ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 บทที่ 16
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 2 บทที่ 1

เล่มที่ 1 บทที่ 17


  

ตึก ตึก ตึก

หยางอี้เดินขึ้นเวทีมาประชันหน้ากับอีกฝ่าย นักสู้ในชุดรัดรูปสีดำ จากที่ฟังมาชายคนนี้นามว่า อุยกอ เป็นหนึ่งในครูฝึกของสำนักอสรพิษเหล็กซึ่งเป็นสำนักชั้นสองของเมืองหลวง นับว่ามีฝีมือด้านการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอยู่มิใช่น้อย

“เจ้าหนูรีบยอมแพ้เสียเถอะ ข้ามิอยากรุนแรงกับเจ้า เฮ้อ...เป็นเพียงเด็กน้อยกลับไปขัดหูขัดตาผู้มีอำนาจ” อุยกอ กล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย หยางอี้ฟังแล้วก็มิได้ประหลาดใจนักเบื้องหลังต้องเป็นชายชราจิ้งหรือไม่ก็จุยสงอย่างแน่นอน

“เชิญท่านลงมือตามสบายเถอะ ข้าเองก็อยากเห็นทักษะหมัดอสรพิษของสำนักท่านให้ประจักษ์แจ้งเช่นกัน” หยางอี้กล่าวออกมาพร้อมไล่สายตาจนไปหยุดที่ชายชราจิ้งที่ยิ้มเหี้ยมให้แก่เขา ก็รู้ได้ทันทีว่าเบื้องหลังคือตาแก่คนนี้เอง

‘เฮอะ ตาแก่นี่ยุ่งกับข้าไม่เลิกคงต้องจัดการเสียหน่อยแล้ว’

ด้านอุยกอเมื่อได้ยินคำกล่าวของหยางอี้ที่มิได้เกรงกลัวมันแม้แต่น้อย ก็ทำให้มันมีอาการไม่พอใจ และคิดจะอัดเจ้าเด็กนี่ให้รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของสำนักอสรพิษเหล็ก

“เริ่มการประลองได้” เสียงกรรมการประกาศสัญญานให้ทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันอุยกอเมื่อสิ้นเสียง มันก็พุ่งเข้าหาหยางอี้ทันที นิ้วมือขดเกร็งเป็นกรงเล็บพุ่งเข้าหาชายหนุ่มหมายจะขย้ำเข้าที่คอของอีกฝ่าย คำสั่งที่มันได้รับมานั้นคือสาหัสแต่หากสังหารได้ก็มิเป็นไรหยางอี้หรี่ตามองก่อนเอียงคอเล็กน้อยเพื่อหลบอย่างฉิวเฉียด การกระทำนี้ปู้หยุนและหญิงรับใช้ที่ถูกเรียกมาสอบถามมองดูผ่านกระจกอยู่บนห้องรับรองถึงกับเสียวสันหลัง หากพลาดขึ้นมาคงมิจบแค่เจ็บตัวแน่นอน!

สิ่งที่ปู้หยุนหรือแม้สำนักระดับแนวหน้านั้นกังวลคือทางราชวงศ์เพียงส่งสารมาให้ระวังและอย่ามีเรื่องกับเด็กหนุ่ม เพราะอาจจะเป็นการสร้างหายนะได้  แต่กลับไม่บอกให้แน่ชัดถึงเบื้องหลังของเด็กหนุ่มคนนี้ว่าเป็นเช่นไร หากเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้นและผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาออกโรง...หากยังพอสามารถทำให้ตระกูลผู้เป็นเจ้าของหอเมฆาเบ่งบานออกหน้ารับได้ก็ดีไปแต่หากว่าตระกูลยังไม่สามารถทำได้เล่า? จะเกิดเรื่องแบบใดขึ้น?

อุยกอเมื่อการโจมตีแรกพลาดเป้า หมัดต่อไปก็โจมตีต่อเนื่องทันที หยางอี้เคลื่อนไหวเพียงร่างท่อนบนเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะเท่านั้น

“ยอดเยี่ยม ไม่มีการเคลื่อนไหวที่เสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย กระทั่งมองการเคลื่อนไหวอีกฝ่ายจนสามารถโยกหลบเพียงร่างกายท่อนบนได้!”

เสียงสตรีในชุดสีฟ้าที่นั่งชมอยู่ในพื้นที่รับรองนักสู้กล่าวชมออกมาอย่างไพเราะซึ่งเรียกสายตาของบุรุษหนุ่มด้านข้างให้หันมามองอย่างมิสบอารมณ์

“น้องสาวชูหนิงก็พูดเกินไป นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไปเจ้าเด็กนั่นถึงทำแบบนี้ได้ หากเป็นข้าล่ะก็มันจะจบลงในสามกระบวนท่า!”

จุยสงกล่าวออกมาอย่างโอ้อวด ชูหนิงเป็นบุตรสาวคนกลางของตระกูลชู ตัวเขาตกหลุมรักนากตั้งแต่พบกันเมื่อ 1 ปีก่อน และเขาก็ตามตื้อนางจนกระทั่งบัดนี้ และเหตุผลที่เขามาร่วมประลองในวันนี้ก็เพราะได้ข่าวว่านางเข้ามาประลองเช่นกันเขาจึงได้มาร่วมด้วย

“อย่างนั้นข้าจะรอดูหากท่านได้เจอกับเขา” ชูหนิงกล่าวออกมาพร้อมยิ้มบางอย่างเป็นมารยาท ก่อนนางจะหันกลับไปสนใจการต่อสู้ต่อ

บนเวที อุยกอ ที่ไม่สามารถโจมตีโดนหยางอี้ได้เลยก็ถอยกลับมาตั้งหลักใหม่ มันตกตะลึงไม่น้อยที่เด็กหนุ่มตรงหน้านั้นสามารถหลบทุกการโจมตีของมันได้ อุยกอแม้จะมีอาการหอบแต่มันก็มิได้เหนื่อยมากนักเพราะหยางอี้เพียงหลบมิได้โจมตีสวนมา

“หลบเก่งนักนะเจ้าหนู เจอนี่หน่อยเป็นไง” อุยกอเกร็งพลังปราณในร่างให้หมุนวนจนก่อเกิดเป็นอสรพิษเลื้อยพันรอบตัวมันจากนั้นก็เลื้อยลงมาปกคลุมแขนขวาของมัน

หยางอี้สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงลมปราณก่อตั้งจิตขั้นกลางที่อัดแน่นอยู่ที่แขนขวาของอุยกอ ตัวเขาก็ไม่ได้ประมาทมันเช่นกัน ลอบโคจรลมปราณหน่วงไว้ด้วยหัตถ์หลอมตะวันขั้นหลอมดาราไว้ที่มือขวา หัตถ์หลอมตะวันของหยางอี้นั้นพัฒนามาถึงขั้นที่ 5 แล้วระหว่างที่อยู่ในป่าดับดารา

“ฟ่อ ฟ่อ หมัดอสรพิษเหล็ก!” อุยกอพุ่งเข้ามาพร้อมกับอสรพิษที่เกิดจากลมปราณอ้าปากขู่คำราม

หยางอี้ขยับร่างกายพุ่งเข้าหาอุยกอราวกับลูกศรก่อนที่หมัดทั้งสองจะเข้าปะทะกันอย่างจัง ช่วงที่เข้าปะทะกันหยางอี้จำต้องปลดทักษะซ่อนจันทร์เพื่ออัดลมปราณปะทะเข้ากับอุยกอ ทำให้หลายคนที่จับตาดูอยู่รอบเวที สัมผัสได้ถึงระดับก่อตั้งจิตขั้นกลางของหยางอี้แถมอีกเพียงครึ่งก้าวจะเข้าสู่ขั้นปลายแล้ว!

ปู้หยุนถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ หยางอี้อายุเพียง 15 เกือบจะ 16 ปี แต่ก้าวมาถึงขั้นนี้แล้ว! เบื้องหลังเจ้าหนูนี่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกันทั้งจุยสงและชูหนิงนั้นกว่าจะมาถึงขั้นเดียวกับหยางอี้ก็อายุ 19 ปีแล้ว ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก!

ปัง! อ้าก!

อุยกอกระเด็นออกไปกว่า 5 เมตร ก่อนจะนอนดิ้นอยู่บนพื้นเวที แขนขวาของมันนั้นถึงกับบิดงอผิดรูป กระดูกภายในหักกว่า 5 ท่อน อย่างน้อยต้องรักษากันนานหลายเดือนกว่าจะหายเป็นปกติ รอบลานประลองเงียบกริบอีกครั้ง ก่อนจะมีเสียงของผีพนันที่เลือกเดิมพันกับหยางอี้เฮขึ้น

เฮ เฮ

“ผู้ชนะ หยางอี้!” กรรมการประกาศออกมาอย่างชัดเจนเพื่อตอกย้ำคนดู หยางอี้เดินลงจากเวทีก่อนจะไปนั่งยังที่ของตน สายตาหลายคู่ล้วนจับจ้องมายังเขา

‘เฮ้อ เพียงแค่ครึ่งลมหายใจเดียวกลับมีคนจับสัมผัสได้ขนาดนี้เชียวรึ’

“ฮ่าๆ ยอดเยี่ยมเจ้าหนู เจ้านับเป็นรุ่นเยาว์ที่อนาคตไกล!” ชายชราชูกล่าวชื่นชมหยางอี้จากใจจริง ชูหนิงเองก็หันมาก้มหัวและยิ้มให้เล็กน้อยเป็นการทักทาย หยางอี้นั้นพยักหน้าและยิ้มให้ทั้งสองเช่นกัน แล้วหลับตาลงเมินสายตาอาฆาตของจุยสงไปอย่างไม่ใยดี เขาจึงกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

“ฮึ่ม หากเจ้าเจอกับข้า ข้าจะ...”

“รอบต่อไป หยางอี้เจอกับชูหนิง และจุยสงเจอกับเฒ่าชู!”

“บัดซบ!”

จุยสงกล่าวอย่างหัวเสีย เขานั้นต้องการเจอกับหยางอี้เพื่อทุบตีชายหนุ่มที่บังอาจทำตัวโดดเด่นกว่าเขา หรือไม่ก็ชูหนิงเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดนางและฉวยโอกาสเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาเจอกับตาเฒ่าหนังเหนียว เรื่องนี้ทำให้เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

จุยสงมองมายังหยางอี้อย่างรังเกียจ

‘เจ้าเด็กนี่โผล่มาจากไหนกัน มันแย่งชิงความโดดเด่นจากข้าไป ทั้งที่วันนี้ควรจะเป็นเวทีแสดงความโดดเด่นของข้าแท้ๆ กระทั่งน้องสาวชูหนิงก็ยังสนใจมัน และที่น่าเจ็บใจที่สุดมันกลับได้สู้กับชูหนิงในรอบนี้ แต่ข้า... กลับต้องมาเจอตาแก่ชู!’

หยางอี้เฝ้ามองจุยสงมาได้สักระยะแล้ว รู้เขารู้เราดีที่สุด ในเมื่อมีคนตั้งใจมาหาเรื่องก็ต้องสังเกตให้ละเอียดกันเสียหน่อย

เสียงประกาศเรียกนักสู้ขึ้นเวทีดังขึ้น หยางอี้และชูหนิงลุกจากเก้าอี้และเดินไปยังลานประลอง ชายหนุ่มเลือกใช้เส้นทางผ่านยังที่นั่งของจุยสง

“เฮ้พี่ชาย พี่สาวชูหนิงช่างงดงามนัก ข้านี่โชคดีจริงๆที่ได้สู้กับนาง...ท่านคิดเช่นนั้นไหม?” ใบหน้าของหยางอี้ปรากฏความหื่นกระหายเล็กน้อย ส่วนจุยสงที่ได้ฟังถ้อยคำของหยางอี้กลับกลายเป็นโกรธขึ้นมาทันที ใบหน้าแดงซ่านเขียวคล้ำกลับไปกลับมา

“เจ้าเด็กเปรต หากเจ้ากล้าข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ!” จุยสงคำรามต่ำออกมาจิตสังหารพวยพุ่งเข้าหาหยางอี้อย่างเต็มที่ แต่ไหนเลยจิตสังหารของบุรุษหนุ่มปราณก่อตั้งจิตจะเทียบได้กับราชาเสือดำ?

หยางอี้ยักไหล่เดินผ่าน มิได้สนใจจุยสงแม้แต่น้อย แต่ก่อนจะก้าวขึ้นเวทีชายหนุ่มหันกลับมายิ้มให้จุยสงเล็กน้อย

“ไม่ต้องห่วงพี่ชาย ข้าจะดูแลนางอย่างดี”

“เจ้า เจ้า เจ้า! ฮึ่ม!” จุยสงพยายามสงบอารมณ์ลง อัจฉริยะรุ่นเยาว์ คำนี้มิได้ตกมาจากฟ้า พลังและหัวสมองแน่นอนจุยสงรับรู้ได้ว่าหยางอี้ต้องการยั่วโมโหเขา เขาพยายามไม่สนใจหยางอี้ เดิมทีเขาตั้งใจจะข่มขู่เจ้าเด็กนี่ แต่ไหนเลยกลับโดนยั่วโมโหเสียเอง แถมดันเป็นเรื่องชูหนิงจะให้เขาละเลยได้อย่างไร?

หยางอี้และชูหนิงเดินขึ้นมาบนลานประลองเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจ้องมองกันก่อนที่หยางอี้จะเป็นฝ่ายเริ่มสนทนา

“พี่สาว ทักษะกระบี่ของท่านนั้นเยี่ยมยอดยิ่งนัก ครั้งนี้คงเป็นการต่อสู้ที่ดีแน่นอน” ชูหนิงยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา

“น้องชายชมเกินไปแล้ว ทักษะของเจ้าเองก็เยี่ยมยอดคงเป็นปัญหากับข้าไม่น้อย”

“เริ่มการประลองได้”

พรึ่บ! สิ้นเสียงประกาศ ชูหนิงไม่รอช้านางพุ่งเข้าหาหยางอี้ทันที หนึ่งกระบี่ถูกแทงเข้าสู่หัวไหล่ของชายหนุ่ม นางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ด้านหลัง ชูหนิงรีบยกปลอกกระบี่ขึ้นมาตั้งรับ

ปัง! หยางอี้ที่หลบออกมาด้วยท่าเท้ามายาสวรรค์กระโดดขึ้นลอยตัวเหนือพื้น ขาขวาถูกเกร็งพลังก่อนจะฟาดออกไปอย่างแรง ชูหนิงแม้จะยกปลอกกระบี่ขึ้นมาต้านรับก็ยังกระเด็นออกไปกว่า 10 เมตร นางมองไปยังมือของนางที่สั่นระริกเรี่ยวแรงที่จับปลอกกระบี่แทบจะไม่หลงเหลือเพราะความรู้สึกด้านชาอย่างตกใจ

“รวดเร็วและรุนแรง!”

สองคำที่นางสามารถบ่งบอกได้ถึงเด็กหนุ่มเบื้องหน้าที่กำลังมองมายังนางด้วยรอยยิ้ม

ชูหนิงวางปลอกกระบี่ลงก่อนจะหันมามองหยางอี้อย่างจริงจัง พลังปราณโดยรอบร่างของนางปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ บรรยากาศเริ่มกลายเป็นกดดันจนทำให้หยางอี้ต้องมองไปยังชูหนิงอย่างจริงจัง ด้วยความมุ่งมั่นของนางรังสีกระบี่เริ่มปรากฎออกมารอบๆตัว พลังปราณถูกถ่ายเทเข้าสู่กระบี่สีเงินวาวภายในมือของนาง

“กระบวนท่าที่ 4 พิรุนเฉือนนภา!”

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

ปราณกระบี่ถูกฟาดฟันออกมาเป็นคมกระบี่สามสายพุ่งเข้าหาหยางอี้ ชายหนุ่มมิได้ประมาทแม้แต่น้อย สายตาจับจ้องไปยังกระบี่ของชูหนิงตั้งแต่รังสีกระบี่ปรากฏให้เห็น ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าทักษะย่างก้าวมายาสวรรค์ถูกใช้ออกอย่างต่อเนื่อง ทิ้งไว้เพียงร่างเงามายาที่ถูกฉีกกระชากด้วยปราณกระบี่!

ชูหนิงเมื่อเห็นหยางอี้เคลื่อนตัวหลบหลีกก็เป็นตามที่คาดไว้นางพุ่งเข้าหายังทิศทางของหยางอี้ทันที คมกระบี่ทิ่มแทงเข้าหาชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง

“ฮึ่ม เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่!”

ชูหนิงสบถออกมาอย่างไม่พอใจ เด็กหนุ่มเบื้องหน้านางทำเพียงหลบไปมามิได้คิดจะต่อสู้เลยสักนิด หยางอี้ที่ได้ฟังก็ยิ้มเล็กน้อย ตัวเขานั้นมิได้ดูถูกชูหนิงแต่อย่างใด ทว่าเหตุผลที่มาที่นี่ก็เพื่อทดสอบความสามารถของตัวเองหากหยางอี้ต้องการสู้เต็มกำลังแน่นอนว่านางย่อมมิใช่คู่มือของชายหนุ่ม

วูบ! หยางอี้อยู่ๆก็หายตัวไปปรากฏด้านข้างของชูหนิงราวกับภูตผี หัตถ์หลอมตะวันถูกใช้ออกอีกครั้ง ฝ่ามืออันหนักหน่วงที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณอันร้อนแรงพุ่งเข้าหาชูหนิงจากด้านข้าง นางหรี่ตาก่อนที่กระบี่สีเงินจะถูกชักกลับมาป้องกัน แต่ด้วยความรุนแรงทำให้นางกระเด็นออกไปพร้อมกับโลหิตที่ไหลซึมออกมาจากปากนาง

วูบ ชูหนิงกลายเป็นตกใจเมื่อเงาร่างของหยางอี้มาปรากฎตัวเบื้องหลังทิศทางที่นางกระเด็นออกไป

ปัง “อ๊า!”

หยางอี้ง้างขาเตะเข้าเต็มแผ่นหลังของชูหนิง ทำให้นางกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นสนามประลองอย่างโหดเหี้ยมจนทำให้ผู้คนที่เห็นกลายเป็นนิ่งเงียบ เด็กนี่กระทั่งเตะสาวน้อยร่างบอบบางจนกลิ้งคะมำไปกับพื้นได้อย่างไม่กะพริบตา

“บัดซบ! ข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ” จุยสงตะโกนออกมาเมื่อเห็นยอดดวงใจของเขาถูกเตะกลิ้งไปกับพื้น ทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก หยางอี้มิได้สนในรอบข้างแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเดินไปยังร่างสะบักสะบอมของชูหนิง

“พี่สาวท่านเป็นอะไรหรือไม่? ข้านั้นลงมือเกินไปหน่อยแต่หากข้ามิทำเช่นนี้คงเป็นการดูถูกท่าน” ชูหนิงมองมายังหยางอี้อย่างแปลกประหลาด หนักเท้าล่ะสิไม่ว่า! เล่นเตะนางซะจนระบมหลังแต่ในใจนางได้ยอมรับแล้วว่ามิอาจสู้กับชายหนุ่มได้

“ข้าขอยอมแพ้” ชูหนิงพูดขึ้นกับกรรมการก่อนจะหันมายิ้มให้กับหยางอี้

“ข้าแพ้แล้ว ขอบคุณน้องชายที่ออมมือ” นางกล่าวออกมาพร้อมกับประสานมือ

เสียงกรรมการประกาศออกมา เรียกเสียงเชียร์โห่ร้องจากผู้ชมอย่างคับคั่ง การต่อสู้ไม่ว่าจะสตรีหรือบุรุษชัยชนะคือทุกสิ่ง! ไม่มีใครข้องใจกับวิธีการของหยางอี้

“เชิญพี่สาว” หยางอี้ยื่นมือให้กับชูหนิงเพื่อดึงตัวนางให้ลุกขึ้น เมื่อนางลุกขึ้นแล้วหยางอี้ก็ผายมือไปยังทางลงเพื่อให้นางเดินไปก่อน ชูหนิงเพียงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไป แต่เดินเพียงไม่กี่ก้าวนางก็เซล้มลง ดูเหมือนเท้าซ้ายของชูหนิงจะบาดเจ็บจากการกระทบกับเวทีอย่างแรง ถึงแม้ว่าหยางอี้จะยั้งมือแล้วก็ตาม

“อ๊ะ”

วูบ! เงาบุรุษเคลื่อนเข้ามาประคองร่างของนางมิให้ล้มลง ด้วยความตกใจนางเงยหน้ามองก่อนจะพบว่าเป็นหยางอี้นั่นเอง ความใกล้ชิดกับชายหนุ่มทำให้ใบหน้าของชูหนิงร้อนผ่าวเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ

“พี่สาวท่านเดินไหวหรือไม่”

“ข ข้าไม่เป็นไร ข้อเท้าคงจะบาดเจ็บเล็กน้อย”

หลังจากพูดจบนางพยายามดันตัวเองออกมาซึ่งหยางอี้ก็มิได้ขัดแต่อย่างไร ชูหนิงเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อหลบสายตาของหยางอี้

การกระทำของทั้งสองอยู่ในสายตาของทุกคน เสียงโห่ร้องเป่าปากดังมาเป็นระยะ แต่ก็ยังมีอยู่หนึ่งคนที่ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความโกรธ จุยสงเฝ้ามองทั้งคู่อย่างเดือดดาล นิ้วมือของเขากำแน่นจิกลงไปในเนื้อจนหยาดเลือดไหลออกมา และทุกอย่างถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงเมื่อสายตาของเขาประสานเข้ากับหยางอี้ที่ส่งยิ้มมาให้

“เจ้าบัดซบหยางอี้ ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!” ชูหนิงเดินไปได้เล็กน้อยก็จำต้องให้หยางอี้ประคองร่างลงจากเวที เมื่อกลับมายังซุ้มทั้งสองจึงแยกจากกัน ทางด้านชูหนิงนั้นได้รับการรักษาจากผู้อาวุโสของสนามประลอง ส่วนหยางอี้นั้นกลับไปนั่งรอยังที่เดิม

“รอบต่อไป เฒ่าชูและจุยสง ขึ้นเวทีประลองได้!”

ทั้งสองเหินขึ้นเวทีอย่างองอาจ ผู้เฒ่าชูเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นขณะมองยังฝูงชนและจุยสง เท้าทั้งสองค่อยๆแตะพื้นลานประลองอย่างแผ่วเบา ส่วนจุยสงที่เหินขึ้นตามมาด้วยท่าทีองอาจและดุดัน ด้วยบุคคลิกและหน้าตาของเขาทำให้หญิงสาวไม่น้อยหลงใหลอย่างเคลิบเคลิ้ม

“ฮ่าๆ เป็นเกียรติยิ่งนักที่คนแก่อย่างข้าจะได้ชมฝีมือของคุณชายจุย!” เฒ่าชูพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ผิดกับจุยสงที่ใบหน้าบูดเบี้ยวยิ่งนัก การที่ชูหนิงยอมให้หยางอี้แตะต้องประคองลงจากเวทีนั้น ทำให้อกเขาแทบจะระเบิดด้วยความหึงหวงและความอิจฉา

“ตาเฒ่าชู ข้าขอให้ท่านยอมแพ้เสีย ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีนักและข้าทนรอจะจัดการเจ้าเด็กบัดซบนั่นไม่ไหวแล้ว!” จุยสงพูดออกไปด้วยความหงุดหงิด ตอนนี้ให้หัวของเขามีเพียงความต้องการระบายความอัดอั้นกับหยางอี้เท่านั้น

เฒ่าชูเมื่อได้ฟังคำพูดของจุยสงถึงกับคิ้วกระตุก เจ้าเด็กนี้มิได้เห็นหัวเขาเลย แม้จะเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์แล้วอย่างไร? ตัวเขาอาศัยอยู่ในโลกอันโหดร้ายนี้มาหลายสิบปีแล้ว เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้บังอาจมาดูถูกความภาคภูมิใจในฐานะนักสู้ของเขา?

“ฮึ่ม! เด็กน้อยแม้จะเป็นลูกหลานคนใหญ่โตแต่ข้าเฒ่าชูผู้นี้มิได้เกรงกลัวเจ้า! วันนี้ข้าจะสอนมารยาทให้กับเจ้าเอง!”

“เฮอะ! ตาแก่ใกล้ตายเช่นท่านจะทำอะไรได้? รีบๆเข้ามาได้แล้วข้ามิได้มีเวลามากนัก!”

“เริ่มการประลองได้”

สิ้นเสียงของกรรมการ ด้วยความโมโหที่ถูกหยามเกียรติ เฒ่าชูพุ่งเข้าหาจุยสงทันที ทั้งสองระเบิดพลังปราณระดับก่อตั้งจิตขั้นสูงออกมาปะทะกันหมัดต่อหมัด การต่อสู้ของทั้งสองคนดุเดือดเป็นอย่างมากจนคนดูแทบหยุดหายใจ ประกายไฟจากหมัดที่ห่อหุ้มด้วยลมปราณปะทะกันอย่างต่อเนื่องรัวถี่ยิบราวกับดอกไม้ไฟ

เฒ่าชูประหลาดใจไม่น้อยที่จุยสงสามารถรับหมัดของเขาได้ทุกหมัด หลังจากรัวหมัดใส่กันได้ไม่นานทั้งสองก็แยกจากกัน

“ใช้ได้นี่ตาแก่!” จุยสงคำรามออกมาก่อนจะพุ่งเข้าหาชายชราพร้อมกับกระโดดขึ้นเล็กน้อย

“หมัดดาวตก!” จุยสงคำรามออกมาทำให้หลายคนตกตะลึง หมัดดาวตกเป็นทักษะปฐพีขั้นกลาง!

อย่างไรก็ตาม เฒ่าชูหรี่ตาลงก่อนจะกวาดขาออกเป็นวงกลมย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อตั้งรับหมัดที่พุ่งลงมาของจุยสง

“มาแล้วๆ เคล็ดเคลื่อนวารีของเฒ่าชู”

ทันทีที่หมัดดาวตกของจุยสงพุ่งเข้าปะทะกับฝ่ามือของเฒ่าชู สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้จุยสงตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง หมัดดาวตกขึ้นชื่อในเรื่องพลังทำลายที่สูงและด้วยความเร็วของมันพลังหมัดที่ถูกอัดแน่นด้วยปราณทำให้ทักษะนี้มีพลังทำลายสูงมาก หากฝึกขั้นสูงสุดสามารถบดขยี้ภูเขาขนาดย่อมได้อย่างง่ายดาย และทันทีที่หมัดปะทะเข้ากับฝ่ามือ แขนทั้งสองข้างของเฒ่าชูเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด ขวาป้ายออกซ้ายหมุนเข้า ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่รวดเร็ว พลังทำลายทุกอย่างของจุยสงพลันมลายหายอย่างสิ้นเชิง!

ปัง! หนึ่งฝ่ามือกระแทกเข้ากลางอกของจุยสง ทำให้เขากระเด็นออกไป  5  ก้าวก่อนจะสำลักโลหิตออกมาจากปากเล็กน้อย

“เด็กน้อย ยังเร็วไปที่เจ้าจะดูแคลนตาแก่คนนี้” เฒ่าชูพูดออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ด้านจุยสงนั้น แม้จะงุนงงแต่เขาก็มิได้รับบาดเจ็บมากนัก จุยสงพุ่งเข้าหาเฒ่าชูอีกครั้ง ทั้งกระบวนท่าและทักษะระดับต่ำถูกใช้ออกมาอีกมากมาย

เวลาผ่านไป สภาพของจุยสงตอนนี้นับว่าสะบักสะบอมไม่น้อย ชายชราเบื้องหน้ามองมายังจุยสงอย่างนิ่งเฉย ใบหน้าไร้อารมณ์จากชายชราแสดงถึงการเย้ยหยันเป็นอย่างดี จุยสงระดมโจมตีเข้าไปไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งกลับถูกสวนกลับจนกระเด็นกลิ้งไปกับเวที

“ดี! ตาแก่...หากมือข้ามิอาจฉีกการป้องกันของเจ้าได้ เช่นนั้นมาดูกันว่าสิ่งนี้จะทำได้หรือไม่!” พูดจบจุยสงถุยเลือดออกจากปากและลุกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาวาวโรจน์จ้องมองไปยังชายชราเบื้องหน้า

ที่มือขวาของเขาค่อยๆปรากฏออกเป็นรูปศาสตราวุธอย่างช้าๆ ทวนเล่มยาวที่ถูกจุยสงเรียกออกมา ตัวด้ามจับเป็นสีแดงฉานส่วนปลายทำจากโลหะสีดำสนิท เพียงเห็นก็สัมผัสได้ถึงความดุดันของทวนเล่มนี้ บวกกับสภาพของจุยสง ทำให้บรรยากาศโดยรอบตัวเขาเปรียบดั่งนักรบผู้เป็นดั่งเทพสงคราม!

เฒ่าชูเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งที่จุยสงเรียกออกมา ใบหน้าเขาเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นทันที ก่อนที่เขาจะกล่าวออกมาเสียงสั่นเล็กน้อย

“ท ทวนโลหิตทมิฬ! ศาสตราวุธปฐพีขั้นสูง!”

“ศาสตราวุธปฐพีขั้นสูง!”

ผู้คนกลายเป็นตกตะลึงเมื่อได้ยินคำของเฒ่าชู หลายคนที่มีระดับพลังปราณต่ำกว่าก่อตั้งจิตถึงกับหน้าซีดเผือดเพราะแรงกดดันจากปราณอันหนักหน่วงของทวนโลหิตทมิฬ

ตามบันทึกของเมืองหลวงทวนโลหิตทมิฬนั้นเป็นอาวุธคู่กายของจักรพรรดิองค์ที่ 17 ของจักรวรรดิเมฆาหวนเมื่อ 20,000 ปีที่แล้ว ในยุคนั้นจักรวรรดิเมฆาหวนถูกรุกรานจากจักรวรรดิรุ่งอรุณ เมื่อถึงคราวิกฤติ องค์จักรพรรดิได้เข้าร่วมสงครามและใช้ทวนโลหิตทมิฬสังหารกองทัพศัตรูอย่างหมดสิ้น! เดิมทีทวนเล่มนี้เป็นอาวุธระดับกลางแต่จากการอาบโลหิตผู้คนนับไม่ถ้วนทำให้มันกลายเป็นศาสตราวุธระดับสูง

ตามตำนานนั้นกล่าวว่า หลังจากองค์จักรพรรดิสิ้นพระชน ทวนเล่มนี้ได้ถูกเก็บรักษาโดยราชวงศ์ และมีผู้ใช้มันได้เพียง 7 คนเท่านั้น! และ100 ปีที่ผ่านมานั้นไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถนำทวนโลหิตทมิฬออกมาใช้ได้

เฒ่าชูมองไปยังจุยสงที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อน ใบหน้าซีกซ้ายถูกอาบด้วยโลหิต ร่างกายตั้งชันอย่างองอาจ ในมือขวาถือทวนด้ามแดงค้ำยันกับพื้นไอพลังปราณสีดำแดงแผ่พุ่งออกมาจากทวนเสียดสีกับอากาศราวกับเสียงร้องโหยหวนจากความเจ็บปวด

“น นี่ เป็นไปได้อย่างไร ข้ารู้มาว่าทวนเล่มนี้เป็นศาสตราวุธที่มีจิตวิญญาณ และศาสตราวุธปฐพีขั้นสูงอย่างทวนโลหิตทมิฬนั้นมิน่าจะยอมรับผู้เป็นนายที่ระดับต่ำกว่าได้!”

“ฮ่าๆ ตาแก่โง่เขลา! นั่นเป็นเพราะคุณชายผู้นี้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะสยบมันลงได้ไงล่ะ!” จุยสงคำรามออกมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนที่ชมอยู่รอบลานประลองต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว บางคนกล่าวออกมาว่า

“หากเป็นเช่นนี้ไม่แน่ว่าปีนี้รายชื่อของจุยสงจะขยับไปอยู่ใน 10 สุดยอดของเมืองหลวงแล้ว!”

หยางอี้เองก็ตกตะลึงเช่นกัน เพราะสัมผัสที่ได้จากแรงกดดันของทวนนับว่าน่าสะพรึงกลัวไม่น้อยสำหรับชายหนุ่ม เขาจ้องมองไปยังจุยสงพร้อมกับยกยิ้มอย่างชั่วร้าย

บนเวทีนั้นบรรยากาศความกดดันถาโถมเข้าหาเฒ่าชูอย่างต่อเนื่อง จุยสงยกทวนขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะชี้ปลายทวนไปยังเฒ่าชู

“ตาย!” สิ้นเสียงจุยสงพุ่งเข้าหาเฒ่าชูพร้อมฟาดทวนเข้าหาจากด้านข้าง เฒ่าชูนั้นเมื่อเห็นจุยสงพุ่งเข้ามาก็รีบนำไม้เท้าอาวุธคู่กายออกมาต้านรับทันที

ปัง!

“เพียงศาสตราวุธปฐพีขั้นต่ำคิดว่าจะหยุดทวนข้าได้เรอะ!” จุยสงมองไปยังร่างของเฒ่าชูที่กระเด็นออกไปกว่า 5 เมตร

“ตาแก่ใกล้ตายเช่นเจ้าบังอาจทำให้ข้าผู้นี้ต้องอับอายต่อหน้าผู้คน จงมารับความตายซะ!” จุยสงพุ่งเข้าหาเฒ่าชูที่กำลังลุกขึ้นอีกครั้ง คมทวนตวัดเข้าหาร่างอันผอมบางของชายชรา ไม้เท้าหัวสุนัขถูกยกขึ้นมาพร้อมกับกระบวนท่าเคลื่อนวารีถูกใช้ออกอย่างต่อเนื่อง

จุยสงไม่มีความปราณีแม้แต่น้อย ทวนโลหิตทมิฬถูกจุยสงกระหน่ำฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง เฒ่าชูนั้นตั้งรับอย่างเต็มที่ทุกการฟาดฟันของจุยสง ทำให้ร่างชายชราต้องสั่นสะเทือน แม้จะเริ่มมีโลหิตไหลซึมออกจากมุมปากแต่ชายชรายังคงกัดฟันตั้งรับต่อไป

จุยสงกลายเป็นบ้าคลั่งยิ่งขึ้นเมื่อฟาดฟันมากว่า 30 กระบวนท่ายังไม่สามารถจัดการเฒ่าชูได้ ห่างออกไปในสถานที่นั่งพักของนักสู้ หยางอี้กำลังนั่งมองไปยังลานประลองด้วยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์

“เป็นไปตามที่ข้าคิด หึหึ” หยางอี้หัวเราะอยู่ในใจ หลังจากเฝ้ามองการต่อสู้มา จุยสงเพียงใช้ทวนโลหิตทมิฬฟาดฟันใส่เฒ่าชูเพียงเท่านั้น และที่เฒ่าชูเสียเปรียบในการต่อสู้แน่นอนว่าย่อมมาจากความแข็งแกร่งของศาสตราวุธปฐพีระดับสูง

หยางอี้หันกลับไปด้านหลังเล็กน้อยก็พบว่าปู้หยุนกำลังเดินมาทางตนพร้อมกับยิ้มทักทาย

“ไม่คิดว่าผู้ดูแลจะสนใจการประลองด้วย”

“ฮ่าๆ ข้านั้นสนใจทวนโลหิตทมิฬของจุยสงเล็กน้อย”

ปู้หยุนยิ้มบางพร้อมตอบออกไป แน่นอนว่าที่วันนี้เขามาดูการประลองเป็นเพราะหยางอี้ และยิ่งจุยสงนำทวนโลหิตทมิฬออกมา อีกทั้งดูเหมือนในรอบสุดท้ายเขาต้องประลองกับหยางอี้ ยิ่งทำให้ปู้หยุนนั้นเป็นกังวลจนต้องลงมายังลานประลองเพื่อเตรียมรับมือหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

“ดูเหมือนว่าคุณชายจุยสงจะยังไม่สามารถควบคุมทวนโลหิตทมิฬได้อย่างสมบูรณ์...คุณชายหยางคิดเห็นอย่างไร?”

หยางอี้ประหลาดใจเล็กน้อยที่ปู้หยุนถามออกมา แน่นอนเขาคิดว่าปู้หยุนต้องมองออกอยู่แล้วแต่ไม่คาดว่าจะถามออกมาเช่นนี้

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นแต่จากที่ได้ฟังมาจากผู้คนรอบข้าง ข้าคิดว่าทวนเล่มนี้ต้องมีความพิเศษบางอย่าง...”

เมื่อได้ยิน ปู้หยุนก็มีดวงตาวาวโรจน์ ตัวเขาเองเนื่องจากหอเมฆาเบ่งบานมีธุรกิจซื้อขายจึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลหลายๆอย่าง ทำให้เขาได้รู้ความลับบางอย่างของทวนเล่มนี้ และนั่นเป็นสิ่งที่เขากำลังกังวลใจอยู่นั่นเอง ยังมีอีกสิ่งที่เขาคับข้องใจเป็นอย่างมากคือตราประทับสีดำที่อยู่ตรงปลายทวน จากตำราที่เขาศึกษามานั้นมันมิได้มีสิ่งนี้อยู่บนทวนโลหิตทมิฬ!

บนลานประลองสภาพของเฒ่าชูนั้นกลายเป็นย่ำแย่ ปากและจมูกมีเลือดไหลออกมา เป็นผลจากการทนรับและใช้พลังปราณมากเกินไป ด้านจุยสงจากความหงุดหงิดที่ชายชราเบื้องหน้าสามารถทนรับการโจมตีของเขาได้เป็นเวลานาน ทำให้เขาเริ่มบ้าคลั่งจิตใจจมดิ่งสู่ความกระหายในการฆ่า และเหมือนทวนโลหิตทมิฬจะรับรู้ถึงความต้องการนั้น มันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะปลดปล่อยแรงกดดันอันหนักหน่วงออกมา

วูบ!

เปาะ!

เพียงเสี้ยวลมหายใจนั้นการฟาดในครั้งสุดท้ายของจุยสงทำให้ไม้เท้าหัวสุนัขของเฒ่าชูหักลง ชายชรามีใบหน้าซีดขาวดวงตาเหม่อลอยที่ปากและจมูกมีเลือดไหลออกมาจากการรับมือจุยสงนานเกินไป ร่างอันโงนเงนค่อยเอียงตัว แต่ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มสัมผัสพื้นก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น

ฉึก! อ้า!

จุยสงยิ้มเหี้ยมขณะแทงปลายทวนไปยังหน้าอกของชายชราก่อนจะตวัดเหวี่ยงร่างของชายชรากลิ้งตกลานประลองไปท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คน

จุยสงค่อยๆหันกลับมาทางฝั่งพื้นที่รับรองนักสู้ ก่อนที่เขาจะยกทวนขึ้นและชี้ปลายทวนไปยังเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังนั่งยิ้มเหี้ยมมองมายังเขาอยู่เช่นกัน

“ขึ้นมาสิ...ไอ้หนู!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด