เล่มที่ 1 บทที่ 15
"นี่มัน!" ผู้บัญชาการกองพันอุทานออกมา
"นี่คือป้ายประจำตัวผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิหารสวรรค์!"
ผู้ตรวจการกงจี้กล่าวออกมา...นี่ช่างคล้ายคลึงกับนิทานนัก แม้วิหารสวรรค์จะมิอาจเทียบได้กับวิหารเทวะสุริยันต์ แต่ตัวตนของสำนักวิหารสวรรค์นั้นเพียงพอแล้วที่จะข่มขู่ผู้คนในจักรวรรดิแห่งนี้ ต้องรู้ว่า 4 สำนักใหญ่นั้นมีอำนาจเทียบเคียงได้กับราชวงศ์ ฉะนั้นแล้วประมุขของ 4 สำนักใหญ่นั้นเรียกได้ว่ามีอำนาจพอกับจักรพรรดิก็มินับว่าเกินเลย!
บางทีด้วยจำนวนของผู้ฝึกตนระดับอาวุโสของ 4 สำนักใหญ่นั้นทางราชวงศ์ต้องเป็นฝ่ายที่จะให้ความเกรงใจเสียด้วยซ้ำ การแสดงป้ายของหยางอี้นั้นแทบจะทำให้ทั้งสองต้องเข่าอ่อน แต่ด้วยประสบการณ์ที่ต้องพบเจอกับตัวตนระดับสูงที่เดินทางผ่านเส้นทางมาหลายสิบปี ทำให้กงจี้ควบคุมตัวเองได้และรีบถามนามของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าทันที
"สหายน้อย มิทราบว่าสหายน้อยมีนามว่าอะไร?"
"เรียนผู้อาวุโส ข้านั้นนามว่าหยางอี้ ที่มาเมืองหลวงในครั้งนี้เพื่อต้องการเข้าร่วมการทดสอบของวิหารสวรรค์ตามคำเชิญของผู้อาวุโสเหล่ยโหลว"
หยางอี้กล่าวตอบอย่างสุภาพ แต่ก็มิได้กล่าวเกินเลยจากกฎของการเข้าเมืองแม้แต่น้อย หลังจากได้ยินชื่อของผู้อาวุโสเหล่ยโหลว ชายชราและชายวัยกลางคนเบื้องหน้าหยางอี้กลายเป็นนิ่งเงียบ
เหล่ยโหลวนั้นเป็นหนึ่งในสามอาวุโสสูงสุดของวิหารสวรรค์และยังมิค่อยออกมาพบเจอผู้ใด มีข่าวว่าตาเฒ่านี่จะอ่อนโยนต่อคนรู้จักและคุ้นเคยเท่านั้น แถมคนรู้จักที่เหล่ยโหลวนับเป็นสหายยังมีน้อยยิ่งนัก สำหรับคนอื่นด้วยความที่เป็นผู้คุมกฎสูงสุดของสำนักทำให้มีนิสัยแข็งกร้าวและรุนแรง
กงจี้มองสำรวจหยางอี้อย่างละเอียด จนคนข้างๆต้องกระแอมออกมา แม้ว่าหยางอี้จะเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แต่จากสิ่งที่เขาทั้งสองได้เห็นมาทั้งป้ายหยกและการเดินทางฝ่าป่าดับดารามา ล้วนไม่ควรเสียมารยาทแก่เด็กหนุ่มคนนี้ แม้เบื้องหลังจะยังไม่ชัดเจน แต่นั่นควรจะสืบหาเอาทีหลัง
กงจี้นั้นพลันได้สติก็ยิ้มอย่างเขียมอาย เดิมทีนั้นเขาต้องการจะสอบถามถึงภูมิหลังของหยางอี้ แต่ตอนนี้เขาคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วล้วนเป็นการเสียมารยาท และที่สำคัญมีเรื่องที่ต้องทำก่อนหน้านั้น!
"สหายน้อยหยางอี้ ตอนนี้ท่านทำตามกฎเรียบร้อยแล้ว ข้าจะลงบันทึกการมาถึงของท่าน หากข้าจำไม่ผิดการทดสอบนั้นจะเริ่มขึ้นพรุ่งนี้ตอนเที่ยงตรง" กงจี้กล่าวกับหยางอี้อย่างสุภาพ
“ผู้เยาว์ขอขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองที่ช่วยเหลือ”
“จริงสิ สหายน้อยหากท่านต้องการ ข้าสามารถจัดหาที่พักให้ได้”
“ขอบคุณท่านผู้ตรวจการ แต่ข้านั้นต้องการเดินเล่นชมเมืองหลวงเสียหน่อยจากนั้นจะหาโรงเตี๊ยมพักเอง”
“เช่นนั้นขอให้สหายน้อยสนุกกับการเดินชมเมือง เชิญ”
กงจี้พูดจบก็ผายมือให้หยางอี้ไปทางซุ้มประตูเมือง หยางอี้กล่าวลาทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในประตูเมือง
เมื่อหยางอี้จากไปแล้ว กงจี้ไม่รอช้ารีบไปยังโต๊ะและนั่งเขียนข้อความบนกระดาษแผ่นหนึ่ง ก่อนจะพับใส่ซองจดหมายและเรียกทหารนายหนึ่งให้นำไปส่งยังพระราชวังอย่างเร่งด่วน ทั้งสองยืนมองทหารที่เร่งนำสารไปส่งด้วยสายตาเป็นกังวล
“ข้าหวังว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น” กงจี้กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา
“ท่านกังวลเกินไปแล้ว เจ้าหนูนั่นยังมิได้เข้าร่วมสำนักวิหารสวรรค์เสียหน่อย อีกอย่างดูจากนิสัยแล้วเขามิใช่คนที่จะชอบก่อปัญหาสักเท่าไหร่” ผู้บัญชาการกองพันกล่าวออกมาตามที่คิด
“ข้าคงจะไม่กังวลเช่นนี้หากป้ายนั่นมาจากอาวุโสอีกสองคนมิใช่เหล่ยโหลว...” หลังกล่าวออกมาทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมา
ภายในเมืองหลวงเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนเดินเบียดเสียดกันเต็มถนนสายหลัก สองข้างทางเต็มไปด้วยแผงร้านค้าของเหล่าพ่อค้าแม่ค้า สิ่งของที่นำมาวางขายนั้นมีตั้งแต่ราคา 10 เหรียญทองไปจนถึง100,000 เหรียญทอง
หยางอี้เดินตามถนนสายหลักอันทอดยาวมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเพราะถูกบดบังด้วยคลื่นฝูงชนอันล้นเหลือ จากกำหนดการเปิดการทดสอบรับศิษย์ใหม่ของ 1 ใน 4 สำนักใหญ่ของจักรวรรดิ สำนักวิหารสวรรค์ ทำให้เหล่ารุ่นเยาว์จากทั่วสารทิศต้องเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อรับการทดสอบ และหวังว่าจะได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้เข้าร่วมกับวิหารสวรรค์ เพื่อสร้างเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูล
สิ่งตอบแทนต่างๆจากการเข้าร่วมวิหารสวรรค์นั้นมากมายเหนือคณา ทั้งทรัพยากรที่หามิได้ ทั้งทักษะยุทธ์อันสุดแสนจะล้ำค่าและการปกป้องจากสำนัก ล้วนเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่จะได้รับ ยังมีประโยชน์อีกมากมายให้เหล่ารุ่นเยาว์ได้ไขว่คว้า แต่ทุกสิ่งนั้น การจะได้มาล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถ!
หยางอี้เดินสำรวจชมเมืองอยู่หลายชั่วยาม แม้จะแวะดูสิ่งของหลายร้านแต่ก็มิได้เจอของที่ถูกใจ อีกทั้งกลับได้พบเจอกับปัญหาแทน ในช่วงที่เดินเล่นนั้นหยางอี้แวะทุกที่ที่เจอโรงเตี๊ยม แต่แล้วทุกที่กลับถูกจองเต็มไปหมดเสียแล้ว ด้วยการหลั่งไหลเข้ามาของรุ่นเยาว์ภายในเมืองหลวง ทำให้ที่พักมีไม่เพียงพอต่อการรองรับเพราะแน่นอนบางตระกูลย่อมมีผู้ติดตามมาอีกหลายคน จนในช่วงหลังการเดินเล่นชมเมืองของหยางอี้กลับกลายเป็นการหาที่พักไปแทน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะทุกที่ล้วนเต็มแน่นไปด้วยผู้คน
“ข้าดันลืมนึกถึงปัญหานี้ไปเสียได้ ถ้ารู้เช่นนี้ ข้าคงจะรับข้อเสนอของผู้ตรวจการไปแล้ว”
หยางอี้เดินบ่นพึมพำไปเรื่อยๆ ในใจกลับคิดว่าคืนนี้คงต้องหาต้นไม้หรือเก๋งในสวนหย่อมของเมืองสักที่เป็นที่พักเสียแล้ว สายตาของชายหนุ่มสอดส่องไปเรื่อยๆเพื่อหาจุดที่เหมาะแก่การค้างแรม
จริงอยู่ ระดับพลังปราณของหยางอี้ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนก็ได้ แต่สิ่งที่ชายหนุ่มมิอยากเสียไปนั้นคือการบ่มเพาะพลังปราณภายในมิติพิเศษ ซึ่ง 1 คืน ภายนอกนั้นเท่ากับ 5 วันในมิติพิเศษ
แม้จะเป็นข้อดีอันมหาศาลของสมบัติชิ้นนี้ก็จริง เพียงแต่ข้อจำกัดที่น่าหงุดหงิดของมันคือการที่เมื่อเข้าสู่มิติพิเศษแล้วกายหยาบภายนอกจะไร้การป้องกันไปชั่วขณะ แม้จะสามารถสัมผัสถึงภายนอกได้แต่ด้วยช่องว่างระหว่างมิติและเวลาทำให้สัมผัสของหยางอี้ถูกลดทอนไปกว่า 9 ส่วน ซึ่งหากมิมีสิ่งใดเข้ามาในระยะ 2 เมตรหยางอี้จะไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้เลย
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงเวลาที่ผ่านมา หยางอี้จึงเลือกถ้ำที่สามารถปิดสนิท หรือที่พักอันปลอดภัยเท่านั้น จึงเข้าสู่มิติพิเศษ ระยะเวลาภายในป่าดับดารา 6 เดือน หยางอี้มีเวลาฝึกเพียงช่วงหลังจากเจอกับกู่เทียนชางอย่างเต็มที่ เพราะก่อนหน้านั้นต้องคอยหลบหลีกสัตว์อสูร ทำให้ไม่สามารถปลดการระวังตัวลงได้
ความต้องการของหยางอี้ในการฝึกนั้นมีมากล้น แม้จะเตรียมใจที่จะต้องค้างแรมกลางแจ้งไว้แล้วแต่สายตาก็ยังคงสอดส่องมองหาที่พักอยู่ตลอด ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มกลายเป็นสีแดงเข้มจากแสงดวงตะวันที่เริ่มลาลับขอบฟ้า ผลักดันความมืดเข้าปกคลุมท้องนภา ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจะถอดใจ สายตาของชายหนุ่มพลันเหลือบไปเห็นป้ายอันใหญ่โตที่เริ่มเรืองแสงขึ้นมาท่ามกลางความมืดของค่ำคืน
หยางอี้มองไปยังป้ายที่ทำจากคริสตัลเรืองแสงด้วยความสนใจ ก่อนจะค่อยเดินตรงไปยังที่แห่งนั้น สถานที่แห่งนี้อยู่ไกลจากตัวชายหนุ่มพอสมควร ที่สังเกตพบเจอนั้นย่อมมาจากการเรืองแสงของป้ายหินคริสตัลด้านหน้า
“หอเมฆาเบ่งบาน!”
นั่นคือตัวอักษรที่สลักบนป้ายส่องแสงนั้น หยางอี้เดินมาถึงสักพักแล้ว แต่ชายหนุ่มยังคงจ้องมองเข้าไปยังหอแห่งนี้อยู่ ด้านนอกตัวหอเป็นทรงกลมสูง 3 ชั้น ความกว้างนับว่ามีไม่น้อย หยางอี้ลองสังเกตรอบๆพบว่าตึกต่างๆบริเวณนี้เป็นของหอเมฆาเบ่งบานทั้งหมด
สิ่งที่ทำให้หยางอี้ยังคงยืนอยู่ด้านหน้านั้นมิใช่สิ่งใดเลย นอกเสียจากความเลิศหรูอลังการของหอเมฆาเบ่งบาน ทุกส่วนล้วนถูกประดับประดาด้วยอัญมณีอย่างหรูหราสวยงาม หลังจากสังเกตมาครู่หนึ่ง หยางอี้พบว่าผู้คนที่เข้าออกนั้นล้วนเป็นคนที่มีเงินเหลือใช้ จากการแต่งตัวรวมถึงผู้ติดตาม บางคนถึงกับมีรถม้าหรูหรามาจอดรอรับ
สิ่งที่หยางอี้กังวลมิใช่การใช้จ่ายเงินที่มีอยู่ แต่กลับเป็นว่าเงินที่มีอยู่จะพอให้ใช้จ่ายหรือไม่ต่างหาก หลังจากตรวจนับเหรียญทองภายในแหวนมิติอีกครั้งแล้วจึงพบว่ามีเหลืออยู่ประมาณ 12,000 เหรียญทอง หยางอี้จึงตัดสินใจเดินเข้าไปภายในหอด้วยความคิดที่ว่าที่พักจะหรูหราสักเพียงใดคงมิเกิน 10,000 เหรียญทองเป็นแน่ เพราะหลังจากวันนี้ตัวเขาก็คงมิจำเป็นต้องใช้จ่ายไปอีกพักใหญ่ จนกว่าจะถึงตอนนั้นค่อยหาเพิ่มยังมิสาย
หยางอี้ค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาภายในหออย่างช้าๆ พร้อมสังเกตโดยรอบไปด้วย ชายหนุ่มคิดในใจว่าที่นี่เมื่อเข้ามาภายในความหรูหราคงจะเทียบได้กับพระราชวังเลยกระมัง เดินเข้ามาไม่นานก็มีหญิงสาวหน้าตาสวยงามทรวดทรงเย้ายวนออกมาต้อนรับด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวาน
“ยินดีต้อนรับสู่หอเมฆาเบ่งบานเจ้าค่ะ” หยางอี้เพียงพยักหน้าเล็กน้อยวางมาดเคร่งขรึมยังมิทันเอ่ยปากถามราคาค่างวด หญิงสาวเบื้องหน้ากลับเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการพักที่หอเมฆาเบ่งบานของเรากี่วันเจ้าคะ”
หญิงสาวผู้นี้มิกล่าววาจาอ้อมค้อม กลับตรงเข้าประเด็นทันที ทำให้หยางอี้ตั้งตัวมิทัน ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆก่อนจะกล่าวถามออกมาอย่างสุภาพ
“พี่สาว มิทราบว่าราคาที่พักของหอเมฆาเบ่งบานนั้นคืนละเท่าไหร่?” เมื่อได้ยิน นางหลุดขำออกมาเล็กน้อย ทำให้หยางอี้ถึงกับหน้าขึ้นสีจางๆ
“ขออภัยเจ้าค่ะ ราคาที่พักของหอเมฆาเบ่งบาน สำหรับห้องชั้น 3 คืนละ 40,000 เหรียญทอง ชั้นสอง 25,000 เหรียญทอง และชั้น 1 คือ 15,000 เหรียญทองเจ้าค่ะ” เมื่อฟังจบหยางอี้ถึงกับเหงื่อแตกพลางคิดในใจ
‘บัดซบนี่มันแพงเกินไปแล้ว’
เมื่อเห็นอาการของหยางอี้ หญิงสาวเข้าใจทันที หนุ่มน้อยผู้นี้คงจะมีเงินมิเพียงพอเป็นแน่ นางยิ้มหวานก่อนจะเอ่ยออกมา
“ที่อื่นภายในเมืองนี้เห็นทีคงจะเต็มหมดแล้ว ข้าคิดว่าตอนนี้คงจะมีเพียงหอเมฆาเบ่งบานของเราที่สามารถต้อนรับคุณชายได้”
หยางอี้ไม่แปลกใจเรื่องนี้ เพราะตัวเขาเองเดินหามาทั้งวันแล้วยังมิได้ที่พัก แต่จะทำอย่างไรเล่า ในเมื่อเขามีเงินมิเพียงพอต่อห้องชั้น 1 เสียด้วยซ้ำ สุดท้ายชายหนุ่มก็จนใจคิดว่าคงจะต้องหาต้นไม้สักต้นเป็นที่พักพิงในคืนนี้ จึงกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“กล่าวตามตรงพี่สาว ข้านั้นก็ต้องการพักที่นี่ เพียงแต่เงินของข้ามิเพียงพอ ขอบคุณพี่สาวที่ช่วยบอกราคาแก่ข้า” หยางอี้พูดจบก็เตรียมจะหันกายเดินออกจากหอเมฆาเบ่งบาน แต่หญิสาวเบื้องหน้ากลับเอ่ยออกมาเสียก่อน
“ฮิๆ คุณชาย ที่หอของเรามีบริการรับซื้อหรือจำนำสิ่งของมีค่าต่างๆด้วย ไม่ทราบว่าคุณชายสนใจหรือไม่เจ้าคะ”
หยางอี้มองไปยังหญิงสาวอีกครั้งด้วยความงุนงง ที่พักแบบใดกันถึงมีการกระทำเช่นนี้ หรือแท้จริงแล้วที่นี่คือโรงจำนำ?
เมื่อเห็นอาการของหยางอี้ หญิงสาวมิได้แปลกใจ เธอกลับบอกถึงกิจการต่างๆของหอเมฆาเบ่งบานให้กับหยางอี้ฟัง เมื่อได้ยิน หยางอี้ถึงกับตกตะลึง นี่มันเป็นแหล่งสูบเงินชัดๆ
ที่หอเมฆาเบ่งบานแห่งนี้ มิได้เป็นเพียงที่พักเท่านั้น จะพูดให้ถูกที่พักเป็นเพียงเรื่องรองรับและอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าเสียมากกว่า เพราะหอเมฆาเบ่งบานนั้นมีธุรกิจมากมายที่ล้วนทำเงินได้มหาศาล ไม่ว่าจะเป็น การพนันต่างๆ ร้านอาหาร สุราเลิศรส โรงประมูล แม้กระทั่งหอนางโลมก็ยังมีให้บริการ หยางอี้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงมีโรงรับซื้อและจำนำของมีค่า นักพนันเมื่อเสียแล้วล้วนอยากได้คืน ทำให้ของมีค่าต่างๆล้วนถูกนำมาจำนำหรือขายให้กับทางหอ และสุดท้ายก็จากไปด้วยตัวเปล่า
ส่วนของมีค่าเหล่านั้นจะไปไหนเสียนอกจากเข้าสู่โรงประมูล เมื่อคิดๆดูแล้ว ทุกกิจการของหอล้วนเกื้อหนุนกันเป็นวัฏจักร หากคนผู้หนึ่งเข้ามาภายในหอเมฆาเบ่งบานแห่งนี้ด้วยเงินกองเท่าภูเขา หยางอี้มั่นใจว่าคนผู้นั้นสามารถกลับออกไปตัวเปล่าได้ด้วยเช่นกัน แม้ดูเหมือนที่นี่จะเป็นสถานที่มั่วสุมของพวกคนรวย แต่หยางอี้ก็อดชมเชยเจ้าของหอเมฆาเบ่งบานมิได้ที่คิดเครื่องมือสูบเงินชั้นยอดเหล่านี้มารวมกันได้อย่างลงตัว
แต่สิ่งที่หยางอี้สนใจมากเป็นพิเศษคือหอเดิมพันในส่วนของสนามประลอง ซึ่งเป็นการเดิมพันกันด้วยการต่อสู้ หอแห่งนี้ดึงดูดหยางอี้เป็นอย่างมากจากที่ฟังมาจากหญิงสาวต้อนรับ สนามต่อสู้ของหอเมฆาเบ่งบานนั้นเต็มไปด้วยยอดฝีมือและผู้มีอำนาจมากมายในเมืองหลวงซึ่งเป็นสถานที่สำหรับชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยานเช่นตัวเขาอย่างแท้จริง
หยางอี้ตัดสินใจติดตามหญิงสาวต้อนรับไปยังโรงจำนำได้มิยากนัก ยังไงเสียเขาก็ต้องการที่พักและแวะไปยังสนามประลองเสียหน่อย อีกทั้งดวงจิตอสูรของหยางอี้ที่เก็บมาจากป่าดับดารานั้นมีเยอะจนแทบจะเต็มแหวนเก็บของเสียแล้ว
หยางอี้เดินตามมาไม่นานก็ถึงตึกโรงจำนำ ภายในเป็นเพียงห้องโถงห้องใหญ่แต่ในห้องโถงนั้นกลับเต็มไปด้วยสิ่งของมีค่ามากมายวางเรียงอยู่ตามชั้นบ้างตู้กระจกบ้าง ส่วนลึกสุดเป็นเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมหักมุมที่ตั้งอยู่ติดกับผนัง ด้านในโต๊ะมีชายชราในชุดขาวคนหนึ่งกำลังนั่งหลับตาอยู่
“ฮิฮิ คุณชายนี่โชคดีจริงๆ หากมาช้ากว่านี้เพียงครึ่งชั่วยามท่านจะต้องรอต่อแถวอีกยาวเป็นแน่” หญิงสาวเบื้องหน้ากล่าวออกมาพลางหัวเราะ
“ทำไมหรือพี่สาว” หยางอี้ถามออกมาด้วยความสงสัย
“นั่นเพราะตอนนี้เป็นเวลาที่ใกล้จะจบการประลองรอบแรกแล้ว ผู้ที่เสียจนหมดตัวล้วนมีมากมายที่ต้องการได้คืน…”
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะรับแลกเปลี่ยน ชายชราก็ถอนหายใจก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเบื่อหน่าย แต่เมื่อเห็นมีเพียงหญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับหน้าหอและเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินตามมา ทำให้ประหลาดใจเล็กน้อย
“หืม อ่อใช่สิ นี่ยังมิถึงเวลาที่เจ้าพวกน่ารำคาญจะมากัน”
“ผู้อาวุโส คุณชายท่านนี้ต้องการนำของมาขายเจ้าค่ะ” หญิงสาวต้อนรับพูดออกมาอย่างสุภาพ ก่อนจะผายมือให้กับหยางอี้ เมื่อส่งหยางอี้ถึงมือผู้อาวุโสประจำโรงจำนำซื้อขายแล้ว นางก็ขอตัวกลับไปทำหน้าที่ต่อทันที
ชายชรามองดูหยางอี้อย่างเฉื่อยชา ตนนั้นทำงานนี้มาหลายปี ช่วงเวลาที่เหล่านักพนันจะมานั้นคือเวลาจบการเดิมพันของแต่ละรอบ ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าวุ่นวายอย่างมาก ด้วยจำนวนคนและความร้อนใจกลัวจะกลับหอเดิมพันไม่ทันทำให้เรื่องวุ่นวายมักเกิดขึ้น ส่วนเวลาอื่นนั้นล้วนเป็นเวลาพักผ่อนของชายชรา แต่ชายชราก็มิได้ใส่ใจมากนัก เพียงคิดว่าหยางอี้เป็นเด็กเหลือขอบุตรหลานคนร่ำรวยที่หนีออกมาเล่นพนันเท่านั้น
“เอาล่ะเจ้าหนุ่ม อย่ามัวชักช้า มีอะไรจะขายก็นำออกมา แต่ขอเตือนไว้ก่อน หากของที่เจ้านำออกมานั้นไร้สาระ ข้าจะโยนเจ้าออกจากหอเมฆาเบ่งบานทันที” ชายชรากล่าวออกมาอย่างรำคาญใจ ส่วนหยางอี้ทำเพียงยิ้มจางๆก่อนจะเดินมายังโต๊ะเบื้องหน้าชายชรา
แกร่กๆ แกร่กๆ
เสียงวัตถุบางอย่างกลิ้งกระทบกับโต๊ะที่ใช้ในการประเมินราคาสิ่งของที่ หยางอี้เพียงสะบัดมือหนึ่งทีดวงจิตสัตว์อสูรทั้งหมดก็พลันออกจากแหวนมิติ มาปรากฏบนโต๊ะเบื้องหน้า ด้วยจำนวนของมันทำให้เกิดเป็นภูเขาจำลองขนาดย่อมชายชราที่ทำตัวเฉื่อยชาเหมือนจะหลับแหล่มิหลับแหล่อยู่ตลอดเวลา จนบัดนี้การกระทำของหยางอี้ช่วยถ่างตาเขาขึ้นโดยสมบูรณ์ มิหนำซ้ำตาของเขายังโตเสียยิ่งกว่าไข่ห่าน ปากอ้าจนทารกมุดเข้าไปได้
“อ้า น นี่!”
แกร่ก แกร่ก แกร่ก เสียงบางอย่างค่อยๆกลิ้งออกมาจากกองดวงจิตสัตว์อสูร และต้นตอของเสียงนั้นเองทำให้ชายชราแทบจะเข่าทรุดลงกับพื้น หลังจากนิ่งอึ้งมานาน เขาจึงค่อยๆเงยหน้ามองหยางอี้อย่างช้าๆ ใบหน้าของเขาเริ่มผุดเหงื่อเม็ดโตขึ้นมา
ด้านหยางอี้เพียงยิ้มบางเมื่อเห็นสิ่งที่กลิ้งออกมาจากกอง นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังมองหา ก้อนหินที่ส่องแสงรองๆสีแสดขนาดเท่ากำปั้น นั่นคือดวงจิตสัตว์อสูรระดับสวรรค์นั่นเอง!
“อ่า หาตั้งนาน...อันนี้ผู้เยาว์มิได้ขาย ที่จริงมีอีกอันหนึ่งที่ข้ามิขายต้องขออภัยผู้อาวุโสด้วยโปรดรอผู้เยาว์สักครู่”
ชายชรากลืนน้ำลายอึกใหญ่ เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใคร เมื่อนึกถึงคำพูดตนเองก่อนหน้านี้ ชายชราอยากจะย้อนเวลากลับไปตบปากตนเองเสียจริงๆ ชายชราพลันคิดว่าเนื่องจากคำพูดของตนก่อนหน้านี้ทำให้หยางอี้นึกอยากจะเอาคืน จึงหยอกล้อตนเช่นนี้
ความจริงหยางอี้มิได้ตั้งใจจะแกล้งให้ชายชราตกใจแต่อย่างใด แต่เนื่องจากชายหนุ่มมิได้สนใจในดวงจิตอสูรมากนัก เพราะจำนวนที่เขามีอยู่นั้นนับว่าเหลือเฟือแล้วในการใช้บ่มเพาะ ยามจะใช้เพียงแค่หยิบๆออกมา เมื่อได้ชิ้นใหม่ก็โยนๆเข้าแหวนไป ทำให้มันปะปนกันมั่วไปหมด
ในตอนนี้เขาจึงนำมันออกมาทั้งหมด และมองหาเพียงดวงจิตสัตว์อสูรระดับสวรรค์เท่านั้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อเขาในอนาคต ส่วนระดับปฐพีนั้นตอนนี้เป็นระดับที่เหมาะสมในการบ่มเพาะของหยางอี้ที่สุด เพราะมีความหนาแน่นของพลังปราณอยู่มาก และเป็นระดับที่หยางอี้สามารถฝืนทนรับได้
แต่ช่วงเวลานี้ หยางอี้ต้องการสำรองเงินไว้ใช้จ่ายในอนาคตอีกทั้งหลังจากนี้หนึ่งเดือนต้องกลับเข้าป่าดับดาราที่ชุกชุมไปด้วยสัตว์อสูรระดับสูง หยางอี้จึงตัดสินใจกลับไปเก็บเกี่ยวเอาภายหลัง หรือบางที่อาจารย์ของเขาอาจจะมีเหลือเยอะจนโยนทิ้งโยนขว้างได้เสียด้วยซ้ำ
ชายชรามองดูการกระทำของหยางอี้ด้วยความใจจดใจจ่อ หน้าผากของเขานั้นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า นี่มิใช่สถาณการณ์ที่เขาจะทนรับไหว ดวงจิตสัตว์อสูร...วัตถุที่เป็นแหล่งจ่ายพลังปราณให้แก่สัตว์อสูรซึ่งอยู่ในตัวสัตว์อสูร แม้ว่าสัตว์อสูรจะมีจำนวนมากมายล้นเหลือในโลกแห่งนี้ แต่จำนวนผู้ล่าล่ะ? มิได้มีผู้มากความสามารถมากมายเช่นนั้น
ระดับต่ำสุดของดวงจิตอสูรคือระดับก่อกำเนิด ซึ่งอยู่ภายในตัวสัตว์อสูรระดับก่อกำเนิดเช่นกัน ซึ่งแม้จะเป็นระดับต่ำสุดมันก็มีค่าอยู่ไม่น้อย เพราะการจะล่าสัตว์ระดับนี้ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่า แต่อาชีพของนักล่านั้นถือว่ามีน้อยมาก เนื่องจากผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จในวัยเยาว์ส่วนมากนั้นก็ก้าวไปถึงเพียงระดับก่อกำเนิดขั้นสูง หรือดีหน่อยก็ระดับก่อตั้งจิตขั้นต่ำ ตั้งแต่ขั้นกลางขึ้นไปนั้นมีความสามารถพอจะเป็นผู้ฝึกสอนในสำนักเล็กๆแล้ว!ดังนั้นผู้ที่จะมาเสี่ยงอันตรายออกล่าสัตว์อสูรนั้นถือว่ามีน้อยมาก ทำให้ดวงจิตสัตว์อสูรนับเป็นของราคาสูงพอสมควร
ส่วนพวกรุ่นเยาว์หรือพวกที่ประสบความสำเร็จในการฝึกพลังปราณนั้นลืมเรื่องการออกล่าไปได้เลย เพราะคนพวกนี้หากมิเป็นบุตรหลานคนมีฐานะก็เข้าร่วมกับสำนักมีชื่อ ทำให้มีทรัพยากรอยู่เพียงพอและไม่จำเป็นต้องออกมาโลกภายนอก
สูงขึ้นไปอีกระดับคือเหล่าบุคคลระดับสูง เช่นกันย่อมมิเปลืองแรงมาออกล่าสัตว์ระดับต่ำ สำหรับบุคคลเหล่านี้ดวงจิตระดับต่ำล้วนมิมีความหมาย นั่นทำให้ชายชราตาลุกวาวเมื่อเห็นกองดวงจิตสัตว์อสูรจำนวนมากที่กองอยู่เบื้องหน้านับดูคร่าวๆมากกว่า 200 ก้อน! แต่เขาก็เริ่มแปลกใจและหัวใจเต้นระรัวเมื่อสังเกตเห็นดวงจิตระดับก่อตั้งจิต... จิตใจของเขานั้นล้วนเบิกบานเป็นอย่างมาก หากนำเอาดวงจิตพวกนี้มาขายแน่นอนว่าราคาย่อมดีแต่ก็ยังมิดีเท่าการประมูล! แม้แกนธาตุระดับก่อกำเนิดจะเป็นระดับต่ำแต่นั่นก็เพียงพอจนเหลือล้นแล้วสำหรับให้ผู้มั่งคั่งทุ่มเงินเพื่อนำไปประคบประหงมบุตรหลานตั้งแต่เยาว์วัย แต่ใบหน้าของเขาก็เริ่มซีดเซียวเมื่อเห็นในกองนี้ยังมีกระทั่งดวงจิตอสูรระดับปฐพี! นี่มันเกินไปแล้ว! เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่?
หนึ่ง ต้องรู้ว่าสัตว์อสูรนั้นมิเหมือนมนุษย์ หากเทียบกันแล้วในระดับเดียวกันสัตว์อสูรย่อมแข็งแกร่งกว่า เพราะพวกมันมีสัญชาตญาณอันน่าสะพรึง แม้มนุษย์จะมีความคิดและปัญญาที่สูงกว่า แต่อย่าลืมว่าสัตว์อสูรยิ่งระดับสูงยิ่งมีสติปัญญามากยิ่งขึ้น สำหรับสัตว์อสูรระดับปฐพีมิใช่เรื่องง่ายแล้วที่จะล่ามัน แม้ผู้ฝึกปราณระดับปฐพีมาเองยังมิกล้าดวลเดี่ยวกับพวกมันเลย
ความจริงเมื่อเห็นดวงจิตระดับปฐพีที่มีมูลค่ามหาศาลแล้ว กระทั่งสำนักใหญ่ยังใช้เป็นรางวัลใหญ่ในการประลองหรือภารกิจระดับสูง มิใช่ทรัพยากรที่สามารถหามาได้โดยง่าย แต่เบื้องหน้าของเขานี่เล่า! จากที่นับดูคร่าวๆ มีอยู่เกือบ 10 ก้อน! แล้วจะมิให้เขาตื่นตระหนกได้อย่างไร และแล้วเมื่อเขาเห็นก้อนวัตถุสีแสดกลิ้งหลุนๆมาเบื้องหน้าเขา ก่อนที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะเอามือมาคว้าจับกลับไป นั่นทำให้หัวใจเขาแทบจะวาย ไอปราณที่แผ่ออกมา ความเข้มข้นนี้...ระดับที่ความเข้มข้นเหนือกว่าระดับปฐพี จะเป็นอะไรไปได้? มันคือดวงจิตสัตว์อสูรระดับสวรรค์!
สัตว์อสูรระดับสวรรค์คืออะไร? มันคือราชาที่ปกครองพื้นที่ต่างๆของป่า มันมิใช่สัตว์อสูรสามัญ แต่คำเรียกของมันคือ ราชา!
“เจอแล้ว” หยางอี้กล่าวออกมาหลังจากสังเกตไอปราณที่ตีกันมั่วไปหมดภายในกองสัตว์อสูร แม้จะเป็นพลังปราณที่เข้มข้น แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางพลังปรานจำนวนมาก ทำให้มันสับสนปนเปกันไปหมด หยางอี้เอื้อมมือออกไปเขี่ยดวงจิตก้อนอื่นออกก่อนจะหยิบออกมาก้อนหนึ่ง มันเป็นสีฟ้าครามสดใสและแน่นอนมันคือระดับสวรรค์เช่นกัน! ชายชราเมื่อเห็นเขาก็แทบจะเป็นลมหมดสติ น นี่ ยังมีอีกหนึ่งก้อน...มิใช่มีเพียงก้อนเดียว!
แน่นอนว่าก้อนแรกคือของราชาเสือดำที่หยางอี้สังหารลงได้ และอีกหนึ่งคือที่กู่เทียนชางมอบให้มา เมื่อได้แล้วหยางอี้เก็บทั้งสองกลับเข้าแหวนมิติทันทีก่อนจะเอ่ยกับชายชราเบื้องหน้า
“เรียบร้อย ทั้งหมดนี้ขอให้ผู้อาวุโสตีราคาให้ข้าด้วย”
ชายชราพลันได้สติจากเสียงเรียกของหยางอี้ หลังจากตกใจจนแทบหมดสติ เขาก้มลงมองกองดวงจิตสัตว์อสูรที่กองพะเนินอยู่เบื้องหน้าสลับกับชายหนุ่ม เขาเองก็แปลกใจมิใช่น้อยเพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนมีค่าสำหรับรุ่นเยาว์ที่ฝึกฝนพลังปราณ เขาลอบสำรวจแต่กลับไม่พบพลังปราณจากตัวหยางอี้แม้แต่น้อย หลังจากครุ่นคิด เขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่ทำให้เขาหน้าซีดเผือด
‘หรือว่าเจ้าหนุ่มนี้ระดับสูงเกินกว่าจะใช้ดวงจิตพวกนี้?’
หากเป็นเวลาอื่นมีใครมาพูดว่าพบเจอรุ่นเยาว์ที่ระดับสูงจนมิจำเป็นต้องใช้ดวงจิตสัตว์อสูร แม้กระทั่งระดับปฐพียังมิมีค่าพอ เขาคงจะหัวเราะเยาะและบอกว่ามันผู้นั้นบ้าอย่างแน่นอน แต่บัดนี้เมื่อมองไปยังกองเบื้องหน้าทำให้เขามิกล้าคิดเช่นนั้นแล้ว
‘อ่า นี่มิใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว!’
“เรียนคุณชาย ราคาของพวกนี้ชายแก่เช่นข้ามิสามารถตัดสินได้ ขอคุณชายโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปตามผู้ดูแลหอมาพบท่าน!”
ชายชรากล่าวออกมาอย่างสุภาพผิดกับตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด มันทำให้หยางอี้ประหลาดใจอีกครั้ง ตัวเขาเปรียบเสมือนเด็กบ้านนอก อีกทั้งของพวกนี้เขาก็ได้มาโดยมิได้ยากเย็นมากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นกู่เทียนชางโยนๆมาให้เก็บไว้ ทำให้เขามิได้รู้เลยว่าราคาของพวกมันสูงส่งเพียงใด
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าคนสองคนกำลังวิ่งขึ้นมาชั้นบนของหอเมฆาเบ่งบานอย่างเร่งร้อนก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญ”
หลังจากเสียงเคาะประตูจบลงเสียงตอบรับจากภายในห้องก็ดังออกมาส่วนสองคนที่เร่งร้อนมามิใช่ใครอื่น คือชายชราที่ทำหน้าที่ดูแลโรงจำนำและหญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับอยู่ที่ห้องรับรองนั่นเอง ซึ่งก่อนจะมาชายชราได้ไปตามให้หญิงสาวนั้นขึ้นมาด้วยกัน
เมื่อเปิดประตูเข้ามา เบื้องหน้าทั้งสองเป็นห้องทำงานที่กองเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษมากมาย และเบื้องหลังโต๊ะนั้นเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาคมคายคนหนึ่งกำลังนั่งตรวจแผ่นกระดาษต่างๆที่กองอยู่บนโต๊ะ
เมื่อผู้มาใหม่ก้าวเข้าห้องมา ชายวัยกลางคนก็ละงานในมือก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างเรียบเฉย
“มีอะไรหรือ จงเสียน”
ชายชราจงเสียนผู้ถูกถามเร่งตอบคำถามทันที พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวต่างๆที่ตนเจอมาให้กับชายวัยกลางคนฟัง ด้านชายวัยกลางคนนั้น ขณะฟังไปด้วยก็มีสีหน้าประหลาดใจไปด้วยเช่นกัน ส่วนหญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับเองก็ตกใจไม่น้อย จนสุดท้ายเมื่อถูกถามเข้าเพราะตนเป็นผู้พบกับหยางอี้เป็นคนแรก นางจึงได้บอกถึงจุดหมายของหยางอี้ให้แก่ทั้งสองฟัง ซึ่งทั้งสองกลับประหลาดใจเข้าอีกครั้ง เด็กหนุ่มผู้นี้เพียงต้องการหาที่พัก และมีเงินไม่พอจึงไปยังโรงจำนำ...แต่สิ่งของที่นำออกมาเพื่อขายกลับเป็นดวงจิตอสูรจำนวนมาก
ทั้งสองต่างมีคำถามในใจ หากเพียงต้องการที่พักจำเป็นต้องนำออกมาเพียงนั้นเชียวหรือ? แต่เรื่องจำนวนมิใช่ประเด็นสำคัญเพราะที่สำคัญคือระดับของมันต่างหาก! หลังจากฟังเรื่องราวจนจบแล้วชายวัยกลางคนสั่งให้หญิงสาวกลับไปทำหน้าที่ส่วนตัว เขาและชายชราจงเสียนก็เร่งไปพบหยางอี้ที่โรงจำนำทันที
ระหว่างทางจงเสียนกลับเอ่ยปากถามขึ้นมา
“ท่านผู้ดูแล ท่านคิดว่าจะเป็นคนเดียวกับที่ทางราชวงศ์ส่งสารมาหรือไม่ขอรับ?”
“ข้ายังไม่มั่นใจ แต่มีความเป็นไปได้ถึง 8 ส่วน อย่างไรเมื่อทราบนามของเขาเราก็จะรู้ได้ทันที!”
แท้จริงแล้ว หลังจากสารของกงจี้ถูกส่งไปยังราชวงศ์ได้ไม่นาน ทางราชวงศ์ก็ส่งสารลับถึงขุมกำลังต่างๆภายในเมืองหลวงให้คอยระวังหยางอี้เอาไว้ ยิ่งช่วงนี้เป็นการทดสอบของสำนักวิหารสวรรค์ ทำให้มีรุ่นเยาว์จากต่างเมืองเข้ามากันอย่างคับคั่ง มิต้องสงสัยเลยว่าพวกรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถลูกหลานบุคคลระดับสูงย่อมอวดเบ่งยกตนข่มท่านอย่างแน่นอน
เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น มิใช่ทางราชวงศ์กลัวสำนักวิหารสวรรค์จนหดหัวเพียงแต่ป้ายนั้นเป็นของเหล่ยโหลวตาแก่ผีเข้าผีออกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายและไม่เคยไว้หน้าใคร อีกทั้งยังได้ความเคารพสูงจากสำนักวิหารสวรรค์ แม้จะมิกลัวแต่มิเป็นศัตรูย่อมดีที่สุด! หากหลีกเลี่ยงได้ย่อมต้องหลีกเลี่ยงเพราะมันเป็นเวลาเพียงมิกี่วันเท่านั้นไม่คุ้มค่าหากจะปล่อยให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น!
ช่วงเวลาที่สารลับมาถึงหอเมฆาเบ่งบานบังเอิญจงเสียนนั้นอยู่กับผู้ดูแลพอดี จึงได้รับรู้เรื่องนี้ หลังจากที่ชายชราจงเสียนจากไป หยางอี้ก็นั่งรออยู่ภายในห้องโถงโรงจำนำพร้อมกับไล่มองของที่ถูกวางไว้ตามชั้นไปด้วย ซึ่งก็เป็นเวลาเพียงไม่นานนักเพราะจงเสียนนั้นมิได้ชักช้าเมื่อออกไปก็ตรงไปพาตัวหญิงสาวต้อนรับขึ้นไปพบผู้ดูแลทันที
หลังจากหยางอี้ไล่มองสำรวจสิ่งของไปบางส่วนคนสองคนก็ก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องโถง จงเสียนเดินเข้ามาหาหยางอี้เพื่อแนะนำผู้ดูแลให้กับหยางอี้
“คุณชาย...ตาแก่ผู้นี้เรียกว่าจงเสียน ส่วนท่านนี้คือผู้ดูแลหอเมฆาเบ่งบานแห่งนี้นามว่า ปู้หยุน” จงเสียนนั้นมัวแต่ตกใจและรีบวิ่งออกไปหาปู้หยุนจึงมิได้แนะนำตนเองและถามไถ่นามของหยางอี้ ซึ่งปกติเขาก็มิเคยถามผู้ใดอยู่แล้ว เพราะเมื่อลงมือซื้อขายกันจะต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรทุกครั้ง
หยางอี้ยิ้มออกมาอย่างสุภาพให้แก่จงเสียนและค้อมตัวให้แก่ทั้งสองก่อนจะเอ่ยออกมา
“ผู้อาวุโส สุภาพเกินไปแล้ว ผู้เยาว์นั้นนามว่า หยางอี้!”
หลังจากจบคำของหยางอี้ทั้งสองกระจ่างทันทีถึงเรื่องที่สงสัยระหว่างทางมา ตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าคือคนเดียวกับที่ราชวงศ์บอกมา เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองมิแปลกใจแล้วว่าหยางอี้นั้นมีดวงจิตสัตว์อสูรมากมายได้เช่นไร
“หอเมฆาเบ่งบานของเรายินดีต้อนรับคุณชายหยาง เรื่องราคาของดวงจิตอสูรนั้นข้าปู้หยุนจะจัดการอย่างเป็นธรรมแน่นอน ขอคุณชายสบายใจได้”
ปู้หยุนเอ่ยวาจาอย่างสุภาพ ซึ่งจงเสียนก็มิได้แปลกใจ ปู้หยุนนั้นเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลสถานที่แห่งนี้ย่อมมิใช่ตัวตนอันต้อยต่ำ ที่ผ่านมาแม้กับผู้มีอิทธิพลจะกล่าววาจาอย่างสุภาพแต่ก็มิเคยอ่อนลงให้แก่ผู้ใด มิฉะนั้นแล้วหอเมฆาเบ่งบานคงล่มสลายไปนานแล้ว
ปู้หยุนนั้นบอกให้หยางอี้นั่งรอสักครู่ก่อนจะแยกตัวไปยังกองดวงจิตที่กองอยู่บนโต๊ะของจงเสียนเพื่อตรวจสอบ
หยางอี้นั้นนั่งรออยู่ครึ่งชั่วยามปู้หยุนก็เดินกลับมาพร้อมกับกระดาษหนึ่งแผ่น ซึ่งเป็นรายการและราคาของดวงจิตที่หยางอี้นำมาขาย และเมื่อมองดูรายการจนไล่ไปถึงราคาถึงกับทำให้หยางอี้ตาโต
ระดับก่อกำเนิด 87 ก้อน 174,000 เหรียญทอง(2,000)
ระดับก่อตั้งจิต 36 ก้อน 360,000 เหรียญทอง(10,000)
ระดับปฐพี 7 ก้อน 1,400,000 เหรียญทอง(200,000)
รวม 1,934,000
“ล้านเก้าเหรียญทอง...รายได้แต่ละปีของจวนเจ้าเมืองเพียงสองแสนเท่านั้น!” หยางอี้เมื่อรู้ตัวก็หยุดพูดเพียงยิ้มกระหย่อมเท่านั้น ส่วนปู้หยุนนั้นเดินไปรับถาดเหรียญจากจงเสียนจึงมิได้ยินที่หยางอี้หลุดปากออกมา หยางอี้เมื่อเห็นรายการแล้วก็นึกย้อนกลับไปได้แต่ถอนหายใจ เพราะครั้งแรกที่เขานำดวงจิตของหมาป่าทมิฬไปขายกลับได้เพียงก้อนละไม่กี่ร้อยเหรียญทองเท่านั้นมันทำให้รู้ว่าตนโดนหลอกเสียแล้ว
‘ข้านี่ยังอ่อนต่อโลกเสียจริง’
ปู้หยุนกับจงเสียนเดินกลับมาพร้อมกับถาดใบใหญ่สองใบที่มีเหรียญทองจำนวนมากวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านบน
“นี่คือเหรียญทองจำนวน 1,934,000 เชิญคุณชายหยางตรวจนับ”
ปู้หยุนกล่าวออกมา แต่หยางอี้เพียงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกวาดมือผ่านเก็บเหรียญทองทั้งหมดเข้าสู่แหวนมิติ
“ข้าเชื่อใจพวกท่าน” ทั้งสองยิ้มออกมาเช่นกัน ก่อนที่ปู้หยุนจะกล่าวออกมา
“คุณชายถือเป็นแขกพิเศษ ทางหอเมฆาเบ่งบานขอต้อนรับคุณชายเพื่อเป็นการขอบคุณ” ปู้หยุนพูดจบก็วางกุญแจห้องพักชั้น 3 ให้แก่หยางอี้ โดยบอกว่าสามารถอยู่ได้จนพอใจ หยางอี้แม้พยายามปฏิเสธหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็รับมา
หลังจากจบเรื่องแล้ว ปู้หยุนก็ขอตัวจากไป ส่วนจงเสียนนั้นเรียกหญิงรับใช้มาเพื่อนำหยางอี้ไปยังหอเดิมพันตามคำขอของหยางอี้
ภายในห้องทำงานของผู้ดูแล ปู้หยุนหลังจากกลับมาก็จัดการกับกองใบรายการต่างๆของธุรกิจของหอเมฆาเบ่งบาน ทว่ากลับบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด จิตใจเกิดความกังวลผิดปกติ ทำให้สุดท้ายก็ต้องวางมือลง
“เห็นทีหลังจัดการรายการชุดนี้แล้ว ข้าคงต้องไปหอเดิมพันเสียหน่อย”