็นผู้เสียสละเพื่อให้คนอื่นก้าวไปถึงชัยชนะแน่นอน
พลันกลุ่มของอันจิ่วกลับกลายเป็นถอยกลับหลังเหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังคงยืนอยู่เคียงข้างเขา อันจิ่วตอนนี้ย่อมยอมแพ้แล้วแน่นอนแต่เดิมหวังคิดใช้คนอื่นเป็นบันไดเพื่อก้าวไปสู่ชัยชนะในครั้งนี้แต่เมื่อหลายคนถอนตัวออกไปแล้วเขาจะกล้าเผชิญหน้ากับเสี่ยวยิ่งจื้อได้อย่างไร
หยางอี้ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่หน้าทางเข้าเริ่มเคลื่อนไหว เวลานั้นมีจำกัดหากรั้งอยู่นานกว่านี้มีแต่จะทำให้ตัวเขาและเป่ยลู่จะสูญเสียผลประโยชน์มากขึ้นเรื่อยๆ
เสี่ยวยิ่งจื้อเมื่อจัดการเรื่องวุ่นวายเสร็จเขาก็กลับไปนั่งยังบันไดทางขึ้นเช่นเดิม แม้จะได้รับหน้าที่เฝ้าทางขึ้นชั้นที่ 4 ทว่าเขาเองก็จำต้องบ่มเพาะพลังเช่นกันใครจะยอมสูญเสียผลประโยชน์เช่นนี้
อู่จางเมื่อเห็นกลุ่มของอันจิ่วถอยกลับไปก็ย่อมต้องกล่าววาจายั่วยุซ้ำเติมอยู่แล้ว เขาและอันจิ่วแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคู่กัดกันก็มิผิดไป
หยางอี้เดินนำเป่ยลู่ตรงไปยังกลุ่มของอู่จางที่ขวางทางขึ้นชั้นที่ 4 อยู่อย่างไม่เร่งรีบ เสียงถ้อยคำหยาบคายยังคงดังออกมาจากปากของอู่จางไม่หยุดหย่อนก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นหยางอี้และเป่ยลู่ที่เดินตรงมาทำให้เขายิ้มกระหย่อมเมื่อมีเหยื่อมาให้รีดไถอีกแล้ว อู่จางนั้นมั่นใจว่าหยางอี้คงจะได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่แน่นอน
“ฮ่าๆ คุณชายหากต้องการผ่านไปจงจ่ายมา 1 แสนเหรียญทองหรือไม่ก็ 10 แต้ม เป็นค่าผ่านทาง”
หยางอี้เมื่อได้ฟังก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต้มคะแนนสามารถโอนถ่ายให้กันได้ด้วยหรือ เหตุใดจึงไม่มีการแจ้งเมื่อเริ่มเข้าทดสอบ
“พี่ชายหากข้าต้องการจ่ายเป็นแต้มต้องทำอย่างไร”
หยางอี้ดวงตากระจ่างวูปหนึ่งก่อนจะถามออกไป อู่จางเมื่อได้ยินว่าหยางอี้จะจ่ายเป็นแต้ม เขายิ่งยิ้มอย่างยินดี จึงได้นำป้ายออกมาแล้วกล่าวกับหยางอี้
“เพียงเจ้านำป้ายออกมาติดกันและถ่ายลมปราณเข้าไปก็จะสามารถจ่ายแต้มได้ตามจำนวน”
หยางอี้เมื่อเข้าใจก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนแววตาจะหรี่เล็กลงจนอู่จางขมวดคิ้วแน่น
“เช่นนั้นเพื่อทดแทนที่พวกเจ้าขวางทางทำให้ข้าเสียเวลา 10 แต้มสำหรับการละเว้นโทษ”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างชัดเจนจนทำให้ผู้คนที่ได้ยินอ้าปากค้าง ไอ้บ้านี่มันเสียสติหรือไง
อู่จางเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาทันที เขาลอบสำรวจลมปราณหยางอี้แล้วว่าอยู่ในระดับก่อตั้งจิตขั้นกลางเฉกเช่นเดียวกับเขา แถมด้านเขายังคงมีคนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องนับรวมเสี่ยวยิ่งจื้อเลยด้วยซ้ำ
“มารดาเจ้าเถอะ สารเลวคงต้องการถูกทุบตีใช่หรือไม่ หากเจ้าไม่จ่ายมา 30 แต้มข้าจะทุบตีเจ้าจนตาย จัดการมัน”
อู่จางสั่งการลูกสมุนทันทีพร้อมกับตัวเขาที่พุ่งเข้าหาหยางอี้หมายจะทุบตีด้วยเช่นกัน แต่ทว่าก่อนอู่จางจะลงมือกลับมีเงาสายหนึ่งมาปรากฏเบื้องหน้าของเขาก่อนจะตบลงไปยังใบหน้าของเขาจนกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น ทำให้ทุกคนตะลึงจนอ้าปากค้างเพราะผู้ที่ลงมือคือเสี่ยวยิ่งจื้อ
“ขออภัยที่คนของข้าเสียมารยาทต่อคุณชายหยาง”
บรรยากาศภายในห้องโถงกลายเป็นเงียบกริบ ผู้คนต่างตกตะลึงงุนงงกับการกระทำของเสี่ยวยิ่งจื้อไม่เว้นแม้แต่หยางอี้เช่นกัน
“เจ้ารู้จักข้า?”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างงงๆ ตัวเขาจำได้อย่างแม่นยำว่าเพิ่งเคยพบเจอเสี่ยวยิ่งจื้อวันนี้เป็นครั้งแรก แต่เหตุใดเขากลับรู้จักตนเองได้ อีกทั้งการกระทำของเสี่ยวยิ่งจื้อยิ่งน่าสงสัย
“ชื่อเสียงของคุณชายหยางโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงเหตุใดข้าจะมิรู้จักกัน”
‘โด่งดัง? คุณชายหยาง? หยางไหนฟ่ะ’
ความคิดของอันจิ่วและผู้คนอื่นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ความสงสัยบังเกิดจนมากล้น ตัวตนของหยางอี้ที่ทำให้เสี่ยวยิ่งจื้อพูดจาด้วยอย่างเคารพเป็นผู้ใดกันแน่
หยางอี้เมื่อฟังคำของเสี่ยวยิ่งจื้อก็เริ่มลำดับเหตุการณ์ได้อย่างเข้าใจแต่ทว่าความเคลือบแคลงยังคงมีอยู่เพราะว่า บุรุษผมยาวผู้นี้มิน่าจะเคยเห็นเขามาก่อนแต่ทำไมกลับระบุได้ทันทีว่าเขาคือหยางอี้
“ข้ายังคงไม่เข้าใจ แน่นอนว่าเจ้าและข้าพบกันเป็นครั้งแรก แต่เหตุใดเจ้าจึงระบุตัวตนของข้าได้ในทันที”
เสี่ยวยิ่งจื้อเงยหน้าเผยให้เห็นแววตาประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะตอบคำของหยางอี้
“ทางราชวงศ์ได้แจกจ่ายภาพวาดของท่านไปให้แก่ตระกูลใหญ่ทั่วทั้งเมืองหลวงเพื่อป้องกันการผิดพลาดเฉกเช่นตระกูลจุยและไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นระหว่างทดสอบ”
“บัดซบ! วุ่นวาย? หมายถึงข้า?”
หยางอี้พลันกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจก่อนจะสงบลงแล้วเริ่มครุ่นคิดอีกครั้งหนึ่ง
‘ให้มันได้อย่างนี้สิ ข้ากลายเป็นนักโทษหรืออย่างไรถึงกับต้องส่งภาพวาดข้าไปทั่วเมืองเช่นนี้ ดีเหมือนกันหากทางราชวงศ์กระทำการโดยไม่ถามความเห็นข้าเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจพวกเขาเช่นกัน มาดูกันว่าเรื่องจะให้มีผลประโยชน์ให้ข้ากอบโกยเท่าใดกัน’
เสี่ยวยิ่งจื้อมองดูหยางอี้อย่างแปลกประหลาด หากให้กล่าวตัวเขาย่อมรู้วีรกรรมของหยางอี้เพราะเหล่าตระกูลใหญ่ต่างรู้ความจริงที่ตระกูลจุยถูกริบรอนอำนาจ แต่ทว่าหากให้กล่าวจริงๆ หยางอี้คือตัววุ่นวายตามที่เขาสงสัยมิผิดแน่นอน
“เมื่อเรื่องเป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าจะไม่พูดมาก ส่งแต้มพวกเจ้ามาคนละ 20 แต้มและเจ้าตัวบัดซบนั่นคือ 40 แต้ม”
หยางอี้พูดออกมาพร้อมมองไปยังร่างของอู่จางที่กำลังลุกขึ้นมาอย่างงุนงง ด้านเสี่ยวยิ่งจื้อเมื่อได้ยินก็ขมวดคิ้วก่อนจะถามออกมา
“มันมิมากไปหน่อยหรือคุณชาย พวกข้าเองก็มิได้คิดจะขวางทางท่าน”
“เจ้าคิดว่าการที่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ผ่านไปกี่นาทีแล้ว หากไม่มีพวกเจ้าขวางทางข้าย่อมไปถึงชั้นที่ 4 แล้วแน่นอน อีกอย่างผู้ใดมันคิดจะปล้นข้าก่อนกัน”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย ทำให้เสี่ยวยิ่งจื้อได้แต่ถอนหายใจ เขาย่อมรู้ดีว่าไม่สามารถต่อกรกับหยางอี้ได้ และถึงแม้จะสามารถ เขาก็ยังคงไม่อาจฝ่าฝืนคำสั่งได้อยู่ดี
เสี่ยวยิ่งจื้อนำแต้มทั้งหมดออกมาถ่ายโอนให้หยางอี้อย่างไรค่าผ่านทางที่เก็บมาก็มีอยู่ไม่น้อยหากจะถ่ายโอนให้หยางอี้ไปก็มิได้หนักหนาเท่าใดนัก
เหล่าลูกสมุนของเสี่ยวยิ่งจื้อพลันใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อเสี่ยวยิ่งจื้อนำแต้มส่วนกลางมอบให้กับหยางอี้แทนที่จะเรียกเก็บจากพวกเขา หากจะมีคนที่สีหน้าบูดเบี้ยวก็คงมีเพียงอู่จางที่หยางอี้สั่งให้นำแต้มของเขามา 40 แต้ม มิใช่แต้มกองกลาง
หยางอี้ยิ้มกระหย่อมยินดี คนของเสี่ยวยิ่งจื้อมีถึง 24 คน ทำให้หยางอี้ได้รับแต้มมาถึง 500 แต้ม โดยหยางอี้แบ่งให้เป่ยลู่ 100 แต้มและเก็บไว้ 400 แต้ม
หลังจากเสร็จสิ้นธุระหยางอี้เดินนำเป่ยลู่ไปยังชั้น 4 โดยไม่เสียเวลาทันที แต่ก่อนจะเหยียบย่างขึ้นไปก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
“เดี่ยวก่อนน้องชายหยาง”
หยางอี้หันกลับมาก่อนจะพบว่าผู้ที่พูดขึ้นนั้นคืออันจิ่ว เมื่อหยางอี้หันมาอันจิ่วเร่งกล่าวขึ้นในทันที
“พวกข้านั้นหวังว่าท่านจะมีคุณธรรมช่วยเปิดทางนำพวกเราขึ้นไปยังชั้น 4 ด้วย”
หยางอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แผนการของเขาที่ใช้ให้ผู้อื่นเป็นโล่ทำไมหยางอี้จะดูไม่ออก กระทั่งตอนนี้เขายังกล้าใช้คำพูดในการกดดันหยางอี้ แต่ทว่าเขามิรู้เสียแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับผู้ใด
“40 แต้มสำหรับเจ้า และ 10 แต้มสำหรับคนอื่นเพื่อติดตามข้า”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างเมินเฉยแต่ทว่าคำพูดของเขากลับเป็นการตบใบหน้าของผู้หวังจะติดตามฉาดใหญ่ และไม่นานด้วยคำพูดของอันจิ่วเหล่าผู้เยาว์กว่าร้อยคนก็ตะโกนสาบแช่งหยางอี้ไม่หยุดหย่อน
หยางอี้หาได้สนใจไม่เขาเดินตรงไปยังทางขึ้นทันทีก่อนจะหันมาหาเสี่ยวยิ่งจื้อและกล่าวบางอย่างก่อนจะจากไป
“เจ้าช่วยบอกพวกโง่นั่นทีสิว่ากำลังถูกเจ้านั่นหลอกใช้”
หลังจากหยางอี้จากไปเสี่ยวยิ่งจื้อสั่งให้อู่จางไปบอกแก่คนอื่นว่าโดนเจ้าอันจิ่วหลอกใช้มาเช่นใด ผลจึงทำให้อันจิ่วต้องหลีกหนีการรุมด่าทอไปยังห้องเล็กเพื่อบ่มเพาะพลังทันที
“หัวหน้าจะดีหรือที่ปล่อยมันไปแบบนี้”
อู่จางกล่าวถามออกมา
“เจ้าโง่ แน่นอนว่าในผู้สมัครหลายพันคนนั้นยังมีอีกหลายคนที่สามารถจัดการมันได้ แต่ทว่าในจำนวนนั้นไม่ใช่ทั้งเจ้าละข้า”
เสี่ยวยิ่งจื้อกล่าวออกมาพร้อมถอนหายใจ แม้แต่นายน้อยของเขายังมิมีความสามารถพอจะจัดการหยางอี้หากจะมีที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันคงเป็นสหายของนายน้อย เขาผู้นั้นที่มีเบื้องหลังไม่แพ้หยางอี้
หยางอี้เมื่อเดินมาถึงทางเข้าชั้นที่ 4 ก็เดินฝ่าม่านพลังขึ้นมาทันที
ตึง
อั่กก
หยางอี้นั้นยังคงสามารถยืนอยู่ภายใต้แรงกดดันชั้นที่ 4 อย่างสบายแต่ทว่าเป่ยลู่นั้นเมื่อก้าวผ่านม่านพลังมานั้นถึงกับร่างทรุดลงไปนั่งชันเข่ากับพื้นก่อนจะใช้เวลาไม่นานในการปรับลมหายใจและลุกยืนขึ้นมา
หยางอี้มองไปยังเป่ยลู่ที่ร่างกายสั่นเทิ้มจากการทนรับแรงกดดันอันหนักหน่วงเช่นนี้ หยางอี้นั้นเข้าใจได้ในทันทีว่าผู้ทดสอบที่ติดอยู่ชั้นที่ 3 นั้นแม้จะขึ้นมาได้แต่ก็มิสามารถไปต่อได้ทุกคนแน่นอนบางทีอาจจะมีหลายคนที่ต้องถอยกลับไปด้วยซ้ำ ในผู้ที่เข้าทดสอบหลายพันคนก็คงมีแต่พวกไก่อ่อนที่โดนรีดไถอยู่ด้านล่างเพราะหากผู้ที่มีพลังพอจะก้าวขึ้นมานั้นพวกของเสี่ยวยิ่งจื้อย่อมมิอาจขัดขวางได้
“นายน้อยข้าคงไปต่อมิไหวแล้ว ข้าจะหาที่เพื่อบ่มเพาะพลังในชั้นนี้”
เป่ยลู่กล่าวออกมาซึ่งหยางอี้ก็เข้าใจและไม่คิดจะให้เป่ยลู่ฝืนตามไปด้วยอยู่แล้ว ทั้งสองนัดเจอกันที่ด้านนอกก่อนที่หยางอี้จะเดินแยกออกมาเพื่อตรงไปยังชั้นที่ 5
ระหว่างทางหยางอี้พบเห็นหลายคนกำลังนั่งบ่มเพาะพลังปราณอยู่ตามแท่นหินต่างๆที่ตั้งกระจายอยู่โดยรอบลานกว้างของชั้นนี้
ผู้เข้าทดสอบต่างไม่มีใครสนใจหยางอี้นักแต่ละคนต่างกอบโกยผลประโยชน์ของตนโดยมิยอมปล่อยเวลาให้สูญเปล่า
หยางอี้เดินผ่านผู้เข้าทดสอบคนอื่นโดยมิสนใจเช่นกัน ก่อนจะมาหยุดยังประตูบานใหญ่ที่มีม่านพลังกั้นขวางไว้เช่นเดิม หยางอี้แปลกใจไม่น้อยที่ครั้งนี้กลับไม่ต้องขึ้นบันไดแต่กลับพบประตูทางเข้าได้ทันที ชายหนุ่มไม่รอช้าและย่างก้าวเข้าสู่ชั้นที่ 5 ทันที ชั้นที่เป็นเขตแดนกั้นขวางระหว่างอัจฉริยะและคนธรรมดาสามัญ
ครึ้ม!
ทันทีที่ย่างกายเข้ามาภายในชั้นที่ 5 หยางอี้พลันรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้ามาทันที จนชายหนุ่มอดที่จะสบถออกมามิได้
“บ้าจริง! หอแห่งนี้มันใช้เกณฑ์อันใดในการกำหนดแรงกดดันกัน”
หยางอี้เริ่มหลับตาโคจรพลังปราณเข้าสู่ทักษะซ่อนจันทร์ทันที ด้วยแรงกดดันแรกที่ถาโถมเข้ามาถึงกับทำให้ชายหนุ่มมิอาจก้าวขาออกไปได้ หากเปรียบเทียบระหว่างชั้นที่ 5และ 4 แรงกดดันของชั้นที่ 5 นั้นมากกว่าถึง 5 เท่า
เมื่อโคจรพลังปราณไปทั่วร่างกาย หยางอี้ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ พลังแรงกดดันถูกขวางกั้นด้วยพลังปราณอ่อนๆที่ครอบคลุมไปทั่วร่างกายหยางอี้ ทำให้ตอนนี้มิได้รับผลกระทบจากแรงกดดันแม้แต่น้อยเช่นตอนแรกที่เข้ามาแล้ว
“ทักษะของอาจารย์สารพัดประโยชน์ดังที่กล่าวโม้ไว้เยอะจริงๆ”
หยางอี้อดมิที่จะยิ้มออกมาบางๆ เมื่อนึกถึงตาแก่ร่างอ้วนที่กล่าวคำโอ้อวดเยินยอตนเองในการสร้างทักษะนี้ขึ้นมาอยู่ถึง 3 วัน
และเมื่อแรงกดดันหายไปสมาธิทั้งหมดจึงอยู่กับสัมผัสพลังปราณธรรมชาติที่อัดแน่นเทียบเท่ากับแรงกดดัน ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างยินดีพลังปราณเช่นนี้สามารถทำให้ตัวเขาพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดแน่นอน
หยางอี้เดินไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ก่อนจะพบกับบันไดขนาดใหญ่ที่กว้างสุดสายตา แต่ละขั้นล้วนมีผู้เข้าทดสอบมากมายจับจองเพื่อบ่มเพาะพลังปราณกันอย่างเนืองแน่น หยางอี้มองแล้วรวมๆชั้นนี้มีผู้เข้าทดสอบอยู่ราวแปดร้อยกว่าคน และแน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นอัจฉริยะที่ภาคภูมิใจในตัวเอง
ทันทีที่ผู้มาใหม่ก้าวมายืนบันไดชั้นล่าง เหล่าอัจฉริยะหลายคนเปิดตาขึ้นเพื่อมองดู สำหรับผู้เยาว์จากต่างเมืองต่างต้องลอบสำรวจหยางอี้อยู่แล้วเพราะทุกคนในที่นี้คือคู่แข่งกัน ทว่าเหล่าอัจฉริยะแนวหน้าของเมืองหลวงเมื่อเห็นหยางอี้ต่างละความสนใจไปในทันที พวกเขาเชื่ออยู่แล้วว่าหยางอี้ที่สามารถเอาชนะจุยสงที่ถือครองทวนโลหิตทมิฬขณะคลุ้มคลั่งได้ย่อมต้องมาถึงชั้นนี้เป็นแน่ อีกทั้งยังมีค่ำสั่งห้ามยุ่งกับเขาจากทางราชวงศ์ จึงมิมีผู้ใดคิดจะข้องเกี่ยวกับหยางอี้
ตอนนี้เวลาผ่านมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว หยางอี้มิต้องการเสียเวลาอีกต่อไปจึงเดินมุ่งหน้าขึ้นสู่บันไดเพื่อก้าวเข้าสู่ชั้นที่ 6 ทันที
ขณะก้าวผ่านแต่ละชั้นหลายคนจ้องมองหยางอี้อย่างตะลึง เพราะทุกย่างก้าวของเขาเป็นไปอย่างเรียบง่ายและผ่อนคลายราวกับแรงกดดันของชั้นนี้มิสามารถทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย
ตึก ตึก ตึก
ไม่นานหยางอี้ก็ก้าวมาสู่ชั้นบนสุด เบื้องหน้าปรากฏประตูบานใหญ่และม่านพลังที่กั้นขวางระหว่างชั้นที่ 5 และ 6 เอาไว้ เหล่าผู้เยาว์หลายคนต่างเริ่มให้ความสนใจกับหยางอี้ที่บัดนี้ยืนอยู่หน้าประตูแล้ว
“เฮ้ๆ เจ้านั่นมันใครกัน คิดจริงๆหรือว่าจะผ่านไปได้”
“ฮ่าๆ มารอดูผลกันดีกว่า ข้าไม่คิดว่าจะมีสัตว์ประหลาดอีกตนโผล่ออกมาหรอกนะ”
แม้จะสนใจ แต่นั่นกลับเป็นการรอคอยดูเรื่องตลกเสียมากกว่า หลายคนในที่นี้เคยลองพยายามผ่านม่านพลังนี้ไปแล้ว แต่สุดท้ายก็โดนดีดจนกระเด็นกลิ้งไปตามบันไดอย่างน่าอนาถ และพวกเขาทุกคนที่นี่ต่างอยู่ในขั้นปลายของปราณตั้งจิตกระทั่งบางคนครึ่งก้าวสู่ปฐพียังมิอาจฝ่าม่านพลังนี้ไปได้ แต่กับสัมผัสที่พวกเขาได้รับจากหยางอี้คือ ก่อตั้งจิตระดับ 6 ยังไม่บรรลุถึงขั้นสูงเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าพวกโง่ คิดจริงๆหรือว่าเขาไม่อาจผ่านไปได้”
หนึ่งในผู้เฝ้ามองคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาขณะมองเหยียดไปยังสองคนที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเขาคือหนึ่งในผู้เยาว์ของเมืองหลวงที่ได้รับรู้วีรกรรมของหยางอี้
“บัดซบ! เจ้าตาถั่วหรือไง อย่างเจ้าสารเลวนั่นน่ะเรอะจะผ่านไปได้”
หนึ่งในผู้โดนดูถูกกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล ทว่าผู้เยาว์ของเมืองหลวงกลับยิ้มเยาะก่อนจะกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าบ้านนอก ข้าขอพนัน 20 แต้มว่าเขาจะผ่านไปได้เจ้ากล้าไหมล่ะ”
“ฮ่าๆ ย่อมได้หากเจ้ามีแต้มเหลือขนาดทิ้งขว้างเช่นนั้นข้าก็มิขัดข้อง”
เขายิ้มออกมาอย่างยินดีและกล่าวออกมาทำให้เรียกความสนใจของหลายๆคนบริเวณใกล้เคียง ไม่นานเหล่าผู้เยาว์ของเมืองหลวงคนอื่นล้วนไม่ยินดีที่ผู้ท้าพนันคนแรกจะได้รับโชคแค่คนเดียวจึงเริ่มหาคู่พนันกับพวกที่เดินทางมาจากต่างเมืองทันที
ภายในห้องประชุมใหญ่ของห้องโถงชั้นหนึ่ง เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์บางส่วนของสำนักกำลังติดตามการเคลื่อนไหวของผู้เข้าทดสอบอย่างใกล้ชิดผ่านกระจกบานใหญ่ที่ระบุถึงตำแหน่งของแผ่นป้ายแต่ละอันโดยมีชื่อและแต้มเป็นตัวบ่งชี้ถึงผู้เข้าทดสอบ
ผู้อาวุโสจางผู้คุมการทดสอบที่หนึ่งนั่งยิ้มอย่างพอใจ ขณะจ้องมองไปยังกระจกตำแหน่งที่มีป้ายระบุตัวตนอยู่ 6 อัน เพราะนั่นคือชั้นที่ 6
“ฮ่าๆ ดูเหมือนปีนี้วิหารสวรรค์ของเราจะโชคดีไม่น้อยที่ได้สัตว์ประหลาดพวกนี้มาถึง 6 คน”
เหล่าผู้อาวุโสต่างเอ่ยชมเชยอย่างยินดีเช่นกัน วิหารสวรรค์นั้นมิได้รับศิษย์อัจฉริยะจำนวนมากแบบนี้มาหลายปีแล้ว ในปีก่อนๆอย่างมากก็ไม่เกิน 2 คนที่ไปถึงชั้นที่ 6 ได้ กระทั่งชั้นที่ 5 ยังมีถึง 800 กว่าคนจึงทำให้พวกเขาล้วนยินดีกันมิน้อย
ศิษย์คนหนึ่งได้ฟังขึ้นก็ได้แต่ยิ้มเหยเกก่อนจะเอ่ยถามบางเรื่องออกไป
“ผู้อาวุโสจาง ปีนี้เพียงการทดสอบแรกก็มีการถ่ายโอนแต้มแล้วจะให้ทำอย่างไรกับผู้เปิดเผยเรื่องนี้ดีขอรับ”
“หืม เรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นปล่อยมันไปเถอะตอนนี้ข้ากำลังอารมณ์ดีอยู่ ดีเสียอีกที่มีคนปล่อยข่าวไปการทดสอบจึงได้เข้มข้นเช่นนี้ ฮ่าๆ”
เหล่าศิษย์ที่ติดตามมาช่วยงานต่างยิ้มเจื่อน ทุกคนรู้ดีถึงนิสัยของผู้อาวุโสจางจึงได้แต่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
“นั่น!”
ศิษย์บางคนกล่าวออกมาเสียงดังทำให้เหล่าผู้อาวุโสหันมามองอย่างตำหนิก่อนที่อาวุโสจางจะตวาดออกมาเสียงดัง
“สารเลว จะตะโกนหาบิดาเจ้าเรอะ”
“มีคนขึ้นมายังชั้นที่ 6 ขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าผู้อาวุโสต่างหันไปมองยังกระจกบานใหญ่อย่างพร้อมเพรียงก่อนที่อาวุโสจางจะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“ฮ่าๆ ในที่สุดเจ้าก็มา”
ครึ้ม!!
บัดนี้หยางอี้กำลังโคจรพลังปราณอย่างยากลำบาก เหตุเพราะทันทีที่ก้าวผ่านมายังชั้นที่ 6 เกราะปราณที่ใช้ในการป้องกันแรงกดดันของชั้นที่ 5 เริ่มปริแตกออกอย่างรวดเร็วและหากมันสูญสลายไปเมื่อใดแน่นอนว่าชายหนุ่มต้องได้รับบาดเจ็บภายในเป็นแน่
หยางอี้มิก้าวเท้าไปยังด้านหน้าอีกต่อไปชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งลงหน้าประตูและเริ่มโคจรพลังปราณตามแบบทักษะซ่อนจันทร์ทันที ไม่นานใบหน้าที่ขาวซีดและชุ่มไปด้วยเหงื่อก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หยางอี้ค่อยๆลืมตาขึ้นและมองไปยังสายตาทั้ง 6 คู่ที่กำลังจดจ้องมาที่เขา
ชาย 3 คนและหญิง 1 คนนั่งอยู่ในระนาบเดียวกับเขา และอีกหนึ่งหญิงหนึ่งชายนั่งอยู่บริเวณกลางห้องโถงห่างออกไป บ่งชี้ถึงระดับที่เหนือกว่าทั้ง 4 คนรวมถึงตัวหยางอี้อย่างชัดเจน
“เฮ้ๆ ใครกันล่ะนั่น” หนึ่งใน 4 คนที่อยู่ในระนาบเดียวกับหยางอี้พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เขามีนามว่าหยางอี้ มาจากเมืองธาราสวรรค์” ผู้เยาว์ใบหน้าคมคายร่างกำยำตอบออกมา
“หืมม ข้าคิดว่าเป็นคนจากเมืองหลวงของเจ้าเสียอีกเปียวเหว่ย” ผู้เยาว์ร่างเล็กกล่าวขึ้นมาบ้างก่อนที่เสียงอิสตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มจะพูดออกมาบ้าง ก่อนนางจะหลับตาลงเข้าสู่การบ่มเพาะอีกครั้ง
“พวกเจ้าเอาเวลามาสนใจตัวเองก่อนไหม”
หยางอี้ได้ฟังการสนทนานั้นอยู่บ้างแต่ก็มิได้ใส่ใจนัก ทว่าชายหนุ่มกลับให้ความสนใจกับสองคนที่อยู่ตรงกลางห้องเสียมากกว่า พวกเขาเพียงลืมตามองหยางอี้แค่ชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะมิได้สนใจอีก
‘4 คนตรงนี้ดูเหมือนจะอยู่ขั้นปฐพีระดับหนึ่งใกล้จะระดับสองแล้ว ส่วนสองคนนั้นคงใกล้จะบรรลุระดับ 3 แล้ว’
หยางอี้พลันฮึกเหิมขึ้นมาบ้าง เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ก้าวล้ำเหนือผู้อื่นล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่นเสมอมา จะมีสักกี่คนในรอบร้อยปีนี้ที่มิได้อยู่ในสำนักใหญ่แต่กลับก้าวถึงระดับปฐพีก่อนอายุ 20 ปี
หยางอี้เลิกสนใจทุกสิ่งรอบตัวและเริ่มทำความเข้าใจกับแรงกดดันตามเคล็ดซ่อนจันทร์ทันที เป้าหมายของชายหนุ่มคือห้องเล็กห่างออกไปทางด้านข้าง หยางอี้จำเป็นต้องเข้าสู่มิติพิเศษและตัวเขาเองยังมิแน่ใจนักว่าเมื่อเข้าสู่ภายในแล้วด้านนอกจะเป็นอย่างไร แต่ที่สำคัญเมื่อเข้าสู่มิติพิเศษแล้วตัวเขาล้วนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้อย่างเต็มที่
เมื่อหยางอี้คุ้นชินแล้ว หยางอี้ก็ลุกขึ้นทันทีเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องเล็กๆด้านข้างสุดทาง เป็นเหตุให้อีก 4 คนลืมตาขึ้นมองดูอีกครั้งเมื่อหยางอี้เคลื่อนไหว คราแรกพวกเขาตกใจอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นทิศทางที่หยางอี้ก้าวไปพวกเขาก็เลิกใส่ใจเพราะดูเหมือนหยางอี้เพียงขยับห่างออกไปเท่านั้นมิได้ก้าวล้ำเกินหน้าพวกเขาแม้แต่น้อย
เมื่อเข้ามาภายในห้องชายหนุ่มไม่รีรอเริ่มทำสมาธิเข้าสู่การบ่มเพาะในมิติพิเศษทันที ตอนนี้เวลาเหลือเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ชายหนุ่มไปถึงครึ่งก้าวสูปฐพีเป็นอย่างน้อย
ณ ห้องโถงชั้นที่หนึ่งตอนนี้มีหลายคนแล้วที่ออกจากการทดสอบเมื่อครบตามเวลาที่อาวุโสจางกำหนด มีทั้งคนที่ใบหน้าดำคล้ำด้วยความผิดหวังและคนที่ลิงโลดไปด้วยความยินดี
กำหนดเวลาสิ้นสุดการทดสอบเหลืออีกเพียงไม่นานตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์จากสำนักต่างเร่งรีบเตรียมการทดสอบถัดไปกันอย่างวุ่นวาย ส่วนผู้อาวุโสจางนั้นเมื่อหมดหน้าที่คุมการทดสอบที่หนึ่งแล้วก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดสอบต่อไปอีกแต่อย่างใด ทว่าตอนนี้ภาพแปลกประหลาดกลับปรากฏขึ้นในสายตาของเหล่าศิษย์จนพวกเขาล้วนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“ฮี่ๆ ท่านปู่ข้าอยากขี่คอท่านอีก นะนะนะเจ้าค่ะ”
“ฮ่าๆ แม่หนูน้อยนี่ มาท่านปู่คนนี้จะพาเจ้าไปเดินเล่นข้างนอกเอง”
อาวุโสจางกล่าวออกมาก่อนจะยกเด็กน้อยที่กำลังเล่นเคราของเขาขึ้นไปขี่คอและพาออกเดินไปภายนอกหอทดสอบ
“แม่หนูนั่นเป็นใครกัน”
“ข้าไม่คิดว่าผู้ที่โหดเหี้ยมเช่นนั้นจะมีด้านนี้กับคนอื่นด้วย”
“นี่ข้าฝันไปรึเปล่านะ”
เหล่าผู้คนที่รู้จักถึงนิสัยใจคอของอาวุโสจางต่างเริ่มนินทากัน เมื่อได้เห็นชายหน้าเหี้ยมพาแม่หนูน้อยขี่คอหัวเราะร่าเดินไปตามทาง ช่างเป็นภาพที่แปลกตายิ่งนัก
ภายในห้องลับของตึกตระกูลจุย ปรากฏคน 2 คนกำลังยืนสนทนากันอยู่ หนึ่งคือจุยจีและอีกหนึ่งคือชายสวมชุดคลุมสีดำยาวปกปิดทั้งตัว
“เจ้ามีปัญหาหรือไม่กับภารกิจที่ได้รับ”
ชายในชุดคลุมกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่ว่าพวกท่านแน่ใจนะว่าแผนการนี้จะสำเร็จแน่นอน”
จุยจีกล่าวถามออกมาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ การลงมือครั้งนี้ส่งผลต่อการอยู่รอดของคนทั้งตระกูลจุย เขาจะกระทำการโดยขาดความรอบคอบมิได้
“เฮอะ เจ้าคิดว่ากำลังพูดสิ่งใดอยู่”
ชายในชุดคลุมกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ พร้อมกับปล่อยแรงกดดันออกมาจนจุยจีหน้าซีดเผือด ก่อนจะหยิบกล่องไม้สีดำออกมาส่งให้กับจุยจี
“นี่คือสิ่งที่จะช่วยให้เจ้าทำงานได้ง่ายขึ้น”
“เช่นนั้นเมื่อถึงวันที่พระราชวังต้องห้ามเปิดออก ข้าจะลงมือทันที ขอให้ท่านรักษาสัญญาในการดูแลคนของตระกูลข้าด้วย”
“แน่นอน เจ้ามิต้องห่วงเรื่องนั้น เพียงทำงานของเจ้าให้ลุล่วงก็พอ”
ชายในชุดคลุมกล่าวออกมาก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
“หวังว่าการตัดสินใจของข้าจะถูกต้อง”
จุยจีกล่าวออกมาพร้อมมองไปยังเบื้องหลังของชายชุดคลุมสีดำที่มีตัวอักษรสีแดงปักอยู่สามคำ
“สังหารฟ้า”
***
ปัง!
เสียงการทะลวงระดับลมปราณดังลั่นภายในตันเถียนของหยางอี้ จนส่งผลให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นเทิ้มไปด้วยความยินดี กระแลสมปราณที่ปล่อยออกมาจากร่างของเขาบัดนี้หนาแน่นขึ้นกว่าเก่าหลายเท่านัก ผิวกายถูกผลัดเปลี่ยนจนขาวเนียนทว่าแข็งแกร่งดุจหินผา กระดูกและเส้นเอ็นถูกสร้างขึ้นใหม่จนแข็งแกร่งดังเหล็กกล้า กระบวนการต่างๆเกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าบัดนี้ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนอย่างถ่องแท้แล้ว ระดับปฐพีขั้นที่ 1 ชนชั้นของผู้มุมานะที่จะก้าวเข้าสู่การฝึกฝนลมปราณอย่างแท้จริง
หยางอี้ค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อออกจากมิติพิเศษ สัมผัสของชายหนุ่มกลายเป็นเด่นชัดขึ้นจนสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่รอบกายได้อย่างชัดเจน บัดนี้หยางอี้สามารถทนรับแรงกดดันของชั้นนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาอีกต่อไปแล้ว
“มิน่าเชื่อว่าข้าจะทะลวงเข้าสู่ขั้นปฐพีได้ 4 สำนักใหญ่ที่สามารถสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาได้นับว่าน่ากลัวอย่างแท้จริง ข้ามิแปลกใจเลยที่พวกเขาอยู่เหนือคนทั้งจักรวรรดิเมฆาหวน”
หยางอี้สัมผัสได้ทันทีว่าตอนนี้ในชั้นที่ 6 เหลือเขาอยู่เพียงผู้เดียว ดูเหมือนอีก 6 คนจะถูกส่งออกไปตามเงื่อนไขของเวลาแล้ว และอีกเพียงไม่นานหยางอี้ก็จะถูกส่งออกไปเช่นกัน
หยางอี้ใช้เวลาที่เหลือเล็กน้อยนี้ในการเดินสำรวจชั้นที่ 6 เพื่อหวังว่าจะโชคดีได้รับบางอย่างติดมือก่อนจะออกไป
‘ตามที่คิด ยิ่งเดินเข้ามาลึกแรงกดดันยิ่งมากขึ้น ทั้งสองคนที่มาถึงกลางห้องได้นับว่าไม่ธรรมดาเลย’
หยางอี้ลอบชื่นชมในความสามารถของผู้เยาว์ทั้งสองที่ก้าวมายังกลางห้องได้ ตัวเขาในตอนนี้แม้จะอยู่ในขั้นปฐพีแต่หากปราศจากทักษะซ่อนจันทร์เขาเองก็มิแน่ใจนักว่าจะสามารถเดินมายังจุดนี้ได้
หลังจากใช้เวลาเดินสำรวจจนทั่วห้องโถงหยางอี้ก็ได้แต่ผิดหวังเพราะนอกจากแรงกดดันที่มากขึ้นแล้วเขามิได้พบอะไรอีกเลย ทว่าห้องโถงนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชั้นที่ 6 เท่านั้น เมื่อเดินไปยังสุดโถงหยางอี้พบว่ายังมีทางเชื่อมต่อออกไปอีกแต่ด้วยกระแสลมปราณและแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดทำให้ชายหนุ่มไม่เสี่ยงเดินฝ่าเข้าไป
วูปปป
แสงสีทองส่องสว่างออกมาจากป้ายข้างเอวของชายหนุ่มก่อนที่แสงนั้นจะครอบคลุมรอบตัวและส่งเขาออกมายังห้องโถงใหญ่ของชั้นที่หนึ่ง
หยางอี้ค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงผู้คนรอบข้างที่บ่งบอกว่าตัวเขาได้ออกจากการทดสอบแล้วพร้อมๆกับเสียงของผู้อาวุโสจางที่ประกาศสิ้นสุดการทดสอบ