ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 บทที่ 13
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 บทที่ 15

เล่มที่ 1 บทที่ 14


  

แกร่ก แกร่ก

“นั่นใคร!” เสียงของทหารยามหนึ่งในสองคนผู้ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูขนาดใหญ่ตะโกนออกมา ทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าให้กัน แล้วผู้ที่พูดออกมาก็ค่อยๆเดินไปยังพุ่มไม้ที่มีเสียงออกมาด้วยท่าทีระมัดระวัง สองมือถือหอกขนาดใหญ่ชี้ไปยังพุ่มไม้ ทหารยามผู้นั้นค่อยๆก้าวเดินอย่างช้าๆ เมื่อได้ระยะก็ยื่นหอกออกไปเพื่อแหวกโพรงหญ้าที่มีเสียงดังออกมาอย่างระมัดระวัง

แกร่ก แกร่ก

ปลายหอกค่อยๆแหวกหญ้าออกช้าๆ ใบหน้าทหารยามเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ต้องรู้ว่า เมืองหลวงของจักรวรรดิเมฆาหวนนั้นเป็นเมืองขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งออกเป็นสามชั้นด้วยกัน ชั้นในสุดจะเป็นที่อยู่อาศัยของราชวงศ์ ชั้นกลางเป็นสถานที่ตั้งของพรรคขนาดกลางและตลาดการซื้อขายหรือโรงประมูลต่างๆ  โดยชั้นนอกจะเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนภายในเมืองหลวง

เมืองหลวงนั้นมีการตรวจตราการเข้าออกอย่างเข้มงวด เพียงแต่ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ในการเข้าออกคือ ประตูทิศเหนือ ทางเข้าออกของเมืองจะต้องผ่านหนึ่งในสองของประตูทิศเหนือและใต้ โดยทิศใต้นั้นจะเป็นด่านผ่านปกติที่มีการตรวจตราเข้มงวด สำหรับผู้คนและพ่อค้าที่เดินทางมายังเมืองหลวง

ส่วนประตูด้านทิศเหนือนั้นจะมีการตรวจตราที่เข้มงวดน้อยกว่า แต่จะเป็นการเฝ้าระวังที่เข้มงวดแทน เพราะประตูทิศเหนือนั้นอยู่ติดกับป่าดับดารา ทางที่จะเข้ามายังประตูนี้จะต้องผ่านป่าดับดาราเท่านั้น ส่วนมากจะเป็นทางผ่านสำหรับผู้ฝึกตนระดับสูงที่ไม่ต้องการความวุ่นวายในการเดินทาง

ด้วยกฎที่เข้มงวดของประตูทิศใต้ แม้จะเป็นผู้สูงส่งมาจากที่ใดก็ต้องทำตามกฎ เว้นแต่จะเป็นราชวงศ์หรือผู้นำของพรรคใหญ่ในอาณาจักรอื่นเดินทางมาโดยมีการเตรียมต้อนรับไว้ก่อนแล้ว ด้วยกฎอันเข้มงวดนี้ ทำให้ผู้ฝึกตนระดับสูงเลือกที่จะใช้การเดินทางผ่านประตูทิศเหนือเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย เพราะด้วยความสามารถที่เดินทางผ่านป่าดับดารามาได้นั้นย่อมเป็นตัวตนที่น่ายำเกรง  อีกทั้งผู้คนยังน้อยมาก ทำให้ไม่เสียเวลาในการผ่านด่านตรวจ

หน้าที่หลักของประตูทิศเหนือนั้นมิใช่การตรวจคนแต่เป็นการเฝ้าระวังสัตว์อสูรเสียมากกว่า เพราะด้วยที่อยู่ติดกับป่าดับดารา ทำให้มีสัตว์อสูรหลงข้ามเขตมาบ่อยครั้ง ทหารยามค่อยๆแหวกหญ้าออกอย่างช้าๆ สีหน้านั้นจริงจังเป็นอย่างมาก ไม่ช้าสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ก็ปรากฏออกมา นั่นทำให้สีหน้าของทหารยามผ่อนคลายลงอย่างมากก่อนจะถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ เจ้ากระต่ายน้อยทำข้าตกอกตกใจ.... เห้ยยยย”

ทหารคนนั้นร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะผงะล้มจั้มเบ้าลงกับพื้น เบื้องหน้าของทหารยามปรากฏเป็นคนผู้หนึ่งอยู่ในชุดผ้าคลุมสีดำเก่าๆ ที่คลุมปิดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังจ้องมองมายังมันด้วยสายตาแปลกๆ

“จ จ เจ้าเป็นใคร” ด้วยความตกใจทำให้ทหารยามคนนั้นร้องออกมาเสียงดัง เมื่อสหายผู้ยืนรออยู่ที่ประตูเมืองอีกคนได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันที

เมื่อมาถึง ทหารยามที่มาใหม่ก็เพ่งมองไปยังหยางอี้ ก่อนจะรีบเข้าไปประคองสหายที่ล้มอยู่ให้ลุกขึ้นและกระซิบบอกกับมัน

“เจ้าเซ่อ ตั้งสติหน่อยสิ”

เมื่อกล่าวเรียกสติสหายเสร็จแล้ว มันก็หันมายังบุรุษหนุ่มในชุดคลุมสีดำเบื้องหน้า แล้วกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง

“จอมยุทธ์ท่านนี้ ขออภัยด้วยที่สหายข้าเสียมารยาท”

ทหารยามกล่าวออกมาอย่างสุภาพ จากคำกล่าวนี้ทำให้สหายของมันที่ชี้หน้าถามบุรุษเบื้องหน้านั้นพลันได้สติและเข้าใจถึงคำของสหายมันทันที ต้องรู้ว่าประตูเมืองทางทิศเหนือนั้น ผู้ที่ผ่านเส้นทางนี้เพื่อเข้ายังเมืองหลวงนั้นย่อมมิใช่ธรรมดาสามัญ ด้วยต้องผ่านป่าดับดารามานั้นส่วนมากแล้วล้วนเป็นตัวตนระดับสวรรค์ที่เหาะข้ามป่ามา ด้วยความตกใจทำให้มันลืมเลือนถึงเรื่องนี้และเสียมารยาทต่อบุคคลเบื้องหน้า

ส่วนชายหนุ่มนั้นยังคงงุนงงเล็กน้อย จากการกระทำของทหารยามคนแรกนั้นเขาเข้าใจดีแล้วคาดไว้อยู่แล้ว แต่กับคนที่สองที่กล่าวกับเขาอย่างสุภาพ ทำให้เขางุนงงว่าเหตุใดจึงต้องทำสุภาพกับเขาเช่นนี้

ย้อนกลับไป หยางอี้นั้นออกเดินทางเป็นครั้งแรก และการเลือกที่จะเดินทางตัดผ่านป่าดับดารานั้นเป็นเพียงความคิดที่จะเข้ามาฝึกฝนฝีมือตนเองเท่านั้น แต่การเข้ามาในป่าดับดารานั้นทำให้เขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยความไม่ประมาณตนเองของเขา ประสบการณ์ครั้งนี้ถือเป็นเครื่องช่วยเตือนสติอย่างดี ในครั้งหน้า หากจะทำอะไรจะต้องรอบคอบยิ่งขึ้น อย่างน้อยจะต้องมั่นใจว่าจะไม่เอาชีวิตไปทิ้ง

แต่ในความโชคร้ายนั้นก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะเขานั้นได้รับรู้ถึงพลังที่สองของมุกมิติราชันย์ แถมยังได้เป็นศิษย์ของกู่เทียนชางอีกด้วย และด้วยเหตุนี้ทำให้หยางอี้มิได้รู้เรื่องกฎของเมืองหลวงมากนัก และยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าการผ่านเข้าเมืองทางประตูทิศเหนือนั้นถือเป็นการประเมินอย่างหนึ่งของเมืองหลวง เพราะบุคคลเหล่านี้มิอาจเมินเฉยได้เมื่อเข้ามาในเมืองหลวง

“มิเป็นไรพี่ชาย เป็นข้าเองที่ทำให้พี่ชายท่านนี้ตกใจ” เมื่ออีกฝ่ายสุภาพต่อตน แน่นอนว่าหยางอี้ยินดีจะกล่าวตอบอย่างสุภาพเช่นกัน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น แทนที่ทหารยามทั้งสองจะโล่งใจ กลับกลายเป็นตกตะลึงแทน บุรุษเบื้องหน้ามันจากคำพูดและน้ำเสียงเช่นนี้ย่อมคาดเดาได้ว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มรุ่นเยาว์เท่านั้น แล้วเด็กหนุ่มที่เดินทางผ่านป่าดับดาราเพียงลำพังได้จะไม่ให้มันทั้งสองตกตะลึงได้เช่นใดกัน

“อ่า น นี่ น้องชายท่านนี้ ข้าขอเสียมารยาทถามอายุท่านได้หรือไม่” ทหารยามอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา แม้ว่าจะเป็นการเสียมารยาท แต่ด้วยเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่เดินทางตัดป่าดับดารามาได้นั้นจะเป็นบุคคลธรรมดาได้อย่างไร แล้วเบื้องหลังของเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นเช่นไร นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก หยางอี้ทำเพียงยิ้มและค่อยๆถอดฮู้ดที่คลุมหัวออก เผยให้เห็นใบหน้าอันคมคายสมชายชาตรี ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเป็นมิตร

“อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าข้าจะอายุครบ 16 ปี ว่าแต่พี่ชายข้านั้นต้องการจะผ่านประตูเข้าสู่เมืองหลวงท่านช่วยข้าได้หรือไม่”

เมื่อทหารยามทั้งสองคนได้ยินว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อายุยังไม่ทันครบ 16 ปี แต่เต็มไปด้วยความสามารถ อีกทั้งมันทั้งสองยังมิอาจสัมผัสได้ถึงลมปราณของหยางอี้แม้แต่น้อย ทำให้พวกมันตกตะลึงเป็นอย่างมาก ก่อนจะที่หนึ่งในทั้งสองคนจะได้สติแล้วรีบกล่าวออกมา

“อ่า ใช่แล้ว คุณชาย นี่คือประตูเมืองทิศเหนือ ท่านสามารถผ่านไปได้ด้วยการแจ้งชื่อและเจตนาในการมายังเมืองหลวงแก่ผู้ตรวจการที่ทางเข้าประตูเมืองเชิญคุณชายตามข้ามา”

หยางอี้ประหลาดใจเล็กน้อยกับคำพูดของทหารยามที่กลับเรียกตัวเขาเองสุภาพกว่าเดิม แต่ก็มิได้สนใจอะไรมาก จากนั้นเขาก็เดินตามทหารยามคนนั้นไปยังประตูเมือง

เมื่อเดินผ่านกำแพงชั้นนอกที่อยู่ติดกับป่าดับดาราเข้ามา หยางอี้กลับตกตะลึง เพราะภายหลังกำแพงหินที่กั้นขวางไว้ กลับกลายเป็นค่ายทหารขนาดหนึ่งกองพัน ทางด้านซ้ายนั้นมีซุ้มกระโจมตั้งอยู่นับร้อย ส่วนด้านขวานั้นเป็นลานฝึกซึ่งเต็มไปด้วยทหารหลายร้อยนายกำลังฝึกฝนกันอยู่

เมื่อหยางอี้เดินผ่านกำแพงหินเข้ามาก็ตกเป็นเป้าสายตาของทหารมากมาย แต่ชายหนุ่มก็มิได้สนใจ แต่กลับมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งเป็นประตูเมืองขนาดใหญ่ถูกแกะสลักด้วยลวดลายต่างๆอย่างสวยงาม กำแพงเมืองที่ถูกทำด้วยหินอ่อนทอดยาวไปไกลจนสุดสายตา เป้าสายตาของหยางอี้คือโต๊ะม้าหินที่ตั้งอยู่แถวหน้าประตูเมือง ที่โต๊ะนั้นมีคนสองคนกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่ หนึ่งคือชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะเบาของทหาร รูปร่างกำยำสมชาตรี และอีกหนึ่งคือชายชราร่างผอมสวมชุดสีขาว

เสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้เข้ามา ทำให้ชายทั้งสองที่กำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่หันไปมองทางต้นเสียง เมื่อมองออกไปสิ่งที่เห็นนั้นทำให้ชายทั้งสองอดมิได้ที่จะประหลาดใจ เพราะจากสัมผัสนั้นเขาทั้งสองรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามีหนึ่งคนกำลังมุ่งหน้ามา นั่นคือทหารยามผู้นำทางหยางอี้มานั่นเอง แต่เมื่อหันไปมองเบื้องหลังทหารนายนั้นกลับปรากฏเป็นเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินตามมา อีกทั้งเขาทั้งสองยังมิอาจสัมผัสได้ถึงตัวตนของหยางอี้แม้แต่น้อย

ทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาทหารยาม เพื่อถามข้อมูลของเด็กหนุ่มเบื้องหลัง

“คารวะท่านผู้บัญชาการ คารวะท่านผู้ตรวจการ” ทหารยามกล่าวขึ้นเพื่อทำความเคารพทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยแนะนำหยางอี้

“เรียนท่านผู้ตรวจการ คุณชายท่านนี้ได้เดินทางมายังเมืองหลวงโดยผ่านป่าดับดารามาเพียงลำพัง และต้องการผ่านประตูทิศเหนือเพื่อเข้าเมือง ขอรับ”

ชายทั้งสองที่กำลังลอบสำรวจหยางอี้ เมื่อได้ยินว่าหยางอี้เดินทางเพียงลำพัง ทำให้ทั้งสองตกใจมิน้อย ในขณะที่หยางอี้นั้นเพียงยิ้มอ่อนให้แก่ทั้งสองเมื่อพบว่าพวกเขาลอบสำรวจตัวตนของเขา

“ข้ากงจี้ เป็นผู้ตรวจการของประตูทิศเหนือ ส่วนนี่คือผู้บัญชาการกองพันนี้ จางหู่” กงจี้ ชายชราชุดขาวเหมือนบัณฑิตกล่าวออกมาพร้อมยิ้มให้หยางอี้อย่างเป็นมิตร

“ผู้เยาว์ยินดีที่ได้พบท่านผู้ตรวจการและท่านผู้บัญชาการกองพัน” หยางอี้ตอบกลับไปอย่างสุภาพเช่นกัน

“เรียนท่านทั้งสอง ผู้เยาว์เดินทางมาจากเมืองธาราสวรรค์และต้องการจะผ่านประตูทิศเหนือเข้าสู่เมืองหลวง ท่านพอจะช่วยข้าได้หรือไม่” หยางอี้กล่าวอีกครั้งเพื่อเข้าจุดประสงค์ของตน

กงจี้นั้นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมา

“คุณชายน้อย แน่นอนท่านสามารถผ่านเข้าไปได้ เพียงแจ้งนามของท่านและจุดประสงค์ในการมายังเมืองหลวงแก่ข้า”

กงจี้หรี่ตามองไปยังหยางอี้ แน่นอนว่าเขาจะต้องทราบข้อมูลของหยางอี้ให้มากที่สุด นี่มิใช่เรื่องเล็กน้อย บางทีการมาของหยางอี้นั้นอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียยิ่งกว่าการมาถึงของพวกตาแก่ระดับสูงเสียอีก นี่ทำให้เขานึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งของเมืองนี้ที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ในอดีตเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่เดินทางผ่านป่าดับดารามาเพียงลำพังเช่นเดียวกับหยางอี้ แต่เด็กหนุ่มผู้นั้นเพียงต้องการมาเที่ยวเล่น และในอดีตนั้นประตูทางทิศเหนือเป็นเพียงค่ายทหารเพื่อป้องกันการบุกรุกของสัตว์อสูรจากป่าดับดาราเท่านั้น แม้หลายคนจะประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผู้นั้น แต่ก็มิได้ใส่ใจมากนัก

หลังจากนั้นเด็กหนุ่มผู้นั้นก็ได้เข้าไปยังเมืองหลวงเพื่อเที่ยวเล่นและชื่นชมกับสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยเห็น แต่เด็กหนุ่มผู้นั้นชื่นชอบการประลองและการต่อสู้เป็นอย่างมาก จึงได้ออกตระเวนขอแลกเปลี่ยนวิชากับสำนักต่างๆภายในเมืองหลวง และด้วยการที่มากความสามารถทำให้ใช้เวลาไม่นานเด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้มีชื่อเสียงอย่างมากภายในเมืองหลวง

หลังจากมีผู้ชื่นชอบย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีผู้ที่ริษยา หลังจากที่ชื่อเสียงโด่งดังไม่นานก็ไปเข้าหูขององค์ชายคนหนึ่งของราชวงศ์ และด้วยความอิจฉาที่คนนอกกลับมาเจิดจรัสภายในเมืองที่ราชวงศ์ของตนปกครองอยู่ ทำให้องค์ชายวางแผนการต่างๆนานาเพื่อที่จะจัดการกับเด็กหนุ่มผู้นั้น

ด้วยแผนการต่างๆ และยังรวมถึงเหล่าลูกสมุนหลายต่อหลายคนที่ส่งไปกลับไม่สามารถจัดการเด็กหนุ่มผู้นั้นได้ และแน่นอนเนื่องจากเป็นเหมือนการทะเลาะกันของเด็กและทั้งสองต่างมีการปะทะกันซึ่งหน้าหลายครั้ง ทำให้องค์ชายนั้นอับอายกับความพ่ายแพ้หลายครั้ง และสิ่งที่ตามมานั้นคือคำถากถางและเสียงเยาะเย้ย

หลังจากนั้น ตัวองค์ชายต่างเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อเด็กหนุ่มคนนั้น และจากการที่ต้องการเอาชนะและยืนอยู่เหนือกว่ากลับกลายเป็นความต้องการสังหารขึ้นมา องค์ชายนั้นมิใช่ตัวโง่งม เมื่อตระหนักได้ว่ามิอาจเอาชนะด้วยกำลังก็ต้องใช้เล่ห์กลเข้าช่วย แผนของเขาคือการใช้สิ่งที่เป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดสำหรับบุรุษตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั่นคืออิสตรี

องค์ชายวางแผนการโดยส่งบุตรีของข้ารับใช้ในวังคนหนึ่งเพื่อเข้าไปตีสนิทกับเด็กหนุ่มผู้นั้น และเด็กสาวที่องค์ชายส่งมานั้นรูปโฉมนั้นก็งดงามอยู่ในระดับหนึ่งจึงมิใช่เรื่องยากที่จะตีสนิทกับเด็กหนุ่มผู้นั้น

เวลาผ่านไป เด็กหนุ่มผู้นั้นเริ่มจะตกหลุมรักเด็กสาวคนนั้นจนทำให้ลดการระวังตัว โดยมิรู้เลยว่าตนนั้นกำลังตกสู่แผนร้ายขององค์ชาย เมื่อเห็นว่าแผนของตนไปได้ด้วยดี องค์ชายก็สั่งให้สมุนนำยาพิษชนิดหนึ่งไปให้เด็กสาว โดยสั่งให้เด็กสาวหาโอกาสทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นกินให้ได้

โดยเด็กสาวนั้นลังเลอยู่บ้าง เพียงแต่ชีวิตของตนและมารดานั้นอยู่ในกำมือองค์ชาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดคำสั่ง หลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนขององค์ชาย เด็กหนุ่มคนนั้นถูกวางยาพิษที่ค่อยๆกัดกร่อนชิวิตของเขาลงเรื่อยๆ เขาเริ่มป่วย และหนักขึ้นๆ ช่วงเวลานั้นด้วยความรู้สึกผิดทำให้เด็กสาวอยู่ดูแลเขาตลอด และพยายามจะหาทางรักษา และไม่นานเด็กสาวคนนั้นก็เริ่มเกิดความรักโดยบริสุทธิ์ใจต่อเด็กหนุ่ม

ช่วงเวลาเลยผ่านไป อาการของเขาแย่ลงเรื่อยๆ ส่วนเด็กสาวก็พยายามอย่างที่สุดที่จะดูแลเขา โดยทุกคืนเธอจะแอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวเสมอ เพราะเสียใจกับความผิดพลาดที่เธอทำลงไป และแล้ววันเวลาแห่งความโศกเศร้าก็มาถึง เมื่อองค์ชายมาเยือนยังที่พักของเขา องค์ชายเยาะเย้ยในความโง่งมของเขาที่พ่ายแพ้ให้กับแผนการขององค์ชาย องค์ชายเปิดเผยทุกเรื่องเพื่อหวังให้เด็กหนุ่มเจ็บปวดใจและทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้นที่โดนหักหลังโดยคนรัก แต่เรื่องกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเด็กหนุ่มมิได้ตกใจและมีอาการตื่นตระหนก ส่วนเด็กสาวก็ทำได้เพียงร่ำไห้และขอโทษเขาไม่หยุด

เด็กหนุ่มพูดออกมาว่า ตัวเขานั้นรู้มานานแล้วแต่หากเด็กสาวกลับมิยอมจากไป กลับคอยอยู่ดูแลเขาและยังแอบไปร้องไห้ทุกคืน แล้วจะให้เขาโกรธเธอได้อย่างไร เด็กสาวเมื่อได้ยินยิ่งเจ็บปวดเข้าไปอีก...นี่เธอทำอะไรลงไป

ส่วนองค์ชายนั้นเมื่อไม่ได้เห็นผู้เป็นศัตรูเจ็บปวดอย่างที่คิดจึงบังเกิดโทษะและใช้ดาบในมือแทงเข้าไปยังท้องของเด็กหนุ่มเพื่อระบายความโกรธ เมื่อพอใจแล้วเขาจึงจากไป ทิ้งไว้เพียงเด็กหนุ่มที่ลมหายใจรวยรินนอนอยู่ในกองเลือดภายใต้อ้อมแขนของคนรัก

จากนั้นไม่นานเด็กหนุ่มผู้นั้นก็สิ้นใจ ส่วนเด็กสาวด้วยความสำนึกผิดเธอจึงเขียนจดหมายทิ้งไว้หนึ่งฉบับ ในจดหมายนั้นมีเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวมถึงแผนการขององค์ชายอยู่ด้วย จากนั้นเธอก็ใช้มีดที่พกไว้ปลิดชีพตนเองตามคนรักของเธอไป

หลังจากกำจัดศัตรูไปได้ทำให้องค์ชายมีความสุขอย่างมาก เขานั้นกลับกลายเป็นคนที่โดดเด่นอีกครั้ง แต่เพียง 3 วันนับจากที่เด็กหนุ่มสิ้นชีพ ความสุขขององค์ชายก็จบลงเพราะผู้มาเยือนเมืองหลวงในครานี้ คือตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือทั้ง 5 จักรวรรดิ

“นั่นคือการมาถึงของวิหารเทวะสุริยันต์”

วิหารเทวะสุริยันต์ นามของ 1 ใน 4 ผู้ปกครองและควบคุมที่อยู่เบื้องหลังของโลกยุทธภพ

การมาถึงของวิหารเทวะสุริยันต์ในครั้งนี้มีบุคคลทั้งสิ้นเพียง 3 คน แต่ตัวตนทั้งสามนั้นสูงส่งเกินกว่าที่ราชวงศ์ของจักรวรรดิเมฆาหวนในเวลานั้นจะจินตนาการถึง ในวันแรกที่มาถึงนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นหายนะของจักรวรรดิเมฆาหวนเลยก็ว่าได้ เพราะหนึ่งในสามของผู้ที่มาเยือนนั้นคือผู้อาวุโสคุมกฏสูงสุดของวิหารเทวะสุริยันต์ และเป็นปู่ของเด็กหนุ่มผู้ที่ตกตายลงด้วยกลอุบายขององค์ชาย

บุคคลสำคัญของวิหารเทวะสุริยันต์จะมีการทำตราผนึกเชื่อมใจไว้ หากมีการเสียชีวิตทางวิหารจะสามารถรับรู้และระบุถึงบริเวณใกล้เคียงได้ทันที นั่นเป็นสาเหตุที่คนของวิหารเทวะสุริยันต์รับรู้ได้ทันทีเมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นสิ้นใจหลังจากที่ผู้คุมกฏเห็นสภาพของหลานชาย เขาล้วนถูกหลากหลายความรู้สึกถาโถมเข้าใส่  แม้การตายของหลานชายคนเดียวของเขานั้นจะทำให้เขาโกรธจนแทบจะคลั่ง แต่สิ่งที่ดึงรั้งสติอยู่นั้นคือความสงสัย

ความสงสัยว่าเหตุใด...เหตุใดหลานชายเขาจึงถูกสังหารลงด้วยมือของคนจากจักรวรรดิเมฆาหวน แม้อยู่ภายในวิหารเทวะสุริยันต์หลานชายเขานั้นอาจมิได้ถูกนับเป็นดั่งยอดอัจฉริยะ แต่กฎเกณฑ์ระหว่าง 4 สำนักพิทักษ์ฟ้าและสำนักระดับล่างนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

สุดยอดอัจฉริยะของจักรวรรดิทั้ง 5 อาจจะเป็นได้เพียงศิษย์สายนอกสำหรับวิหารเทวะสุริยันต์เท่านั้น และเหตุใดหลานชายเขาจึงถูกสังหาร อีกทั้งยาพิษที่ถูกตรวจพบนั้นจะต้องเข้าสู่ร่างกายจากการกินเท่านั้น นั่นย่อมไม่สมเหตุสมผลเพราะคนจากวิหารเทวะสุริยันต์ล้วนมั่นใจเต็ม 100 ส่วนว่าโลกเบื้องล่างนี้มิมีทางทำอันตรายพวกเขาได้

และแล้วเมื่อเขาสำรวจศพของหญิงสาวที่สิ้นใจขณะที่ยังโอบกอดหลานชายของเขาอยู่ เขาก็ได้พบกับจดหมายฉบับหนึ่ง จดหมายที่ถูกเขียนขึ้นด้วยเลือดของเธอ และเป็นจดหมายที่นำพาความพินาศมาสู่ราชวงศ์

หลังจากเห็นข้อความในจดหมายผู้อาวุโสคุมกฎกลับกลายเป็นบ้าคลั่ง แรงกดดันมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาจนผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างสั่นกลัว ทุกชีวิตในเมืองล้วนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันมากล้น มีผู้คนกว่าครึ่งเมืองที่หมดสติไปฉับพลันก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความหวาดกลัวจากการที่ชีวิตถูกคุกคามจากความตาย

ไม่นานอารมณ์ของผู้คุมกฎก็สงบลง เขามองไปยังหลานชายของเขาด้วยสายตาอันโศกเศร้า

“ชิงเอ๋อร์ ทำไมจึงได้โง่แบบนี้” หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้ผู้ติดตามนำศพของทั้งสองคนออกมาและมุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อชำระบัญชีแค้นในครั้งนี้

พื้นที่ชั้นกลางของเมืองหลวง พระราชวังขนาดใหญ่อันงดงามที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยกำแพงอันแข็งแกร่ง ตัวพระราชวังถูกตกแต่งด้วยทองและอัญมณีมากมาย

จากการปลดปล่อยจิตสังหารของผู้คุมกฎวิหารเทวะสุริยันต์ ทำให้ผู้คนภายในเมืองหลวงต่างตื่นตระหนก ภายในและนอกพระราชวังเวลานี้ล้วนเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญและทหารมากมายเข้ามาประจำการ เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

สูงขึ้นไปด้านบนพระราชวังกว่า 2 กิโลเมตร ปรากฏร่างชายชรา 3 คนยืนมองลงมายังเบื้องล่าง สายตาของชายชราคนหน้าสุดจ้องมองไปยังพระราชวังและผู้คนภายในด้วยความเกรี้ยวโกรธ ขณะที่เบื้องล่างนั้นเต็มไปด้วยความโกลาหล คำสั่งมากมายถูกถ่ายทอดไปยังเหล่าผู้เชี่ยวชาญและทหารของเมือง

ด้วยความยำเกรงต่อตัวตนที่ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาเมื่อครู่ แม้จะไม่รู้จุดประสงค์แต่ทางราชวังนั้นคิดว่ามิใช่เรื่องดีแน่จึงสั่งการให้ทั้งเมืองอยู่ในช่วงระวังภัยขั้นสูงสุด

หลังจากที่จ้องมองไปยังพระราชวังมาเป็นเวลานาน ชายชราในที่สุดก็ตัดสินใจได้ก่อนจะแค่นเสียง เฮอะ ออกมาอย่างไม่พอใจสักเท่าไหร่นัก เวลาที่ผ่านมาด้วยความรู้สึกและอารมณ์ที่หลากหลาย ตัวชายชรานั้นเป็นถึงผู้คุมกฎสูงสุดของวิหารเทวะสุริยันต์ การกระทำของเขานั้นมิใช่ที่ที่จะทำได้ตามอำเภอใจนัก

ใจจริงแล้วเพื่อระบายความโกรธและเซ่นสังเวยให้แก่หลานชาย ตาแก่คนนี้ตั้งใจจะลบทั้งเมืองหลวงแห่งนี้ให้หายไปซะตอนนี้เลยเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยอย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึง 1 ใน 5 ราชวงศ์ที่ปกครองโลกเบื้องหน้า แม้ทั้ง 5 ราชวงศ์จะไม่มีความสามารถพอที่จะแตะต้องคนของ 4 สำนักเบื้องหลังแม้แต่ปลายเล็บก็ตาม  แต่อีก 3 สำนักนั้นย่อมมิใช่เช่นนั้น

แม้จะได้ชื่อว่าเป็น 4 สำนักพิทักษ์ฟ้า แต่เบื้องหลังกลับเป็นการแก่งแย่งเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้แม้เรื่องเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายนำมาเป็นเรื่องโจมตีได้ สิ่งสำคัญสำหรับทั้ง 4 สำนักย่อมมิใช่เรื่องกำลัง เพราะผู้นำทั้ง 4 ล้วนอยู่ในระดับเดียวกัน แต่หากเป็นศักดิ์ศรีและหน้าตาต่างหาก

เสียงเยาะเย้ยและคำเย้ยหยันล้วนเป็นสิ่งที่รับมิได้สำหรับสำนักใหญ่ทั้ง 4 เพราะฉะนั้นผู้คุมกฏของวิหารเทวะสุริยันต์จึงต้องคิดให้ดีก่อนจะลงมือ และการทำลาย 1 ใน 5 ราชวงศ์ที่ปกครองโลกเบื้องหน้าก็นับว่ามิใช่เรื่องเล็กน้อย อีกทั้งยังมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากอยู่ภายในเมือง

หลังจากตัดสินใจได้ชายชราปลดปล่อยแรงกดดันอันหนักหน่วงอีกครั้ง จากแรงกดดันทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องล่างล้วนทรุดตัวลงกับพื้นและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงอันดังก้องกังวานที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดดังออกมาจากเบื้องบน

“เจ้าพวกตัวบัดซบราชวงศ์จิง จงออกมาให้แก่ข้า! หากมันผู้ใดคิดหลบซ่อนเช่นนั้นข้าจะทำลายเมืองนี้ทิ้งทันที” เมื่อได้ยิน เหล่าคนจากราชวงศ์กลายเป็นหน้าซีด พวกเขากระทำการอันใด เหตุใดเจ้าของเสียงอันเกรี้ยวกราดจึงได้เจาะจงถึงพวกเขา?

ด้วยความหวาดกลัวเพียงไม่นานทุกคนในราชวงศ์ต่างออกมารวมตัวกันด้านหน้าราชวังอย่างพร้อมเพรียง หลังจากออกมาแล้วเป็นราชาที่กล่าวออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ

“ท่านผู้อาวุโส มิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”

“เฮอะ เจ้าสารเลวผู้ใดที่บังอาจสังหารหลานชายของข้าจงก้าวออกมา!”

หลังจากได้ยินผู้คนต่างหันหน้ามองกัน ใครกัน? มันผู้ใดที่บังอาจไปล่วงเกินบุคคลอันทรงพลังเช่นนี้ แม้จะผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็ยังมิมีผู้ใดก้าวออกมา ส่วนองค์ชายนั้นตอนนี้เขาล้วนหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่เขาก็ยังคงมิคาดคิดว่าเด็กหนุ่มผู้ที่เขาวางแผนสังหารเพียงเพื่อความริษยาของเขานั้นจะเป็นคนเดียวกับที่บุคคลอันทรงพลังกล่าวถึง

หลังจากรอมาได้ครู่หนึ่งเมื่อมิมีผู้ใดยอมรับ เสียงเบื้องบนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ดี ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมรับ ข้าจักจัดการพวกเจ้าทีละคนจนกว่าจะเจอ!”หลังสิ้นเสียง ชายชราทั้งสามคนก็ปรากฏตัวลงที่เบื้องหน้าเหล่าผู้คนของราชวงศ์เบื้องหน้าคือชายชราที่หนวดเคราขาวเฟ้อ ส่วนอีกสองคนเบื้องหลังกำลังอุ้มร่างสองร่างอยู่คือหนึ่งหญิงหนึ่งชาย เมื่อได้เห็นตราประทับที่ปกเสื้อของชายชราทั้งสามใบหน้าอันซีดเซียวของเขาพลันซีดลงยิ่งกว่าเดิม

“ว ว วิหารเทวะสุริยันต์!”

สิ้นคำกล่าวนี้หลายคนกลายเป็นงุนงง แต่มิใช่สำหรับบุคคลระดับสูงของราชวงศ์และเหล่าผู้เชี่ยวชาญ ชื่อนี้กลับทำให้พวกเขาหายใจติดขัด เม็ดเหงื่อต่างผุดขึ้นเต็มใบหน้า

“ข้าจะถามอีกครั้ง มันผู้ใดเป็นผู้ลงมือ” แม้จะรู้แต่ชายชราก็ยังคงถามออกมาอีกครั้ง

“หนึ่ง…”

สิ้นคำชายชราพลันโบกมือเบาๆคราหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏขึ้นมานั้นล้วนทำให้ผู้คนต่างสั่นกลัวมากขึ้น เมื่อหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญของราชวงศ์กลายเป็นละอองเลือดค่อยๆจางหายไปในอากาศ มันทำให้ผู้คนต่างอยู่ในอาการตกตะลึงและล้วนหวาดกลัวว่าต่อไปจะเป็นเคราะห์ของตนเอง

“น นั่นมัน เผ่ยหยางชิง!” หนึ่งในรุ่นเยาว์ของราชวงศ์อุทานออกมาเมื่อบังเอิญเห็นใบหน้าของร่างหนึ่งที่ชายชราเบื้องหลังที่เป็นผู้ติดตามของผู้คุมกฎอุ้มเอาไว้ เสียงนั้นดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำให้เรียกสติของผู้คนกลับมา

“ใช่แล้ว! เผ่ยหยางชิง คือหลานชายของข้า และข้านั้นมิได้มีความอดทนมากนัก”

“เด็กน้อยเจ้ารู้อะไรจงเร่งพูดออกมาเร็ว!” ราชานั้นมองไปยังรุ่นเยาว์คนที่หลุดปากพูดออกมา

“น นี่ เรื่องนี้” รุ่นเยาว์คนนั้นอ้ำอึ้งอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก่อนจะมองไปยังหน้าขององค์ชายที่บัดนี้ซีดเผือดราวซากศพ เมื่อมองตามสายตานั้นไปทุกคนต่างล่วงรู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด

“บัดซบ! เจ้าลูกสารเลว!” ราชาตวาดลั่นเมื่อรู้ถึงตัวการว่าเป็นบุตรชายของเขาเอง

“ท ท ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย ท ท่านต้องช่วยข้านะ”

องค์ชายกล่าวออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ ความหวาดกลัวปกคลุมไปทั่วทั้งจิตใจเขา เดิมทีเขามิคิดว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นศัตรูของเขาจะเป็นคนเดียวกับหลานชายของชายชราจากวิหารเทวะสุริยันต์ ราชามองไปยังบุตรชายของเขาด้วยสายตาอันแข็งกร้าว

แม้นี่จะเป็นบุตรชายที่เขาโปรดปรานที่สุด แต่แล้วอย่างไร? หากต้องแลกกับชีวิตผู้บริสุทธิ์นับล้าน มันจะคุ้มค่าได้อย่างไร?

“เจ้าสารเลว จงก้าวออกมารับความผิด!” ราชากล่าวออกมาอย่างหนักแน่น ผู้อาวุโสคุมกฎมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างนิ่งเฉย ในใจกลับลอบชมเชยในการตัดสินใจของราชาของจักรวรรดิแห่งนี้

“น นี่ ท่านพ่อ ไม่ ข้าไม่ยอม” ด้วยความหวาดกลัวและความขี้ขลาดทำให้เขามิกล้ายอมรับความผิดและวิ่งหนีเข้าพระราชวังไป แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าผ่านซุ้มประตูเข้าไปนั้น

พรึบ! ฉับ! อ้าก! พลังปราณอันคมกริบพุ่งผ่านอากาศตัดเข้าที่ขาทั้งสองข้างขององค์ชาย ทำให้เขาส่งเสียงร้องออกมาอย่างโหยหวน ก่อนจะหันกลับไปจ้องมองผู้ที่ลงมือตัดขาทั้งสองของเขา

“ท ท่านพ่อ” มิใช่ใครอื่นแต่เป็นบิดาของเขาเองที่เป็นผู้ลงมือ

“ลูกสารเลว เกิดเป็นบุรุษแต่เลือกที่จะหนีความผิด...เจ้ามันเป็นตัวเสื่อมเสียของราชวงศ์! จงมารับความผิดต่อหน้าผู้อาวุโสซะ!” หลังจากจบคำ พลังปราณแผ่พุ่งออกจากมือของราชาเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่พุ่งเข้าไปคว้าตัวองค์ชายก่อนจะโยนไปยังเบื้องหน้าของผู้อาวุโสคุมกฎ

“ข้านั้นมีบุตรที่โง่เขลา ขอผู้อาวุโสเห็นใจละเว้นผู้บริสุทธิ์ด้วย” ราชาพูดออกมาอย่างนอบน้อม สำหรับเขาชีวิตผู้บริสุทธิ์นับล้านภายในเมืองหลวงย่อมสำคัญกว่าบุตรชายโง่เขลาเพียงคนเดียวอยู่แล้ว

“ฮึ่ม เห็นแก่ความเด็ดขาดและเห็นใจต่อผู้บริสุทธิ์ ข้าจะให้ทางเลือกแก่มัน2 ข้อ หนึ่งคือตาย สองรับการลงโทษจากข้า...หากรอดไปได้ข้าจะไม่เอาความในเรื่องนี้อีก”

ชายชราพูดขึ้นเมื่อหันไปมององค์ชาย ตัวเขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวขลาดเขลานี่จะเลือกอย่างใด ข้อแรก การตายนั้นถือเป็นการผ่อนปรนที่องค์ราชาขอร้องมา นั่นคือมิต้องการให้บุตรชายเขาต้องทรมาน

เมื่อรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็มิรอด เขาจึงได้แต่หวังว่าชายชราเบื้องหน้าจะลงมืออย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาจะช่วยเหลือบุตรชายเขาได้

“ข ข ขอบคุณท่านผู้อาวุโส ขอบคุณท่านผู้อาวุโส” เมื่อได้ยินว่ามีทางรอดองค์ชายกลับกลายเป็นตื่นเต้นและกล่าวขอบคุณทั้งน้ำตา เขาดีใจเป็นอย่างมากที่ชายชราเบื้องหน้ามอบโอกาสให้เขารอดชีวิต โดยมิรู้เลยว่านั่นคือกับดักที่จะทำให้เขาตกสู่หนทางของนรก

ราชาทำได้เพียงส่ายหัวและเบือนหน้าหนีก่อนโค้งคำนับให้กับชายชราทั้งสามหนึ่งที และพลิ้วกายหายไป ผู้คุมกฎนั้นเข้าใจดีจึงมิได้ทักท้วงในการจากไปของเขา

“ฮ่าๆ เจ้าสารเลว เจ้ามิทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ เมื่อเจ้าเลือกแล้วก็จงรับโทษของเจ้าซะ” ผู้คุมกฎพูดออกมาอย่างพอใจ ผู้ที่สังหารหลานชายของเขาเขาจะปล่อยให้ตกตายอย่างสบายได้อย่างไร

“จงอ้าปากของเจ้า” หลังจากได้ยินเสียงองค์ชายกลายเป็นงุนงง เดิมเขาคิดว่าการลงโทษจะเป็นการทุบตีเขา แต่ด้วยความหวาดกลัว เขาจึงมิรอช้ารีบอ้าปากของเขาทันที พรึ่บ บางอย่างพุ่งเข้าไปในปากของเขาหลังจากที่เขาเปิดปากขึ้น

อ้า! องค์ชายรู้สึกได้ถึงบางอย่างวิ่งวนอยู่ในตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าของเขาเริ่มซีดขาวก่อนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“สารเลว นั่นคือแมลงลงทัณฑ์ที่ใช้ในวิหารเทวะสุริยันต์ อายุของมันจะขึ้นอยู่กับจิตใจของเจ้า หากเจ้ามิยอมแพ้มันจะค่อยๆสลายหายไป” หลังจากพูดจบผู้คุมกฎโบกสะบัดมือออกเป็นสัญลักษณ์บางอย่างก่อนจะเกิดเป็นกำแพงลมปราณล้อมรอบตัวขององค์ชายไว้

“หมดเรื่องแล้วกลับวิหารได้!” หลังจากสิ้นเสียงชายชราทั้งสามคนก็หายไปราวกับภาพมายา

การทรมานขององค์ชายนั้นเรียกได้ว่ายิ่งกว่าตกนรก แมลงลงทัณฑ์นั้นจะค่อยๆกัดกินเนื้อภายในร่างกายของเขาทีละนิด แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นมิได้เล็กน้อยเลย เพราะเขี้ยวของมันนั้นจะหลั่งพิษออกมาเพื่อเพิ่มความเจ็บปวดให้มากยิ่งขึ้น ด้วยคำพูดของผู้คุมกฎ ทำให้คนขลาดเขลาอย่างเขาอดทนเพื่อที่จะมีชีวิตรอด

ความตายนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว และตัวเขานั้นก็มิอยากจะตกตาย เขาจึงอดทนกัดฟันรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจน 3 เดือนผ่านไป องค์ชายก็ทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวและได้ตกตายลง โดยเขามิได้รู้เลยว่าเรื่องที่เขาทนทรมานมาอย่างสุดแสนในช่วง 3 เดือนนั้น ล้วนเป็นเรื่องเสียเปล่า เพราะแมลงลงทัณฑ์นั้นมีอายุยาวถึงหมื่นปี! คำพูดของผู้คุมกฎนั้นเพียงเพื่อต้องการให้เขาทรมานมากที่สุดโดยมิตัดใจยอมตายเสียก่อน

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน วิหารเทวะสุริยันต์ได้กลับมาเยือนอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นเพียงเหล่าศิษย์สายนอกกว่า 100 คนที่มาเยือน จากคำสั่งของผู้อาวุโสคุมกฎคือการให้ราชวงศ์ย้ายออกจากพระราชวังและใช้พระราชวังนี้เป็นสุสานของเผ่ยหยางชิงกับหญิงสาวคนรัก

โดยรอบพระราชวังนั้นถูกกางเขตแดนเพื่อป้องกันคนเข้ามาอย่างแน่นหนา อีกทั้งทางราชวงศ์จะต้องคอยดูแลพระราชวังมิให้มีผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปได้ โดยนี่คือการลงโทษสถานเบาที่สุด ทางองค์ราชาตกลงยอมรับอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยหากเทียบกับความคับข้องใจที่มีต่อวิหารเทวะสุริยันต์

โดยภายหลังสถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าพระราชวังต้องห้าม!

“นี่ท่านผู้ตรวจการ...ท่านมัวเหม่ออะไร?” เสียงห้าวหาญของผู้บัญชาการกองพันดังขึ้นจากด้านข้างเพื่อปลุกชายชราในชุดขาวให้ได้สติหลังจากที่เขาจมอยู่ในความคิดเป็นเวลานาน

“อ่า...ขออภัยด้วย ข้าดันคิดถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้วไปเสียได้” หลังจากได้สติเขายิ้มบางและหันไปกล่าวกับหยางอี้ ส่วนหยางอี้นั้นเพียงพยักหน้าตอบก่อนจะหยิบของบางอย่างออกจากอกเสื้อของเขาและยื่นให้แก่ผู้ตรวจการดู

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด