เล่มที่ 2 บทที่ 1
“ขึ้นมา”
สิ้นเสียงของจุยสงผู้คนตื่นจากภวังค์โห่ร้องกันอย่างคับคั่ง คำท้าทายของผู้ชนะที่ส่งถึงผู้ชนะอีกคนเพื่อตัดสินว่าใครคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในราตรีนี้
หยางอี้ยิ้มเหี้ยมมองไปยังจุยสงบนเวที สำหรับผู้อื่นร่างชายหนุ่มกำยำที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ยืนถือทวนเล่มสีแดงที่ปลดปล่อยออร่าพลังปราณอันเข้มข้นออกมา อาจจะทำให้พวกเขาหวาดกลัว แต่กับหยางอี้แล้วมันต่างกันสิ้นเชิง
สภาพจุยสงในตอนนี้ทั้งร่างกายและสภาพจิตใจมิได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะต่อสู้มากนัก พลังปราณก็สูญเสียไปไม่น้อยจากการต่อสู้กับเฒ่าชู
“แน่นอน”
หยางอี้ตอบรับคำท้าทายของจุยสงก่อนจะลุกยืนขึ้น แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวเดินออกไป ด้านหลังก็มีเสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดังขึ้น
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าวันนี้ท่านผู้ดูแลปู้หยุนจะมาชมการประลองด้วย”
หยางอี้หันกลับไปเล็กน้อยเพื่อมองดูเจ้าของเสียง
“อ่า คารวะท่านอำมาตย์ฝ่ายซ้าย ข้าเพียงเสร็จกิจธุระไวจึงถือโอกาสมาตรวจดูหอเดิมพัน”
ปู้หยุนประสานมือคารวะพร้อมกับตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาทางหยางอี้เพื่อแนะนำให้ทั้งสองได้รู้จักกัน
“คุณชายหยาง นี่คือท่านจุยฮวาง อำมาตย์ฝ่ายซ้ายของราชวงศ์”
หยางอี้ที่หันหน้ากลับมาพอดีก็หมุนตัวกลับเพื่อประสานมือคารวะจุยฮวาง
“ผู้เยาว์คารวะท่านอำมาตย์”
“ฮ่าๆ หนุ่มน้อยมากความสามารถ”
จุยฮวางพูดออกมา แน่นอนว่าเขาย่อมสังเกตหยางอี้มานานแล้ว และหยางอี้ก็มิได้แปลกใจอะไรเพราะแซ่ของจุยฮวางนั้นเหมือนกับจุยสง ด้านปู้หยุนก็ทำเพียงลอบสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
“ได้ยินว่าเจ้ากับหลานชายของข้ามีความคับข้องใจกันเล็กน้อย แน่นอนว่าลูกผู้ชายย่อมตัดสินกันด้วยกำลัง จงใช้ฝีมือของเจ้าทั้งสองพูดคุยกับบนลานประลองเถิด”
จุยฮวางพูดออกมาพร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันระดับปฐพีขั้นสูงออกมา หยางอี้นั้นเมื่อต้องรับแรงกดดันจากจุยฮวางโดยตรง ทำให้เขาอึดอัดไม่น้อย แต่ก็มิได้ถึงกับแสดงอาการ ผิดกับปู้หยุนที่ตอนนี้ใบหน้าเขาเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาเล็กน้อย เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น
ด้านจุยฮวางเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเบื้องหน้าไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ทำให้เขารู้สึกเสียหน้า จึงเพิ่มแรงกดดันเต็มที่ให้พุ่งไปยังหยางอี้คนเดียว
“อ่า ท่านจุยฮวาง ข้าได้จัดเตรียมที่นั่งพิเศษให้แล้วเชิญทางนี้ขอรับ”
ปู้หยุนที่เห็นว่าเริ่มไม่ดีแล้วจึงพูดขัดขึ้นมาเพื่อคลายสถาณการณ์
“เฮอะ ใช้ได้นี่เจ้าหนู”
จุยฮวางเมื่อเห็นปู้หยุนกล่าวเชิญ จึงหยุดมือและเดินตามปู้หยุนไป แต่ก่อนจะไปเขาหันกลับมาบนเวที และได้เอ่ยเรียกจุยสงให้ลงมาพักพื้นฟูพลังปราณเสียก่อน จุยสงแม้ตอนแรกจะไม่ยินยอมแต่เมื่อเป็นคำพูดของจุยฮวางเขาเองก็มิอาจขัดขืนได้ ส่วนหยางอี้ก็กลับไปนั่งรอที่เดิมและไม่ได้กล่าวอันใดอีก
ปู้หยุนนั้นเป็นกังวล เพราะดูจากสถานการณ์แล้วจุยฮวางคงจะมาที่หอเมฆาเบ่งบานตั้งแต่เมื่อวาน และเป็นไปได้ว่าจะไม่ได้รับจดหมายจากทางราชวงศ์จึงไม่รู้ตัวตนของหยางอี้
อีกทั้งจากนิสัยของจุยฮวางนั้นหากว่าจุยสงพ่ายแพ้ให้แก่หยางอี้จะทำให้เขาเสียหน้าอย่างมาก และเรื่องที่น่ากลัวที่สุดคือจากที่ปู้หยุนสังเกตหยางอี้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะมีแผนการอะไรสักอย่างเป็นแน่
ด้านจุยสงเมื่อลงจากเวทีมา เขาก็รีบกินเม็ดยาฟื้นพลัง และเริ่มโคจรปรับพลังปราณให้อยู่ในสภาพพร้อมสู้ทันที
“หลานชาย เจ้าอย่าได้ประมาทเจ้าหนุ่มนั่นเป็นอันขาด ลุงคิดว่ามันยังคงเก็บงำฝีมือไว้อยู่”
“ท่านลุงมิต้องกังวล ด้วยทวนโลหิตทมิฬเล่มนี้ ข้าจะสับมันให้เป็นชิ้นๆ”
“หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้นก็ดี แต่การนำทวนโลหิตทมิฬออกมาเปิดเผยเร็วแบบนี้เจ้าคิดดีแล้วรึ”
“นั่นเป็นเพราะข้าประมาทเจ้าแก่นั้นเกินไป แต่ท่านมิต้องกังวล ยังไงเสียในการประลอง 5 สำนักข้าก็ต้องใช้มันอยู่ดี”
ทั้งสองคุยกันไม่นานก็ได้เวลาขึ้นลานประลองตามประกาศของกรรมการ จุยสงแยกตัวออกไปเพื่อขึ้นลานประลอง ด้านปู้หยุนหลังจากตรวจสอบบางอย่างเสร็จก็เดินมาหาจุยฮวางเพื่อจะพูดคุยเรื่องของหยางอี้
“การประลองรอบชิงชนะเลิศของราตรีนี้กำลังจะเริ่ม ขอให้นักสู้ทั้งสองฝ่ายขึ้นมาบนลานประลอง”
สิ้นเสียงกรรมการหยางอี้และจุยสงต่างเหินร่างขึ้นยังลานประลองพร้อมๆกัน ตอนนี้จุยสงหลังจากได้พักและเปลี่ยนชุดแล้วก็กลับมาอยู่ในมาดของบุรุษหนุ่มผู้องอาจอีกครั้ง
ทั้งสองยืนประชันหน้ากัน จุยสงนั้นยิ้มอย่างพอใจ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขารอคอยมานาน นั่นคือการทุบตีหยางอี้เจ้าเด็กสารเลวที่กล้ายั่วโมโหและยุ่งกับสตรีที่เขาหมายปอง โดยมิได้รู้เลยว่าตัวของจุยสงสำหรับหยางอี้นั้นก็เปรียบดังชิ้นเนื้อก้อนโตเช่นกัน
“ในที่สุดก็ได้เวลาจัดการเจ้า สารเลวอย่าหวังว่าเจ้าจะรอดไปได้”
หยางอี้เมื่อได้ยินก็ยิ้มเหี้ยมก่อนจะตอบกลับไป
“ฮ่าๆ อย่าได้เก่งแต่ปากแล้วกัน บอกตามตรงแม่นางชีหนิงนั้นถูกใจข้าไม่น้อย”
หยางอี้พูดกระซิบออกไปอย่างแผ่วเบา เพื่อยั่วโมโหจุยสงให้รีบนำทวนโลหิตทมิฬออกมา และมันก็ได้ผลเป็นอย่างมาก เมื่อทันทีที่จุยสงได้ยินเขาก็หยิบเอาทวนโลหิตทมิฬออกมาทันที และต้องการจะพุ่งเข้าไปซัดหยางอี้อย่างทนไม่ไหวกรรมการเมื่อเห็นการยั่วยุของทั้งสองฝ่ายก็รีบประกาศเริ่มการประลองทันที
จุยสงเมื่อได้สัญญาณเขาก็พุ่งเข้าหาหยางอี้ทันที ย่างก้าวมายาสวรรค์ถูกใช้ออกอย่างไม่ลังเล ด้วยความเคยชินทำให้ตอนนี้หยางอี้แทบจะไม่เสียพลังปราณในการเคลื่อนไหวเลย เหมือนกับว่าทักษะนี้กลมกลืนเป็นหนึ่งกับหยางอี้ไปแล้ว
จุยสงระเบิดพลังปราณกวัดแกว่งคมทวน ทั้งฟาดฟันและทิ่มแทงหยางอี้อย่างไม่หยุดยั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ตัวเขาและผู้คนต่างตกตะลึง เพราะทุกการโจมตีของเขานั้นทำได้เพียงสัมผัสกับร่างเงาของหยางอี้เท่านั้น
หยางอี้ยิ้มเหี้ยมเมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้ การเคลื่อนไหวของเขากลายเป็นรวดเร็วยิ่งขึ้น
หลังจากทุกการโจมตีของจุยสงพลาดเป้า หยางอี้จะเคลื่อนตัวมาอยู่ด้านหลังของจุยสงและพูดถ้อยคำเหยียดหยามและยั่วยุออกมาไม่หยุดหย่อน
จุยฮวางที่นั่งดูอยู่นั้นกลายเป็นโกรธจนใบหน้าหมองคล้ำ เพราะสภาพของจุยสงในเวลานี้ไม่ต่างอะไรจากตัวตลกที่เหวี่ยงทวนมั่วซั่วไปด้วยความโกรธอย่างไร้สติ
ภาพของจุยสงที่เหวี่ยงทวนวนไปวนมาราวกับคนบ้านั้นทำให้ผู้คนมึนงง และความมึนงงนั้นก็มาพร้อมกับความตกตะลึง เพราะบนเวทีบัดนี้ทุกที่ที่หยางอี้เคลื่อนตัวไปจะปรากฏเป็นภาพติดตาทิ้งไว้เสมอ
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้หยุด!!”
จุยสงที่โดนยั่วยุในที่สุดก็ทนไม่ไหว เขาตะโกนออกมาพร้อมกับระเบิดพลังปราณและจิตสังหารออกมาทั้งหมดเพื่อจะหยุดหยางอี้ และการกระทำนั้นเป็นเหมือนการกระตุ้นให้ทวนโลหิตทมิฬสั่นไหวขึ้นอีกครั้ง และนั่นคือสิ่งที่หยางอี้รอคอย
กึก กึก กึก
เสียงของทวนโลหิตทมิฬที่อยู่ในมือของจุยสงเริ่มสั่นขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อจิตใจของจุยสงเริ่มบ้าคลั่งและมีความต้องการที่จะสังหารหยางอี้จนถึงขีดสุด
หยางอี้มองดูปฏิกริยาของทวนที่เริ่มปล่อยแรงกดดันอันหนักหน่วงออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจว่าเจ้าของมันจะสามารถทนรับได้หรือไม่
ด้วยความไม่ประมาทหยางอี้หยิบดาบพยัคฆ์เมฆาออกมาทันที เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับจุยสงที่ตอนนี้เริ่มถูกทวนครอบงำจิตใจแล้ว
ด้านล่างเวทีนั้นทั้งปู้หยุนและจุยฮวางนั้นต่างขมวดคิ้ว สถานการณ์ตอนนี้เริ่มจะรุนแรงจนควบคุมไม่ได้แล้ว ทั้งสองคนต่างรู้ดีถึงข้อจำกัดและความสามารถของทวนโลหิตทมิฬ จะต่างกันก็ตรงที่ปู้หยุนนั้นกังวลว่าหยางอี้จะไม่สามารถรับมือจุยสงในตอนนี้ได้ และนั่นจะเป็นหายนะของหอเมฆาเบ่งบานอย่างแท้จริง
ด้านจุยฮวางนั้น เขารู้ดีเสียยิ่งกว่าปู้หยุน เพราะเขาเป็นผู้มอบทวนเล่มนี้ให้กับจุยสงเอง ดังนั้นความร้ายกาจของทวนโลหิตทมิฬเขาย่อมรู้ดีที่สุดแล้ว
จุยฮวางเมื่อสังเกตเห็นตราประทับสีดำที่ด้ามทวนเขาก็เบาใจลง หากตราประทับนั้นยังคงอยู่จุยฮวางมั่นใจว่าจุยสงยังคงไม่ถูกกลืนกินอย่างสมบูรณ์แน่นอนอย่างมากก็แค่ตกอยู่ในภาวะคลุ้มคลั่งซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก
ด้านบนลานประลอง จุยสงที่ได้รับพลังเพิ่มจากทวนโลหิตทมิฬเริ่มหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง แม้จะตกอยู่ในการควบคุมบางส่วนของทวน แต่จิตสำนึกของเขายังคงอยู่
จุยสงควงทวนอย่างเกรี้ยวกราดพุ่งเข้าหาหยางอี้หมายจะปลิดชีวิตของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าทันที
“ตาย!”
ด้านหยางอี้ที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็พุ่งเข้าปะทะเช่นกัน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาหนีแล้ว สิ่งที่หยางอี้ต้องการคือกระตุ้นให้ทวนโลหิตทมิฬคลั่ง
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงการปะทะของศาสตราวุธระดับปฐพีดังสนั่น คลื่นพลังปราณแผ่กระจายจนผู้ชมรอบข้างถูกกระแทกให้ถอยออกไปหลายก้าว บางคนถึงกับกระอักเลือดออกมาเลยทีเดียว
หยางอี้ฟาดดาบพยัคฆ์เมฆาใส่จุยสงอย่างไม่ยั้งมือ จุยสงเองก็ต้านรับด้วยทวนโลหิตทมิฬอย่างทันท่วงที ความรุนแรงของการปะทะเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากการปะทะกันอย่างรุนแรง หยางอี้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งทำให้จุยสงโดนกดดันมากขึ้นจนต้องตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียว
“พลัง พลัง ข้าต้องการพลัง”
ทวนโลหิตทมิฬเริ่มสั่นอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทำให้จุยสงสามารถใช้พลังปราณที่เข้มข้นกว่าของทวนบังคับให้หยางอี้ถอยออกไปได้
หยางอี้มองไปยังจุยสงด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย ตอนนี้ดวงตาของจุยสงแดงก่ำราวกับปีศาจที่มาจากขุมนรก ผู้คนรอบเวทีประลองต่างตกตะลึงเช่นกันที่จุยสงมีสภาพเช่นนี้ หากสังเกตดีๆดูเหมือนที่มุมปากของเขาจะมีคราบโลหิตบางๆไหลออกมาเล็กน้อย
ทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครั้ง ความรุนแรงในคราวนี้ถูกยกขึ้นอีกระดับหนึ่ง หยางอี้จำต้องถ่ายพลังปราณเข้าสู่ดาบพยัคฆ์เมฆาและเลือกเข้าปะทะในจุดถ่วงสมดุลในการโจมตีของจุยสง
จุยสงที่ได้รับพลังมากขึ้นแต่กลับไม่สามารถกดดันหยางอี้ได้เช่นเดิมทำให้เขายิ่งบ้าคลั่งยิ่งขึ้น สติของเขาตอนนี้เหลืออยู่น้อยนิดนัก ในหัวของเขามีเพียงความกระหายในการฆ่า
ผู้คนรอบลานประลองสัมผัสได้ว่าจุยสงนั้นทั้งพลังปราณและแรงกดดันที่ปล่อยออกมาในตอนนี้ล้วนมากขึ้นจากตอนแรกจนเทียบไม่ติด แต่ที่น่าแปลกคือดูเหมือนว่าหยางอี้เองก็มีพลังปราณมากขึ้นเช่นกันแม้จะไม่สามารถสัมผัสได้ เพราะการปะทะแต่ละครั้งหยางอี้มิได้เสียเปรียบจุยสงเลยแม้แต่น้อย
“สารเลวนี่แกคิดจะทำอะไร หรือว่ามันจะรู้ถึงความลับของทวนโลหิตทมิฬ”
จุยฮวางที่มองดูเหตุการณ์อยู่ด้านล่างเริ่มเป็นกังวล ตั้งแต่เริ่มต้นการประลองจนถึงตอนนี้ นอกจากการปะทะกันแล้วดูเหมือนหยางอี้จะตั้งใจยั่วยุจุยสงอยู่ตลอดเวลา และยิ่งจุยสงใช้พลังของทวนมากเท่าไหร่หยางอี้ก็จะเพิ่มพลังและกดดันจุยสงมากขึ้นเช่นกัน
“เจ้าเด็กสารเลวนี่วางแผนอะไรไว้กันแน่”
จุยฮวางลุกขึ้นยืนทันทีและเริ่มเดินไปยังพื้นที่การประลองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด
ปู้หยุนนั้น นอกจากจับตาดูการประลองก็คอยเฝ้าสังเกตจุยฮวางอยู่เช่นกัน ตัวเขาเองเตรียมพร้อมอยู่แล้วหากหยางอี้เพลี่ยงพล้ำเขาจะขึ้นไปเพื่อหยุดการประลองทันที แต่ดูเหมือนเขาจะกังวลเกินไป
‘ดูเหมือนเด็กนี่ยังซ่อนอะไรไว้อีกเยอะ ที่สำคัญจุยฮวางนั้นเริ่มจะเคลื่อนไหวแล้ว’
ปู้หยุนขยับตามจุยฮวางไปทันที เพื่อป้องกันจุยฮวางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประลอง หากจุยฮวางเลือกที่จะเข้าไปหยุดจุยสงที่กำลังถูกทวนโลหิตทมิฬครอบงำเขาจะไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย แต่เรื่องเช่นนั้นย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะคนอย่างจุยฮวางหากคิดจะหยุดการประลองเป้าหมายต้องเป็นหยางอี้อย่างแน่นอน
ปัง!
จุยสงถูกหยางอี้โจมตีด้วยการฟันดาบพยัคฆ์เมฆาออกไปอย่างเต็มแรง จนเขากระเด็นกลิ้งไปกับพื้นกว่า 5 เมตร ก่อนที่จะค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นมา
“ช่างอ่อนแอเสียจริง อย่างเจ้ามันก็มีดีเพียงแค่ลมปากเท่านั้น”
หยางอี้พูดขึ้นมาพร้อมกับมองไปยังจุยสงด้วยสายตาสมเพช ทำให้จุยสงที่เหลือสติเพียงน้อยนิดโกรธจนกระอักเลือดออกมา
“ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า อ้ากกกก”
จุยสงคำรามออกมาพร้อมกับปลดปล่อยพลังออกมาจนขีดสุด บัดนี้เขาไม่หลงเหลือสติอีกต่อไปแล้ว คลื่นพลังปราณแผ่กระจายออกจากทวนโลหิตทมิฬระลอกใหญ่ จนผู้คนรอบลานประลองกระเด็นล้มกลิ้งออกไปกว่า 10 เมตร
แพล้ง!
เสียงอันเบาบางดังขึ้นจากทวนโลหิตทมิฬ แม้จะเบาบางแค่ไหน แต่ก็ไม่พ้นสัมผัสของคนสามคนที่ได้ยินมันอย่างชัดเจน หนึ่งคือหยางอี้ที่ยิ้มออกมา เพราะเป้าหมายเขาสำเร็จแล้ว สองคือปู้หยุนที่จับตาดูด้วยความสงสัย และสุดท้ายคือจุยฮวางที่ใจเต้นสั่นระรัวด้วยความกังวล เพราะนี่คือสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น ตอนนี้ตราประทับที่ผนึกพลังของทวนไว้ถูกทำลายแล้ว
จุยฮวางเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อมองดูจุยสงที่มีโลหิตไหลออกมาทั้งตา หู จมูก ปาก จากการรับพลังอันเกินขีดจำกัดของทวนโลหิตทมิฬ เขาพุ่งเข้าหาหยางอี้พร้อมกับคำรามอย่างบ้าคลั่ง
“ตายซะเจ้าเด็กสารเลว”
วูปป
ปังง!
ก่อนที่จุยฮวางจะเข้าถึงตัวหยางอี้ก็มีร่างชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาขวางและกระแทกให้เขาถอยกลับออกไป
“ปู้หยุน!”
“ผู้ดูแล ท่านคิดจะทำอะไร” จุยฮวางคำรามลั่นออกมาเสียงดังด้วยความไม่พอใจ
“ท่านอำมาตย์ ข้าต้องขออภัยด้วย แต่ข้าว่าท่านไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเด็ก”
ปู้หยุนนั้นยังคงพูดออกมาด้วยความสุภาพ ก่อนหน้านี้หลังจากตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าจุยฮวางไม่ได้รับสารลับที่แจ้งการมาถึงของหยางอี้จากทางราชวงศ์ เดิมทีปู้หยุนตั้งใจจะกล่าวเตือนกับจุยฮวางเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องยุ่งยาก แต่เมื่อไตร่ตรองดูดีๆแล้ว นี่ไม่ใช่โอกาสอันดีหรือไง หากจุยฮวางละเมิดคำสั่งของทางราชวงศ์ และเขาเป็นผู้เข้ายับยั้งเช่นนั้นหอเมฆาเบ่งบานจะได้หน้าเต็มๆ และสถานะของเขาในตระกูลจะสูงขึ้นด้วย
“เฮอะ ท่านก็เห็นว่าเจ้าสารเลวนี่คิดจะทำอะไร อย่ามาเสแสร้งว่าไม่รู้”
“เรื่องนั้นแน่นอนว่าข้าย่อมรู้ แต่ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามกฎของการประลอง และที่หอเมฆาเบ่งบานแห่งนี้ ข้าคือผู้ตัดสินใจหาใช่ท่าน”
“นี่เจ้า”
จุยฮวางถึงกับชี้หน้าปู้หยุนด้วยความโกรธ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สามารถกู้กลับมาได้แล้ว ปู้หยุนจึงเลือกที่จะแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน
“ท่านอำมาตย์โปรดระงับโทสะและกลับไปนั่งดูยังที่นั่งดีกว่า ข้ามิอยากให้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเราต้องจบลง”
“เฮอะ ไตร่ตรองให้ดี นี่เป็นโอกาสสุดท้ายหากเจ้ายังขวางทางข้า อย่าได้หาว่าข้าไม่ไว้หน้า”
จุยฮวางกล่าวขึ้นเพื่อกดดันให้ปู้หยุนยอมถอย แต่ปู้หยุนยังคงยืนกรานเช่นเดิม และพูดตัดบทขึ้นมา
“เช่นนั้นไม่มีอะไรต้องพูดกัน”
“ดี! ย่อมได้ เช่นนั้นวันนี้ตระกูลจุยของข้าจะบดขยี้หอเมฆาเบ่งบานซะ และต่อให้ผู้นำตระกูลเจ้ามาเอง มันก็ยังคงต้องคุยกันด้วยกำลัง”
จุยฮวางคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
อ้ากกก
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ด้านบนเวทีจุยสงร้องคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด ตอนนี้ตามผิวหนังของเขาเริ่มแตกกร้าน โลหิตไหลออกตามรูทวารเมื่อสติพลันหมดไปเรียบร้อย บัดนี้ร่างของจุยสงถูกควบคุมด้วยทวนโลหิตทมิฬโดยสมบูรณ์
จุยสงลุกขึ้นมาช้าๆ ไอพลังปราณมหาศาลแผ่พุ่งออกมาจากร่างไม่หยุดยั้ง หยางอี้ที่ยืนมองอยู่ห่างไปไม่ไกลยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ทั้งหมดที่ทำไปเพียงเพราะหยางอี้ต้องการเห็นความสามารถเชิงลบของทวนเล่มนี้
หากพูดถึงด้วยความที่เป็นถึงศาสตราวุธปฐพีขั้นสูงย่อมทำให้หยางอี้สนใจในทวนเล่มนี้เป็นอย่างมากเพราะมีโอกาสไม่บ่อยที่จะได้พบศาสตราวุธขั้นสูงเช่นนี้ และที่หยางอี้ตัดสินใจวางแผนนี้ขึ้นนั่นเป็นเพราะจุยสงนั้นอ่อนแอเกินกว่าจะครอบครองทวนโลหิตทมิฬได้ หากเป็นผู้อื่นที่สามารถควบคุมและดึงพลังของมันออกมาใช้ได้ แน่นอนว่าหยางอี้ย่อมไม่กล้าจะทำเช่นนี้
‘ขึ้นไปถึงระดับปฐพีขั้นกลางเลยรึ’
หยางอี้ประทับใจไม่น้อยกับผลที่เกิดขึ้น แม้จุยสงจะก้าวไปถึงระดับปฐพีขั้นกลางด้วยพลังของทวนโลหิตทมิฬ หยางอี้ยังคงมั่นใจว่ารับมือได้ หากเกิดข้อผิดพลาดชายหนุ่มยังคงมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่เช่นกัน
ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด แม้จุยสงจะมีระดับที่สูงกว่าถึงหนึ่งช่วงชั้น แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับหยางอี้ ต้องขอบคุณอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีก่อนที่ทำให้พลังปราณทั้งหมดหายไปและเมื่อเริ่มบ่มเพราะอีกครั้งจึงทำให้หยางอี้มีเส้นลมปราณใหญ่กว่าปกติถึง 2 เท่า
ปัง!
โครมม
จุยสงถูกหยางอี้ใช้ความเร็วอ้อมมาด้านหลังและกระแทกออกไปด้วยหัตถ์หลอมตะวัน แม้จะมีเกราะปราณระดับปฐพีคุ้มกันอยู่ แต่ต่อหน้าหัตถ์หลอมตะวันขั้นที่ 5 เกราะปราณของจุยสงกลับถูกฉีกกระชากอย่างง่ายดาย
“ถอยไป!”
จุยฮวางที่ถูกปู้หยุนพัวพันอยู่เริ่มที่จะร้อนใจมากขึ้นเมื่อเห็นสภาพของจุยสง หากปล่อยไว้เช่นนี้อีกไม่นานร่างของจุยสงต้องระเบิดออกเพราะทนพลังปราณจากทวนโลหิตทมิฬไม่ไหวเป็นแน่
“ปู้หยุนถอยไป ข้าจะเข้าไปช่วยหลานข้า ข้าไม่สนใจเจ้าเด็กนั่นแล้ว”
“เฮอะ คิดว่าข้าจะเชื่อท่านเรอะ”
ปู้หยุนยิ้มเยาะในใจ ตัวเขาเองย่อมรู้ว่าจุยฮวางต้องการจะไปช่วยจุยสงจริง แต่ไหนเลยเขาจะยอมให้แผนการของเขาต้องพังลง
“ดี หากหลานข้าเป็นอะไรไปพวกเจ้าทุกคนต้องตาย โดยเฉพาะเจ้า ไอ้เด็กสารเลว”
จุยฮวางกล่าวออกมาอย่างเคียดแค้น เขาไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น จึงนำผู้ติดตามมาเพียงแค่สองคน และทั้งสองตอนนี้ก็กำลังแย่เพราะต้องรับมือกับคนของหอเมฆาเบ่งบานเช่นกัน
“อาจงถอยมา รับคำสั่ง! ประกาศระดมพลทุกคนในตระกูลจุยมายังหอเมฆาเบ่งบาน รายงานผู้อาวุโสสูงสุดด้วย วันนี้ข้าจะลบที่แห่งนี้ให้หายไปจากเมืองหลวง”
“ขอรับ”
“ไป!”
จุยฮวางซัดปราณเข้าไปขัดขวางคู่ต่อสู้ของอาจง ก่อนที่ร่างชราของอาจงจะหายวับกลายเป็นเงาพุ่งออกไป
“ท่านผู้ดูแล หากมันออกไปได้”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวออกมาและจะไล่ตามอาจงไป แต่กลับถูกปู้หยุนห้ามไว้
“รับคำสั่งเรียกระดมพลและรายงานไปยังตระกูลว่าตระกูลจุยต้องการเปิดสงครามกับหอเมฆาเบ่งบานของเรา”
กล่าวจบผู้อาวุโสคนนั้นก็รีบออกไปทันที ปู้หยุนมองไปยังหญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่ดูแลหยางอี้ ก่อนจะส่งสัญญาณให้นางทำตามแผนที่วางไว้
ตอนนี้ในใจของปู้หยุนนั้นเบิกบานยิ่งนัก ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขาได้แต่เยาะเย้ยจุยฮวางในใจ หากเป็นก่อนหน้านี้หอเมฆาเบ่งบานย่อมไม่กล้าจะมีเรื่องแตกหักกับตระกูลจุย เพราะตระกูลจุยนั้นมีจุยฮวางเป็นอำมาตย์ฝ่ายซ้ายจึงได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์อย่างเต็มที่
ตระกูลเบื้องหลังและตระกูลจุยนั้นหากเทียบกันแล้วกำลังรบของทั้งสองตระกูลนั้นพอๆกัน หากทำสงครามกันจริงแน่นอนว่าย่อมเสียหายอย่างมากต่อทั้งสองฝ่าย และตัวที่จะตัดสินคือกองกำลังของราชวงศ์ที่สนับสนุนตระกูลจุย
แต่ตอนนี้เหตุผลทั้งหมดที่เกิดสงครามคือหยางอี้ บุคคลที่ทางราชวงศ์ถึงกับต้องส่งสารลับเพื่อกล่าวเตือนมหาอำนาจภายในเมือง และตอนนี้หอเมฆาเบ่งบานเป็นผู้ออกหน้าปกป้องหยางอี้จากเงื้อมมือของจุยฮวาง คำตอบของทางราชวงศ์คงไม่ต้องเดาแล้ว สงครามครั้งนี้ทางราชวงศ์ย่อมเปลี่ยนมาสนับสนุนหอเมฆาเบ่งบานอย่างแน่นอน
“ฮึ่ม ปู้หยุนแล้วจะได้รับรู้ว่าอำนาจของตระกูลเจ้ามันเล็กน้อยนักหากเทียบกับตระกูลจุย”
“ฮ่า ๆ แล้วข้าจะคอยดู”
ปู้หยุนยิ้มตอบกลับไปอย่างเจ้าเล่ห์
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นตกอยู่ภายใต้สายตาของผู้ชมตลอด ทั้งคำพูด การกระทำ พวกคนที่มาชมการประลองต่างรับรู้กันทั้งหมด เมื่อทั้งสองตระกูลเปิดสงครามกัน จึงทำให้ผู้คนล้วนแตกตื่นรีบหนีออกจากหอเมฆาเบ่งบานกันชุลมุน และไม่นานข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงการปะทะดังก้องไปทั่วหอเดิมพัน ตอนนี้ภายในหอเหลือคนเพียงไม่กี่คน 4 คนนั้นคือปู้หยุนที่ปะทะกับจุยฮวางและหยางอี้ที่ปะทะกับจุยสง ที่เหลือเป็นผู้ติดตามของจุยฮวางอีกหนึ่งคนและผู้อาวุโสของหอเดิมพัน
การปะทะกันของทั้ง 2 คู่รุนแรงจนหอเดิมพันต้องสั่นสะเทือน คู่ของหยางอี้ยังไม่เท่าไหร่เพราะเป็นการใช้กระบวนท่าที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณฟาดฟันอาวุธใส่กัน ผิดกับปู้หยุนและจุยฮวางที่แต่ละทักษะที่ใช้ออกมานั้นมีพลังรุนแรงจนพื้นที่บริเวณนั้นถูกทำลายไปหลายจุด
“บัดซบ เจ้าสารเลวปู้หยุนหลบไป”
จุยฮวางออกคำสั่ง ปู้หยุนนั้นไม่ได้อ่อนแอกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจุยฮวางจะพยายามหาช่องโหว่เพื่อผ่านไปช่วยจุยสงกี่ครั้ง ก็ยังคงโดนปู้หยุนตามสกัดทุกครั้งไป
“ควรเป็นท่านมากกว่าที่ต้องถอยไป จุยฮวาง”
ปัง!
หลังพูดจบทั้งสองก็เข้าปะทะกันอีกครั้ง
‘ใกล้ได้เวลาปิดฉากแล้ว’
หยางอี้ที่ปะทะกับจุยสงบนเวทีเริ่มเห็นว่าร่างของจุยสงเริ่มปริแตกจนสายโลหิตไหลซึมออกมาไม่หยุดแล้ว
หยางอี้ใช้ออกด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์หลอกล่อจุยสงอีกครั้ง ก่อนจะอ้อมไปแล้วฟันดาบพยัคฆ์เมฆาเข้าที่กลางหลังจนเลือดของจุยสงสาดกระจายเต็มพื้น
อ้า!
จุยสงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหันกลับมามองหยางอี้ด้วยความเกลียดชัง ไอพลังปราณรอบตัวจุยสงเดิมทีเป็นสีแดงปนดำบัดนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นเพียงสีดำสนิทแล้ว
‘หืม ดูเหมือนยังไม่หมดแค่นี้สินะ ดีเหมือนกันเราจะได้รู้ถึงความเสี่ยงในการใช้ทั้งหมด’
หยางอี้พุ่งเข้าหาจุยสงอีกครั้งเพื่อกดดันให้ทวนโลหิตทมิฬปลดปล่อยพลังสูงสุดออกมา ครั้งนี้หยางอี้ปลดสภาวะซ่อนจันทร์ออกทั้งหมดและปลดปล่อยพลังปราณเต็มที่ออกมาก่อนจะเข้าปะทะ
การโจมตีของหยางอี้หนักหน่วงและรุนแรงจนทุกครั้งจุยสงต้องถอยร่นออกไปเรื่อยๆ หากไม่มีพลังของทวนโลหิตทมิฬคาดว่าร่างของเขาคงแหลกไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ตาย! ตาย! ตาย!”
อ้าก!
จุยสงร้องคำรามออกมาก่อนที่แรงกดดันและพลังปราณอันมหาศาลจะถูกปล่อยออกมาจากทวนโลหิตทมิฬอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
หยางอี้ที่กำลังจะพุ่งเข้าไปโจมตีจุยสงโดนพลังปราณที่ทวนปล่อยออกมากระแทกจนกระเด็นกลับไปหลายก้าวก่อนจะสำลักโลหิตออกมาคำโต
“บัดซบ นี่มันระดับปฐพีขั้นสูงแล้ว และความรู้สึกสยดสยองจากพลังปราณนี่มันอะไรกัน”
หยางอี้ไม่คิดว่าพลังของทวนโลหิตทมิฬจะมาถึงเพียงนี้ จึงมั่นใจว่าจะสามารถรับการปะทะของพลังปราณได้แน่นอน ใครจะคิดว่าศาสตราวุธเล่มหนึ่งจะเพิ่มพลังให้ผู้ใช้ได้ถึงหนึ่งช่วงชั้นเต็มๆ (10ระดับ)
“ดี มาดูกันว่าวิชาใหม่ของข้าจะสามารถรับมือได้ไหม”
วิ้ง วิ้ง วิ้ง
เสียงดังออกมาจากดาบพยัคฆ์เมฆาก่อนที่มันจะมีแสงสีส้มรองๆออกมา บรรยากาศรอบตัวดาบเริ่มสั่นไหวด้วยความร้อน จนแสงสว่างรอบดาบเริ่มชัดเจนขึ้นราวกับว่าหยางอี้กำลังถือมวลแสงที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปดาบอยู่
‘เคลือบตะวัน’
เคลือบตะวันวิชาที่หยางอี้คิดขึ้นเมื่อตอนอยู่ภายในป่าดับดารา เมื่อต้องรับมือกับสัตว์อสูรทุกวันทำให้หยางอี้บังเอิญถ่ายพลังปราณอันร้อนแรงของหัตถ์หลอมตะวันเข้าสู่ดาบพยัคฆ์เมฆา ซึ่งผลของมันทำให้พลังทำลายรุนแรงขึ้นจนตอนแรกไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้เลย และด้วยเหตุนี้ทำให้หยางอี้ได้รู้ถึงความลับของทักษะนี้ว่ามันสามารถถ่ายทอดใส่อาวุธหรือสิ่งของอย่างอื่นได้
หยางอี้พุ่งเข้าปะทะกับจุยสงอีกครั้ง การปะทะกันครั้งนี้รุนแรงมากขึ้นจนเทียบได้กับปู้หยุนและจุยสง แม้จะเป็นเพียงการปะทะกันของอาวุธแต่ด้วยพลังปราณที่อัดแน่นอยู่ภายในทำให้กำแพงโดยรอบเริ่มพังทลาย
ทั้งปู้หยุนและจุยฮวางเมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของการต่อสู้ระหว่างหยางอี้และจุยสง ก็ทำให้พวกเขาถึงกับตะลึง สำหรับจุยสงนั้นไม่เท่าไหร่เป็นเพราะรับพลังจากทวนโลหิตทมิฬจึงได้มีพลังน่ากลัวเช่นนี้ แต่... หยางอี้! ผู้เยาว์คนหนึ่งกลับมีพลังมากเพียงนี้ได้อย่างไร? ด้วยพลังระดับนี้กระทั่งสามารถรับมือกับพวกเขาได้เลยเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าจะไม่อาจมีชัยเหนือพวกเขาได้ก็ตาม
ปัง! ตูม!
ศาสตราวุธทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างตรงไปตรงมา หยางอี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหลบเลี่ยงอีกต่อไป บัดนี้ได้เวลาที่จะต้องจัดการกับจุยสงเพื่อหยุดการต่อสู้แล้ว!
“แฮ่กกๆ”
หลังจากใช้พลังปราณมหาศาลในการปะทะกันมานาน หยางอี้เริ่มเหนื่อยแล้วในตอนนี้ และการเคลือบตะวันนั้นสิ้นเปลืองพลังปราณเป็นอย่างมาก พลังปราณในร่างหยางอี้เหลืออยู่เพียง 3 ส่วนเท่านั้นหากจัดการจุยสงไม่ได้โดยเร็วจะเป็นปัญหาแน่นอนเพราะหยางอี้ต้องสำรองพลังปราณ 2 ส่วนไว้เพื่อการหนีออกจากที่นี่หากมีอะไรเกิดขึ้น
จุยฮวางที่คอยสังเกตการต่อสู้ของหยางอี้อยู่ตลอดเวลายิ้มออกมาอย่างพอใจ แม้ว่าเขาจะไปช่วยจุยสงไม่ได้แต่หากหยางอี้พลาดท่าเสียก่อนผลย่อมออกมาดีเช่นกัน
อักกก
จุยฮวางหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อเห็นจุยสงนั่งชันเข่าลงกับพื้นและพ่นโลหิตออกมาราวกับอ้วก
หยางอี้เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปด้วยความเร็วเพียงพริบตาชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวด้านหน้าจุยสงก่อนจะฟาดดาบเข้าที่ทวนโลหิตทมิฬจนกระเด็นหลุดมือจุยสงไป
“ขอบใจมากพี่ชายที่ช่วยเป็นตัวทดลองให้ข้า”
ปัง!
หยางอี้ง้างขาออกก่อนจะเตะเข้าที่ลำตัวของจุยสงจนเขาลอยกระเด็นออกไป เมื่อหลุดจากการควบคุมของทวนโลหิตทมิฬจุยสงก็หมดสติไปทันที
หยางอี้มองไปยังทวนโลหิตทมิฬพร้อมกับขมวดคิ้ว ทวนโลหิตทมิฬแม้จะไม่ได้อยู่ในมือของจุยสงแล้วแต่ยังคงปล่อยออร่าพลังปราณที่บ้าคลั่งสีดำทมิฬออกมาไม่หยุดทำให้หยางอี้ไม่กล้าเสี่ยงจะไปหยิบมัน
‘ทำไมมันถึงยังไม่หยุดปล่อยพลังปราณ หรือว่า…’
หยางอี้เดินไปยังร่างของจุยสงก่อนจะง้างดาบขึ้นและเตรียมจะฟันไปยังร่างหมดสตินั้น
จุยฮวางกลายเป็นหน้าซีดทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้และเมื่อเสียสมาธิทำให้โดนปู้หยุนโจมตีจนกระเด็นออกไป
หยางอี้ฟันดาบลงมาอย่างแรงเพื่อปลิดชีพของจุยสง
“หยุดมือ” ก่อนที่ดาบนั้นจะถึงตัวจุยสงกลับมีแรงกดดันอันยิ่งใหญ่พุ่งเข้ามาจนหยางอี้ขยับตัวไม่ได้พร้อมๆกับเสียงแหบพร่าที่ก้องกังวานไปทั่วทั้งหอเดิมพัน
“หยุดมือเสียเด็กน้อย” เสียงชราแหบพร่าดังออกมาอีกครั้ง ทันทีที่ได้ยินเสียง จิตใจของจุยฮวางล้วนโลดแล่นยินดีเป็นที่สุด
ร่างชราเจ้าของเสียงแหบแห้งค่อยๆปรากฏกายด้านหน้าจุยฮวาง แม้จะมองดูเหมือนชายชราธรรมดาแต่กลิ่นอายที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชายชราปล่อยออกมาล้วนทำให้ผู้คนต้องยำเกรง
“คารวะท่านบรรพชน!” จุยฮวางรีบลุกขึ้นมายืนด้านข้างทันที
“ฮึ่ม! เหตุใดเจ้าจึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ สงเอ๋อร์เป็นอนาคตของตระกูลจุยหากข้าไม่เร่งมาก่อนจะเกิดอะไรขึ้น”
ชายชรากล่าวตำหนิจุยฮวาง ซึ่งเขาก็ทำได้เพียงยอมรับความผิดก่อนจะเอ่ยออกมาบ้าง
“ท่านบรรพชน เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะหอเมฆาเบ่งบานวางแผนการชั่วช้าต้องการสังหารสงเอ๋อร์”
เขาจะยอมรับความผิดเพียงผู้เดียวได้อย่างไร จุยฮวางรีบใส่ไฟหอเมฆาเบ่งบานทันที เมื่อได้ยินเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชายชราโมโหเป็นอย่างมาก ทุกอย่างนั้นเป็นการจงใจชัดๆ แม้หยางอี้และปู้หยุนจะไม่ได้คิดแผนร่วมมือกัน แต่ทุกอย่างมันกลับประจวบเหมาะเกินไป
“คารวะท่านบรรพชนตระกูลจุย ข้าคือปู้หยุนผู้ดูแลหอแห่งนี้” ปู้หยุน กล่าวขึ้นพร้อมกับค้อมตัวคารวะให้แก่ชายชรา
“เฮอะ เจ้ายังมีหน้ามากล่าวเช่นนี้อีกเรอะ”
วูปปป
ชายชราสะบัดมือหนึ่งครั้ง กระแสลมปราณอันเฉียบคมกลับพุ่งเข้าหาปู้หยุนจนกระเด็นถอยออกไปก่อนจะสำลักโลหิตระรอกใหญ่ออกมา
‘ระดับสวรรค์ขั้นกลาง แถมยังอยู่ในระดับที่ 6 แล้วด้วย’
ปู้หยุนตกตะลึงอย่างมากก่อนจะรีบลุกขึ้นมาและถอยออกไปห่างจากชายชรา ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าบรรพชนของตระกูลจุยก้าวไปถึงระดับสวรรค์แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปเพียง 10 ปี เขากลับก้าวมาถึงขั้นที่ 6 ได้ ช่างเป็นความเร็วที่น่าตกตะลึงโดยแท้
ชายชรามองไปยังหยางอี้ที่ยืนอยู่บนเวทีพร้อมกับปล่อยแรงกดดันอันหนักหน่วงเพื่อกดทับร่างของหยางอี้ไว้ แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าหยางอี้ไม่ได้รับผลกระทบเช่นตอนแรกที่เขามาถึง
หยางอี้มองมายังชายชราด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่ภายในใจนั้นกลับว้าวุ่นแม้จะดูเยือกเย็นแต่ตอนนี้เขาล้วนคิดถึงความเป็นไปได้ทุกทางที่จะทำให้หนีออกไปได้จากที่แห่งนี้ ตอนนี้ที่เขาสามารถยืนอยู่ได้เป็นเพราะทักษะซ่อนจันทร์ที่โคจรพลังปราณให้ไหลไปทางเดียวกันจนกลมกลืนกับแรงกดดันที่ชายชราปล่อยออกมา
หยางอี้เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นที่ใบหน้า หากเป็นระดับปฐพีหยางอี้มั่นใจถึง 9 ส่วนว่าจะสามารถหลบหนีออกไปได้อย่างแน่นอน แต่กับระดับสวรรค์ขั้นกลางแล้วหากไม่ใช้ตราประทับราชัน โอกาสรอดของเขาช่างน้อยนิดนัก แถมพลังของตราประทับราชันตอนนี้ก็ยังไม่กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์อีกด้วย
“เด็กน้อยจงปล่อยสงเฮ๋อร์และยอมรับความผิดซะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ให้เจ้าต้องทรมาน”
เมื่อได้ยิน หยางอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนนี้เขาตัดสินใจแล้ว เป็นเพราะ หยางอี้นั้นเกลียดที่สุดคือการถูกข่มขู่ หากใช้ตราประทับราชันย์ในตอนนี้หยางอี้จะก้าวเข้าสู่ระดับปฐพีขั้นต้นและสารมารถหนีจากระดับสวรรค์ขั้นต้นได้อย่างสบาย แต่กับชายชรานี้ต้องเสี่ยงเอาเสียหน่อย หยางอี้ชำเลืองมองไปยังปู้หยุนเล็กน้อยเพื่อยืนยันความคิดว่าหอเมฆาเบ่งบานจะยืนอยู่ข้างเขา
ปู้หยุนไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นสายตาของหยางอี้เขาก็เข้าใจได้ทันทีจึงพยักหน้าตอบเล็กน้อย ในใจเขาก็อดที่จะสั่นเกรงมิได้ เด็กนี่อายุเพียง 15 ปี แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าตัวตนอันสูงล้ำเช่นนี้กลับไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“หอเมฆาเบ่งบานจะสนับสนุนคุณชายอย่างเต็มที่”
หยางอี้พยักหน้าทีหนึ่งก่อนจะหันไปทางชายชรา
“นี่ ตาแก่ ท่านคิดจริงๆหรือว่าจะสามารถข่มขู่ข้าได้ ท่านลืมไปหรือไม่ว่าเจ้าสารเลวนี่ยังอยู่ในมือข้านะ”
พูดจบหยางอี้ก็ขยับดาบไปจ่อที่คอของจุยสง ทำให้ชายชราหน้าซีดทันที ตอนนี้หยางอี้นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดัน ต่อให้เขาใช้ความเร็วเต็มที่ก็มีความเสี่ยงถึง 5 ส่วนที่จะหยุดหยางอี้ไม่ทัน แล้วเขาจะกล้าเคลื่อนไหวได้อย่างไรกัน
“สารเลวน้อยปล่อยสงเอ๋อร์ซะแล้วข้าจะไม่เอาความในเรื่องนี้”
“หืม ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจผิด ตอนนี้เป็นข้าที่สามารถต่อรองได้”
พูดจบหยางอี้ก็กดปลายดาบลงไปที่คอของจุยสงเล็กน้อยจนเลือดของเขาซึมไหลออกมา
“หยุด สารเลวหยุดมือ เจ้าต้องการอะไรจงกล่าวออกมา”
ชายชรากัดฟันพูดออกมา ตอนนี้ชีวิตของจุยสงสำคัญที่สุด
“ดี ข้าต้องการทวนเล่มนั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีสัมพันธ์บางอย่างกับคุณชายจุย หากท่านสามารถตัดสัมพันธ์ของมันได้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้านี่”
หยางอี้พูดออกมา ทำให้ผู้ที่รับฟังนอกจากปู้หยุนถึงกับสั่นสะท้านเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสภาพของจุยสง หรือสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นเพียงผลพวงจากความต้องการครอบครองศาสตราวุธของผู้เยาว์อายุ 15 คนหนึ่ง
“สารเลว นั่นมากเกินไป ทวนโลหิตทมิฬเป็นสมบัติของตระกูลจุยที่ถูกมอบหมายจากองค์จักรพรรดิให้เก็บรักษาไว้ เจ้าไม่สามารถนำมันไปได้ หากเจ้าต้องการ ข้าสามารถมอบศาสตราวุธเล่มอื่นให้ได้”
หยางอี้แน่นอนว่าย่อมไม่ยินยอม ทวนโลหิตทมิฬนั้นเป็นศาสตราวุธที่มีจิตวิญญาณ แถมหยางอี้ยังได้เห็นพลังของมันกับตา ใครจะโง่ยอมแลกกับของที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรกันเล่า
“เช่นนั้นคงไม่ต้องพูดกัน ข้าต้องการทวนเล่มนี้หากท่านไม่ยินยอมข้าจะตัดสัมพันธ์ของมันด้วยตนเอง”
“เจ้ากล้า!! หากเจ้าทำเช่นนั้น เชื่อได้เลยว่าข้าจะทรมานเจ้าถึงที่สุด และข้าจะจับเจ้าส่งไปให้ตระกูลเจ้าดู ก่อนจะสังหารพวกมันทิ้งทั้งหมด”
ชายชราคำรามออกมาเสียงดังพร้อมกับปลดปล่อยพลังออกมาเพื่อพยายามจะกดดันหยางอี้และหาโอกาสเข้าไปช่วยจุยสง
“เฮอะ! ตาแก่ใกล้ตายเช่นเจ้ากลับมาข่มขู่ผู้เยาว์เช่นนี้ไม่ละอายบ้างหรือไง จุยจี”
เสียงอันน่าเกรงขามดังออกมาพร้อมกับแรงกดดันที่ปลอดปล่อยออกมาต้านพลังของบรรพชนตระกูลจุยไว้
“หวังเปียว!” จุยจีคำรามนามของผู้มาใหม่ออกมา พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“หวังเปียว ตระกูลเราทั้งสองไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเช่นนี้”
“เฮอะ เป็นมันตระกูลจุยที่ประกาศสงครามเอง เจ้าจะมาเห่าหอนอันใด”
หวังเปียวพูดขึ้นพร้อมกับปรากฏร่างออกมา และไม่นานด้านนอกหอเมฆาเบ่งบานก็เต็มไปด้วยกองกำลังของทั้งสองตระกูล
ฟรึ่บ ฟรึ่บ ฟรึ่บ
ร่างเงาของคนหลายสิบคนเริ่มปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของจุยจีและหวังเปียว บัดนี้กองกำลังหลักของทั้งสองตระกูลมาถึงกันแล้วเช่นกัน
“เฮ้ พวกท่านจะทำอะไรกันข้าไม่สนหรอกนะ แต่ตาแก่บัดซบเจ้ากล้าจะข่มขู่ข้า เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว!”
เสียงของหยางอี้ดังขึ้นเรียกสายตาของทุกคนในหอเดิมพัน หลายคนล้วนประหลาดใจ เจ้าเด็กนี่เป็นใครกันถึงได้กล้ามาพูดขัดในสถานการณ์เช่นนี้ และเหตุการณ์ต่อมากลับทำให้ทุกคนล้วนตกตะลึงจนถึงที่สุด เมื่อหยางอี้มองไปยังจุยจีและยิ้มออกมาอย่างเยาะเย้ยก่อนจะมีเสียงบางอย่างดังขึ้น
ฉับ!
กึก กึก กึก
ทั่วทั้งหอเดิมพันกลับกลายเป็นเงียบกริบ การกระทำของหยางอี้นั้นนอกเหนือความคิดของพวกเขาไปไกลโข แม้กระทั่งปู้หยุนเองยังตกตะลึง ใครจะคิดกันว่าเจ้าเด็กนี่กระทั่งกล้าสังหารจุยสงอัจฉริยะแห่งความหวังของตระกูลจุยต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญของตระกูลจุย กระทั่งจุยจีเองยังกลายเป็นตกตะลึงโดยสมบูรณ์
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างของจุยจีมองหัวของจุยสงที่กลิ้งออกมาด้วยสายตาเหม่อลอย เขาคือจุยซ้งผู้นำตระกูลจุยคนปัจจุบัน ทันทีที่เขารู้ข่าว เขาเร่งมาที่นี่ด้วยความร้อนใจ แต่ไม่คาดคิดหลังจากมาถึงเพียงไม่กี่ลมหายใจบุตรชายคนเดียวของเขากลับถูกสังหารต่อหน้าต่อตา
ปู้หยุ่นรีบใช้จังหวะที่คนตระกูลจุยเหม่อลอยเข้ามาหาหวังเปียวทันที
“ท่านบรรพชน นั่นคือคุณชายหยาง”
หวังเปียวมองไปยังหยางอี้ด้วยสายตาแปลกประหลาด เจ้าเด็กนี่น่ากลัวอย่างแท้จริง ภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ ความสามารถที่สูงส่ง ความเยือกเย็นแม้จะอยู่ท่ามกลางอันตราย ความเด็ดขาดที่ไร้ปราณี และความโหดเหี้ยมที่มีต่อศัตรู ทั้งหมดนี่เป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะยืนอยู่เหนือคนอื่นอย่างแท้จริง
“คุ้มกันเจ้าเด็กนั่น ถึงตายก็ห้ามให้เขาตกอยู่ในมือตระกูลจุย”
หวังเปียวเร่งสั่งการไปยังคนในตระกูล ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองหน้ากันอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากรีบทำตามคำสั่งหวังเปียวทันที
คนตระกูลจุยสายตาที่เหม่อลอยจากความตกใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว
“ทุกคนจงฟัง วันนี้แม้ต้องแลกด้วยชีวิต เราต้องจับเจ้าสารเลวนั่นมาให้ได้ ไป!”
จุยจีคำรามออกมาดังลั่น ตาของเขาล้วนแดงก่ำไปด้วยความโกรธ ผู้เชี่ยวชาญของตระกูลจุยก็เช่นกัน การที่หยางอี้ลงมือสังหารจุยสงต่อหน้าต่อตา ทำให้พวกเขากลายเป็นบ้าคลั่งและพุ่งเข้าหาหยางอี้อย่างไม่กลัวตาย
เมื่อเห็นคนตระกูลจุยพุ่งเข้ามา ผู้เชี่ยวชาญตระกูลหวังก็ไม่ชักช้ารีบเข้ามาขวางทางไว้ทันที
การปะทะกันของทั้งสองตระกูลเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง มีผู้คนมากมายมาสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก บ้างมาเพื่อดูฉากสนุกๆของการต่อสู้ บ้างมาเพื่อรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ และมีกระทั่งบางตระกูลที่นำกำลังมาหมายจะซ้ำเติมผู้แพ้ที่เป็นศัตรูของตน
การปะทะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีของทั้งสองตระกูลต่างรุนแรง จนในที่สุดหอเดิมพันก็พังทลายลง ตอนนี้สถานที่ของการปะทะเปลี่ยนออกมาเป็นด้านนอก ผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองตระกูลเข้าปะทะกันอีกครั้ง โดยบนท้องฟ้าเป็นการปะทะกันของ 2 บรรพชนและ 2 ผู้นำตระกูลในยุคปัจจุบัน
ตูม ตูม อ้า อ้ากกก
เสียงการระเบิดและเสียงร้องของผู้คนต่างดังไปทั่วพื้นที่ การปะทะกันของจุยจีและหวังเปียวนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงหยั่งเชิงและกดดันกันไปมาเท่านั้น ทั้งคู่ไม่กล้าประมาทแน่นอน เพราะหากฝ่ายใดพลาดท่า นั่นคือจุดจบของคนทั้งตระกูล
กลับกลายเป็นว่าการปะทะกันของปู้หยุนและจุยฮวางกลับดุเดือด และรุนแรงที่สุด ด้วยความคับข้องใจ ทำให้จุยฮวางโจมตีปู้หยุนอย่างสุดกำลังด้วยความเคียดแค้น แน่นอนว่าการสูญเสียครั้งนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา แม้จะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูล กระทั่งมีตำแหน่งเป็นอำมาตย์ก็ตาม อย่างไรเขาก็ต้องได้รับการลงโทษจากจุยจี
“หวังเปียว สั่งให้คนของเจ้าถอยไป แล้วเรื่องเราสองตระกูลจะยุติเพียงแค่นี้”
“ฮ่าๆ จุยจี เห็นแก่เมื่อก่อนที่เราเคยร่วมชั้นเรียนกัน ข้าขอเตือนให้เจ้ากลับไปซะ!”
“บัดซบ! เจ้าเห่าหอนอันใด กลับไป? เจ้าคิดว่าตระกูลจุยนั้นเป็นสิ่งใด? ผู้ใดที่กล้ายั่วยุตระกูลจุย มันจะต้องชดใช้”
จุยจีคำรามออกมาเสียงดัง พร้อมกับกระแทกพลังปราณเข้าใส่หวังเปียว
“เฮ้อ เจ้าต่างหากที่กำลังยั่วยุสิ่งที่ไม่ควรอยู่”
หวังเปียวเพียงกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเข้าต้านรับจุยจีอีกครั้ง
การปะทะกันของทั้งสองตระกูลดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ยิ่งนานเข้ายิ่งมีผู้บาดเจ็บมากขึ้น
เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมาถึงจุดหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองตระกูลต่างถอยกลับไปตั้งหลักกันใหม่ในฝั่งของตน และเมื่อการต่อสู้หยุดลงทำให้ทุกคนสังเกตได้ว่า
หยางอี้ตัวต้นเหตุของสงครามครั้งนี้ได้หายไปแล้ว และแน่นอนรวมถึงทวนโลหิตทมิฬด้วย
ใบหน้าของจุยจีและจุยซ้งกลายเป็นเขียวคล้ำอย่างน่าเกลียด
“เป็นไปได้อย่างไร ข้ากระจายสัมผัสอยู่ตลอดเวลา หากมีใครเข้าหรือออกจากที่นี่ข้าต้องรู้ได้ทันที แล้วมันจะหายไปได้อย่างไร”
จุยจีกล่าวออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง หยางอี้เป็นเพียงผู้เยาว์ระดับก่อตั้งจิตที่เปรียบเสมือนลูกไก่เมื่ออยู่ต่อหน้าระดับสวรรค์ที่เปรียบดังพญาอสรพิษเช่นเขา เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะหลุดพ้นสายตาของเขาได้
หวังเปียวเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เพราะเขาเองก็ไม่อาจสัมผัสได้เลยว่า หยางอี้หายไปตอนไหน
“ท่านบรรพชน ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนั่นจะมีวิชาบางอย่างที่ใช้ในการควบคุมลมปราณภายในร่างกาย”
“ฮี่ม! กระจายกำลังออกไปเฝ้าทางเข้าออกของเมืองไว้ ไม่ว่าอย่างไรอย่าให้มันหนีไปได้”
จุยจีสั่งการออกมา แต่ก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญตระกูลจุยจะออกไปก็ถูกคนของตระกูลหวังเข้ามาขวางไว้อีกครั้ง
“อีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้งที่เจ้าขวางทางข้า แม้ข้าไม่อยากแตกหักกับเจ้าอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนวันนี้มีเพียงความตายที่จะหยุดเรื่องนี้ได้”
จุยจีหมดความอดทนทันที เมื่อหวังเปียวยังคงสั่งให้คนขวางทางเขาอีกครั้ง พลังปราณและแรงกดดันถูกปล่อยออกมาจากจุยจีจนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม บัดนี้เขาพร้อมที่จะสู้กับหวังเปียวอย่างแท้จริงแล้ว
ด้วยแรงกดดันอันมหาศาลของจุยจีที่ปล่อยออกมา ทำให้ผู้คนโดยรอบหน้าซีดเผือด เหล่าผู้สังเกตการณ์ล้วนถอยกลับไปทันที ไม่มีใครอยากเสี่ยงชีวิตอยู่เพื่อให้โดนลูกหลงเป็นแน่
หวังเปียวเองก็ปล่อยพลังปราณออกมาต้านรับไว้และสั่งให้คนตระกูลหวังถอยออกมาเช่นกัน ต้องรู้ว่าการปะทะกันของระดับสวรรค์นั้นสามารถพลิกฟ้าคว่ำปฐพีได้ และทั้งเมืองหลวงแห่งนี้มีชนชั้นระดับสวรรค์เพียง 9 คน 4 คนนั้นอยู่ในที่แห่งนี้และอีก 5 คน คือผู้อาวุโสและองค์จักรพรรดิของราชวงศ์
“วันนี้ไม่ข้าก็เจ้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”
จุยจีคำรามลั่นก่อนจะพุ่งเข้าหาหวังเปียวอย่างรวดเร็ว
ปัง!
พลังปราณสายหนึ่งถูกปล่อยออกมากั้นกลาง และกระแทกทั้งสองให้แยกออกจากกัน
“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกท่านคิดจะทำลายเมืองหลวงหรือไง”
ชายชราทั้งสองต่างหันไปมองยังต้นเสียงทันที ก่อนจะเห็นเป็นชายชราร่างกายกำยำผู้หนึ่งที่อยู่ในชุดเกราะสีทองอร่าม
“แม่ทัพสูงสุด!” บางคนเผลออุทานออกมา
“ตระกูลจุยและตระกูลหวังรับราชโองการ” เสียงอันทรงพลังของแม่ทัพสูงสุดดังขึ้นอีกครั้ง