เล่มที่ 1 บทที่ 13
หลังออกเมืองพยัคฆ์เมฆาเวลาล่วงเลยมา 10 วันแล้ว หยางอี้ยืนอยู่บนถนนดินสายหนึ่ง เบื้องหน้าของเขาเป็นป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ เมื่อมองเข้าไปจะเห็นเพียงต้นไม้ใหญ่เรียงรายสลับกันไปเรื่อยจนมองไม่เห็นที่สิ้นสุดในความมืด แม้จะเป็นยามกลางวันด้วยจำนวนของต้นไม้ที่ขึ้นติดๆกัน ทำให้มันบดบังแสงแดดจนมองเห็นเพียงเส้นแสงที่ส่องทะลุผ่านใบไม้ลงมายังป่าอันมืดมิด มองแล้วช่างให้ความรู้สึกชวนขนลุก
ย้อนกลับไปเมื่อหยางอี้ออกจากเมือง เขาเดินทางผ่านถนนหลักที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเว่ยและเดินอยู่บนถนนหลัก 5 วัน หยางอี้ก็พบกับทางแยก ทางแรกคือทางที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเว่ย ส่วนเส้นทางที่หยางอี้เลือกนั้นคือทางที่สองซึ่งมันจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงโดยตรง แต่จะต้องเดินทางตัดผ่านป่าดับดารา
“นี่คือป่าดับดาราสินะ ฝั่งตรงข้ามของป่านี้คือเมืองหลวง ข้ามีเวลา 6 เดือนก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้นในการเดินทางตัดป่านี้” หยางอี้คิดว่าเวลา 6 เดือนนั้นเพียงพอแล้วที่จะเดินทางผ่านไป
ความจริงหากคำนวณจากระยะทาง เพียง 1 เดือนก็สามารถผ่านไปได้แล้ว แต่นั่นหมายถึงกรณีที่มีถนนตัดผ่านป่าให้เดินทางอย่างสบาย ไม่นานหยางอี้ก็ก้าวเข้าสู่ป่าดับดารา ภายในชายป่าเมื่อเข้ามาหยางอี้เดินไปข้างหน้าอย่างระวังตัวด้วยความไม่ประมาทดาบพยัคฆ์เมฆาถูกหยิบออกมาถือไว้
โดยรอบชายป่าเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาเพียงเล็กน้อย หากเป็นยามกลางคืนนอกจากแสงจันทร์ที่ผ่านลอดช่องของใบไม้มาล้วนมองไม่เห็นแม้ดาวสักดวง แน่นอนสมกับชื่อดับดาราเสียจริง เดินไปไม่นานหยางอี้ก็ได้ยินเสียงบางอย่างแกร่ก แกร่ก เขารีบเข้าหลบหลังต้นไม้ทันที
ชายหนุ่มซุ่มหมอบอยู่สักพักก็เห็นเป็นสัตว์อสูรระดับก่อตั้งจิตรขั้นกลางเดินออกมาตัวหนึ่ง รูปร่างมันคล้ายหมูป่าแต่ตัวมันใหญ่กว่า 2 เมตรแม้หยางอี้จะไม่กลัวมันก็จริงแต่ชายหนุ่มก็หลีกเลี่ยงการปะทะกับมัน เป็นเพราะการเข้ามายังที่แห่งนี้เขาต้องการสำรวจพื้นที่โดยรอบให้รู้จุดภูมิศาสตร์เสียก่อน หากผลีผลามปะทะกับสัตว์อสูร ด้วยเสียงและกลิ่นคาวเลือดอาจจะล่อให้พวกระดับสูงๆออกมา นั่นจะเป็นปัญหามิใช่น้อย
หยางอี้ค่อยๆเดินอ้อมไปให้พ้นระยะของมัน สิ่งแรกที่หยางอี้ต้องการคือที่พัก การจะใช้ชีวิตอยู่ในป่าดับดาราที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรนั้นที่พักที่ดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เขาวางแผนว่าภายใน 5 วันจะต้องสร้างที่พักให้ได้ จากนั้นก็ออกสำรวจพื้นที่โดยรอบให้ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ขยับไปทีละนิดด้วยระยะเวลา 6 เดือน หยางอี้ย่อมได้รับประโยชน์ในป่าแห่งนี้ไม่มากก็น้อย และสิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัย
เพราะหากตายทุกอย่างก็จบ! หลังจากหาอยู่ 3 วัน หยางอี้ก็เจอสถานที่เหมาะสม ที่แห่งนี้เป็นบริเวณลำธารด้านบนเป็นหน้าผามีถ้ำเล็กๆอยู่ด้วย หยางอี้ออกสำรวจพื้นที่โดยรอบกว่า 5 กิโลเมตร มีเพียงสัตว์อสูรระดับปราณตั้งจิตเท่านั้นหลังจากได้ที่พัก หยางอี้เริ่มออกล่าสัตว์อสูรทันที เมื่อแน่ใจแล้วว่าบริเวณนี้ปลอดภัย การไล่ล่าสังหารก็เกิดขึ้น
พอตกกลางคืนหยางอี้ใช้ก้อนหินขนาดใหญ่มาปิดหน้าถ้ำและเข้าสู่มิติพิเศษเพื่อบ่มเพาะพลัง ด้วยดวงจิตอสูรระดับก่อตั้งจิตทำให้ความเร็วของหยางอี้ในการบ่มเพาะรวดเร็วอย่างน่ากลัว ผ่านไป 15 วันหยางอี้ก็มาถึงระดับ 9 ลมปราณก่อกำเนิดแล้ว อีกเพียงนิดเดียวจะทะลวงผ่านไประดับก่อตั้งจิตได้
“ข้าเข้ามาในป่าดับดาราได้ 20 วันแล้ว ก่อนจะครบหนึ่งเดือนข้าต้องขยับเข้าไปให้ลึกขึ้น”
ทุกวันหยางอี้จะออกสำรวจพื้นที่ส่วนลึกของป่าเข้าไปเรื่อยๆ จนเมื่อวานนี้หยางอี้พบเจอกับสัตว์อสูรระดับปฐพีขั้นต่ำตัวหนึ่ง เพียงจับสัมผัสพลังปราณที่แผ่ออกมาจากมันได้โดยไม่รอช้าชายหนุ่มรีบหลบหนีทันที เขาจะมั่นใจในการปะทะกับสัตว์อสูรระดับปฐพีเมื่อเขาก้าวไปอยู่ในระดับปราณก่อตั้งจิตขั้นกลางเป็นอย่างน้อย
ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือการหลบเลี่ยงสัตว์อสูรระดับสูง และออกสำรวจพื้นที่โดยรอบด้วยความระมัดระวัง
3 เดือนผ่านไปหยางอี้นั่งบ่มเพาะพลังอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งภายในป่าดับดาราปัง! เสียงสัญญาณการทะลวงระดับดังก้องภายในตันเถียนของเขา ตอนนี้ชายหนุ่มมาถึงจุดสูงสุดของระดับก่อตั้งจิตขั้นต้นแล้ว ด้วยดวงจิตสัตว์อสูรระดับก่อตั้งจิตที่ได้มาจากการล่าสัตว์อสูรบริเวณรอบๆ ทำให้การบ่มเพาะพลังเป็นไปอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก
“ตอนนี้ข้าควรจะเข้ามาได้ครึ่งทางแล้ว...เหลืออีกเวลา 3 เดือน คงจะทันเฉียดฉิวพอดี!” หยางอี้ลุกออกจากถ้ำ ภาพเบื้องหน้าตอนนี้เต็มไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่มากมาย เมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลังจากออกสำรวจลึกเข้ามาเรื่อยๆ หยางอี้ก็พบว่าป่าที่มืดมิดนั้นเป็นเพียงพื้นที่โดยรอบของป่าดับดาราเท่านั้น พอหลุดออกจากป่าทึบปรากฏว่าภายในเป็นพื้นที่ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งพลังปราณธรรมชาติยังหนาแน่นกว่าเดิมมาก
วันนี้หยางอี้ตั้งใจจะย้ายที่พักเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม จากที่สำรวจมาภายในส่วนลึกของป่านั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับสูง ต่ำสุดคือระดับก่อตั้งจิตขั้นสูง หยางอี้เลือกยอดเขาลูกหนึ่งเป็นที่พักแห่งใหม่
หลังจากวิ่งมากว่า 3 ชั่วยามก็มาถึงยอดเขาลูกหนึ่ง เขาใช้เวลาเดินสำรวจโดยรอบเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง โดยมีที่พักเป็นจุดศูนย์กลางกว้างออกไปกว่า 3 กิโลเมตร หลังจากเดินมาสักพักก็มีบางอย่างผิดปกติด้วยประสาทสัมผัสที่ถูกขัดเกลามาจากการใช้ชีวิตในป่าแห่งนี้มากว่า 3 เดือน หยางอี้สัมผัสได้ถึงอันตรายถึงชีวิตก่อนจะหันไปมองทางทิศที่สัมผัสถึงอันตราย
พลันมีแรงกดดันมหาศาลแผ่พุ่งออกมา กลิ่นอายอันหนักหน่วงแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ
“ระดับสวรรค์ บัดซบ!” หยางอี้ไม่รอช้าเขาใช้ออกด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์ด้วยความเร็วสูงสุดหนีทันที
โฮก! เสียงคำรามอันน่าเกรงขามดังก้องไปทั่วทั้งป่า จนเหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำต่างวิ่งหนีกันกระจัดกระจาย แรงกดดันแผ่กระจายไปทั่วภูเขาทั้งลูก
พรึ่บ! ปัง! เพียงมันขยับตัวเล็กน้อยก็ไล่ตามหยางอี้ทันได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มใช้ดาบพยัคฆ์เมฆาต้านรับกรงเล็บของมันจนกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้หักไปกว่า 3 ต้นก่อนจะหยุดลง
หยางอี้ลุกขึ้นมากระอักเลือดคำโต เขามองไปยังเบื้องหน้าปรากฏเป็นเสือตัวสีดำสนิท ขนาดใหญ่กว่า 3 เมตรอยู่เบื้องหน้า มันจ้องมองมายังหยางอี้ราวกับมดตัวหนึ่ง และเพียงแค่การจ้องมองก็ทำให้หยางอี้ถึงกับตัวสั่น แรงกดดันอันมากล้นแผ่ออกมาจนบรรยากาศอึดอัดจนหายใจได้ไม่สะดวก
มันค่อยๆเดินเข้ามาหาหยางอี้อย่างช้าๆ ส่วนหยางอี้นั้นโคจรลมปราณทั้งหมดใช้ออกด้วยหัตถ์หลอมนภาหลอมรวมกับดาบพยัคฆ์เมฆาเพื่อเตรียมรับการโจมตี
แกร่บ แกร่บ มันเดินเข้ามาเรื่อยๆจนเข้าสู่ระยะโจมตีของหยางอี้ มันมองดูมนุษย์ตัวจ้อยเบื้องหน้าที่คิดจะต่อกรกับมัน ก่อนที่มันค่อยๆยกขาหน้าขึ้นหนึ่งข้างก่อนจะขยับเล็กน้อยคล้ายการโบกมือ หยางอี้มองไปยังการกระทำของมันอย่างมึนงง ก่อนจะเหลือกตาโตรีบยกดาบพยัคฆ์เมฆาขึ้นมาป้องกัน
ปัง! หยางอี้กระเด็นไปอีกครั้ง ร่างของเขากระแทกเข้ากับต้นไม้ข้างหลังอย่างแรงจนกระอักเลือดออกมากองโต สัตว์อสูรตัวนี้แข็งแกร่งเกินไป เพียงการสะบัดเท้าเล็กน้อยกลับสร้างพลังปราณเป็นคมดาบออกมาอย่างรวดเร็ว หากหยางอี้ไม่มีสัมผัสอันเฉียบคม ร่างของเขาคงจะขาดออกเป็นสองท่อนไปแล้ว!
หยางอี้มองไปยังเสือตัวสีดำขนาดใหญ่เบื้องหน้าด้วยสายตาพร่ามัว มันค่อยๆเดินเข้ามาทีละก้าวๆ จนสุดท้ายสติของหยางอี้พลันก็ดับวูบไป
เวลาผ่านไป หยางอี้ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เบื้องหน้าคือภาพอันมืดมิด ไกลออกไปมีลูกไฟสีเขียวมรกตส่องสว่างอยู่ ภาพนี้ช่างดูคุ้นเคยเสียจริง เขามองออกไปอย่างงุนงง ก่อนจะมีเสียงก้องกังวานอันคุ้นเคยดังออกมา
“เจอกันอีกแล้วนะ เจ้าหนู เจ้าช่างรบกวนเวลานอนข้าเสียจริง”
“ท่าน...นี่ข้ายังมิตาย?”
“ฮ่าๆ เจ้าหนู...เจ้าเป็นถึงผู้ครอบครองสมบัติสวรรค์จะมาสาตายเพราะเจ้าแมวน้อยเช่นนั้นเรอะ?”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ฮึ่ม...เอาเถอะ! ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะบอกเจ้าถึงคุณสมบัติที่สองของมุกมิติราชันแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียง ลำแสงสีขาวก็พุ่งตรงเข้าสู่กลางหน้าผากของหยางอี้ด้านนอกนั้นเสือดำระดับสวรรค์ยังคงเดินเข้าหาเหยื่อของมันอย่างแช่มช้า ทว่าเมื่อเข้ามาใกล้เรื่อยๆ มันพลันหยุดเท้าลงและจ้องมองไปยังร่างไร้สติของหยางอี้อย่างสับสน
จากนั้นมันพลันก้าวถอยออกไปอย่างรวดเร็วเพราะร่างที่ชโลมเลือดของเด็กหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่นั้นค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย ก่อนที่บรรยากาศโดยรอบชายหนุ่มเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หยางอี้ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา
“ตราประทับราชันย์!”
บึ้ม! เสียงลมปราณมหาศาลระเบิดออกจากร่างของหยางอี้ ส่งให้สั่นสะเทือนไปทั่วภูเขาเจ้าเสือดำระดับสวรรค์เองก็ตกใจมิใช่น้อย มนุษย์ตัวจ้อยเบื้องหน้ามันที่ใกล้จะตกตายอยู่แล้ว เหตุใดอยู่ดีๆจึงมีพลังปราณมหาศาลแผ่ออกมาได้
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ความรู้สึกของชนชั้นสวรรค์ช่างสุดยอดอย่างแท้จริง!”
กลิ่นอายอันทรงพลังแผ่กระจายออกมาจากร่างของหยางอี้ไม่หยุดหย่อน เจ้าเสือดำด้านหน้าเมื่อสัมผัสได้มันตกใจมิใช่น้อย แต่ด้วยศักดิ์ศรีจะให้มันถอยได้อย่างไร?
“ข้ามีเวลาครึ่งชั่วยาม...ต้องรีบแล้ว!” ด้วยเวลาจำกัดหยางอี้ไม่รอช้าเขาพุ่งเข้าหาเจ้าเสือดำทันที
ตอนนี้ความเร็วของเขามิได้เป็นรองอีกต่อไป คมดาบพยัคฆ์เมฆาที่อัดแน่นไปด้วยลมปราณระดับสวรรค์ฟาดฟันไปยังเสือดำอย่างรวดเร็ว แต่ไหนเลยเสือดำเองก็มิใช่สัตว์อสูรกระจอก มันเป็นถึงเจ้าผู้ปกครองพื้นที่แถบนี้ ด้วยความเร็วและพลังอันมหาศาล มันเคลื่อนตัวหลบคมดาบก่อนจะปล่อยคมมีดวายุพุ่งเข้าหาหยางอี้
หยางอี้มองไปยังคมมีดอย่างเย็นชา ชายหนุ่มยกดาบพยัคฆ์เมฆาขึ้นมาแล้วสะบัดออกไปก่อนจะเกิดเป็นคลื่นจันทร์เสี้ยวสีฟ้าครามพุ่งออกไปปะทะกับคมดาบวายุ ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอีกครั้งปัง ปัง ปัง ตูม ตูม ตูม เสียงสั่นสะเทือนดังไปทั่วบริเวณ ต้นไม้หักโค่นไปเป็นแถบๆ ทั้งสองต่อสู้กันอย่างสูสีแต่ดูเหมือนความเร็วของหยางอี้ในขณะใช้ย่างก้าวมายาสวรรค์จะเหนือกว่าเจ้าเสือดำ
จังหวะที่เสือดำทะยานร่างพุ่งเข้ามายังช่องว่างของหยางอี้ มันอ้าปากเผยให้เห็นคมเขี้ยวอันแหลมคมเตรียมจะฉีกกระชากศัตรูเบื้องหน้า ทว่าเมื่อเข้ามาได้ระยะหยางอี้กลับเผยยิ้มที่มุมปากก่อนจะเอี้ยวตัวหลบ
ฉับ! โฮก! เลือดสีแดงฉานพุ่งกระฉูดขึ้นท้องนภา ช่วงลำตัวของเสือดำถูกฟันด้วยดาบพยัคฆ์เมฆาเป็นรอยยาวจากช่วงไหล่ไปถึงกลางหลัง มันกระโดดถอยหลังไปอย่างโซเซแต่มีหรือหยางอี้จะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไป ชายหนุ่มใช้ออกด้วยความเร็วสูงสุดพุ่งเข้าหามัน
แม้จะบาดเจ็บ แต่เสือดำยังคงตะกุยขาของมัน เพื่อหวังจะปัดป้องศัตรูที่พุ่งเข้ามา หยางอี้หักข้อเข้าทิ้งภาพมายาไว้เบื้องหน้าให้ปะทะกับกรงเล็บของเจ้าเสือดำ ก่อนที่ร่างชายหนุ่มจะไปปรากฏด้านข้างของมันแล้วใช้คมดาบพยัคฆ์เมฆาฟาดผ่านลำคอของเสือดำอย่างไม่ปราณี
ฉัวะ! กึกกึกกึก
เสียงการต่อสู้เงียบลงทันทีเหลือเพียงเสียงของวัตถุบางอย่างกลิ้งอยู่ที่พื้น หยาดโลหิตของเสื้อดำหลั่งไหลออกจากคอที่ถูกตัดราวกับลำธาร หยางอี้ไม่รอช้าเมื่อจัดการสังหารเสือดำเสร็จเขาใช้ดาบพยัคฆ์เมฆาผ่าร่างของเสือดำออกเป็น 2 ส่วนก่อนจะยัดเข้าแหวนมิติและเร่งมุ่งหน้าไปยังที่พักของเขาทันที
ภายในที่พัก หยางอี้นั่งโคจรพลังปราณในร่างเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มเริ่มสั่นสะท้าน ความเจ็บปวดอันมหาศาลจากการบอบช้ำของเส้นลมปราณและร่างกายที่ฝืนรองรับพลังปราณระดับสวรรค์ราวกับเข็มนับแสนกำลังทิ่มแทงร่างของเขาอยู่ หยางอี้ยังคงนั่งกัดฟันทนมิปริปากร้องออกมาแม้จะเจ็บปวดมากเพียงไร ใบหน้าขาวซีดที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อยังคงนิ่งเฉย
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ภายในมิติพิเศษ
“คุณสมบัติที่สอง?” หยางอี้อุทานออกมา
“เจ้าหนู เจ้าคิดว่าหากมีดีแค่นี้จะได้ชื่อว่าสมบัติสวรรค์งั้นเรอะ?” หลังจากนั้นลำแสงก็พุ่งเข้าสู่หน้าผากหยางอี้ ข้อความมากมายเกี่ยวกับความสามารถนี้ค่อยๆไหลเข้าสู่ความทรงจำของชายหนุ่ม
ร่างประทับราชันย์! ความสามารถที่ 2 ของมุกมิติราชันย์มี 7 ระดับ
ระดับ 1 เพิ่มระดับพลังปราณ 1 ระดับ
ระดับ 2 เพิ่มระดับพลังปราณ 3 ระดับ
ระดับ 3 เพิ่มระดับพลังปราณ 5 ระดับ
ระดับ 4 เพิ่มระดับพลังปราณ 7 ระดับ
ระดับ 5 เพิ่มระดับพลังปราณ 9 ระดับ
ระดับ 6 เพิ่มระดับพลังปราณ 1 ช่วงชั้น
ระดับ 7 เพิ่มระดับพลังปราณ 2 ช่วงชั้น
โดยแต่ละช่วงชั้นใช้เวลา 1 เดือนในการสะสมปราณธรรมชาติของมุกมิติราชันย์หลังจากมุกมิติราชันย์ตื่นขึ้นครั้งแรก นี่ก็ผ่านมากว่า 8 เดือนแล้วทำให้หยางอี้สามารถเปิดใช้งานตราประทับราชันย์ระดับ 7 ได้ แต่หากจะใช้อีกครั้งต้องรอไปอีก 7 เดือนและนั่นเป็นสาเหตุให้หยางอี้ที่เดิมอยู่ในระดับปราณก่อตั้งจิตก้าวข้ามไปยังขีดจำกัดของระดับสวรรค์ได้
เมื่อรับรู้ถึงความสามารถนี้ทำให้หยางอี้ตกตะลึงเป็นอย่างมากเพราะว่า ความสามารถนี้หากมีใครรู้เข้าคงกระอักเลือดตายเป็นแน่ บางคนใช้เวลากว่า 10 ปี ยังไม่อาจทะลวงระดับชั้นได้ และยิ่งระดับสูงขึ้นไปยิ่งยากแก่การทะลวงชั้น แต่ความสามารถนี้แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาครึ่งชั่วยาม แต่นั่นก็เพียงพอแล้วในการสังหารศัตรู!
ขณะที่หยางอี้นั่งอดทนกับความเจ็บปวดซึ่งเป็นผลข้างเคียงของการใช้ร่างประทับราชันย์อยู่นั้นไกลออกไปหลาย 10 กิโลเมตร บนยอดเขาลูกหนึ่ง ปรากฏร่างชายชราสวมชุดสีเขียวยืนอยู่ เขามีรูปร่างอ้วนท้วมผมและเคราล้วนเป็นสีขาว ใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนได้เจอเรื่องสนุก
“ฮี่ๆ เจ้าหนูนั่นถือว่าใช้ได้ทีเดียว แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ มันจึงมีพลังเพิ่มขึ้น แต่ก็น่าสนใจมิใช่น้อย...ช่วงนี้ข้าว่างเสียด้วยกำลังเบื่อๆเลย แวะไปเล่นกับเจ้าหนูนั่นหน่อยดีกว่า” เมื่อสิ้นคำบ่นกับตัวเองร่างท้วมๆของชายชราชุดเขียวจู่ๆก็อันตรธานหายวับไปทันที
ภายในถ้ำที่พักของหยางอี้ ชายหนุ่มกำลังนั่งกัดฟันทนความเจ็บปวดหลังจากการใช้ร่างประทับราชันย์ผ่านมากว่า 1 ชั่วยามแล้วความเจ็บปวดยังคงมิลดลงแม้แต่น้อยภายนอกของถ้ำชายชราร่างท้วมยังคงเฝ้ามองอยู่ตั้งแต่หยางอี้เริ่มเข้าไปได้ไม่นานจนถึงบัดนี้
ดูเหมือนชายชราจะรู้จากประสบการณ์อันยาวนานว่า การระเบิดพลังปราณที่มหาศาลเกินขีดจำกัดร่างกายย่อมต้องมีผลกระทบ และเมื่อรวมกับที่หยางอี้นั้นเร่งรีบกลับเข้าไปในที่พักพร้อมกับปิดทางเข้าออก นั่นทำให้เดาได้ไม่ยาก
ชายชราชุดเขียวยังคงเฝ้ารออย่างใจเย็นโดยมิได้รบกวนหยางอี้แต่อย่างใด ส่วนหยางอี้นั้นมิได้รู้เลยว่าด้านนอกมีผู้มาใหม่กำลังเฝ้ามองอยู่ จนเวลาผ่านไป 3 ชั่วยามหยางอี้จึงลืมตาขึ้น จากใบหน้าที่ซีดขาวเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว ความเจ็บปวดเริ่มจางหายไป
ครืน ครืน
เสียงหินก้อนใหญ่ที่ปิดหน้าถ้ำอยู่ค่อยขยับเลื่อนออกจนเผยให้เห็นภายในถ้ำ หยางอี้เดินออกมานอกถ้ำก่อนจะขมวดคิ้วและมองไปยังก้อนหินเบื้องหน้าที่ปรากฏร่างชายชราชุดเขียวกำลังนั่งอยู่
“ออกมาซะทีนะเจ้าหนู ข้ารอจนรากจะงอกอยู่แล้ว!” ชายชรากล่าวออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านเป็นใคร? แล้วเหตุใดจึงมารอข้า?” หยางอี้กล่าวออกมาอย่างระมัดระวังพร้อมกับสำรวจชายชราตรงหน้า
“ฮี่ๆ ข้าเป็นใครนั้นหาใช่สิ่งสำคัญ ว่าแต่เจ้านั้นก็ใช่ย่อยเจ้าเด็กน้อยที่สามารถต่อกรกับจ้าวถิ่นของที่นี่ได้ น่าสนใจๆ” ชายชราเอ่ยออกมาก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาหาหยางอี้
“เป็นเพราะความโชคดีของข้า ว่าแต่ท่านอาวุโสมีธุระอะไรกับข้าหรือ?” หยางอี้เอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังพร้อมกับลอบสำรวจท่าทีของชายชราเบื้องหน้า
“ฮี่ๆ ไม่ต้องกังวลไป ชายแก่ผู้นี้เพียงแค่เหงาเล็กน้อยที่อยู่ในป่านี้คนเดียวมานาน เมื่อได้พบเจอสหายน้อยจึงอยากมาทำความรู้จักแค่นั้นแหละ” ชายชราเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี
“เป็นเช่นนั้น...ผู้เยาว์มีนามว่าหยางอี้ แล้วท่านผู้อาวุโสมาทำอะไรที่นี่ขอรับ”
“หยางอี้...เป็นชื่อที่ดี! แต่ยังดีน้อยกว่าข้านิดหนึ่ง ฮ่าๆ นามของข้าคือ กู่เทียนชาง!” กู่เทียนชางกล่าวออกมาอย่างภูมิใจ ส่วนหยางอี้นั้นได้แต่ตกตะลึง ตาเฒ่านี่กระทั่งชมชื่อตัวเอง?
“ฮ่าๆ เจ้าหนูหยางอี้ ข้าเข้ามาในป่าแห่งนี้ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วเพื่อเก็บวัตถุดิบบางอย่าง เพียงแต่เวลาไม่เหมาะสม ข้าจึงต้องรอมาถึงตอนนี้ และอีกไม่นานข้าจะสามารถเก็บมันได้” กู่เทียนชางเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ และเมื่อได้ยินเช่นนั้นหยางอี้ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ท่านเป็นนักปรุงยา?”
“นักปรุงยางั้นหรือ? ไม่เลยเด็กน้อย! ทว่าผู้คนต่างยกย่องข้าว่าเป็นเซียนโอสถ ฮ่าๆๆๆ แม้มันจะเป็นคำที่ดูโอ้อวด แต่ข้าคิดว่ามันก็มิได้เกินจริงแม้แต่น้อยล่ะนะ” กู่เทียนชางเอ่ยออกมาอย่างไม่อายปากแล้วเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“…” เมื่อมองไปยังกู่เทียนชาง หยางอี้ถึงกับพูดไม่ออก ตาเฒ่าผู้นี้หลงตัวเองถึงขนาดไหนกัน?
“นับเป็นวาสนาของผู้น้อยที่ได้พบท่านผู้อาวุโส” หยางอี้กล่าวออกไปอย่างสุภาพแต่ในใจนึกวางแผนการไว้บางอย่าง
“ฮ่าๆ เจ้าหนูไม่ต้องมากพิธี มาๆ ข้ามีสุราดีแถมยังไม่ได้ดื่มกับคนอื่นมานานแล้ว” เมื่อพูดจบกู่เทียนชางหยิบไหเหล้าออกมาหนึ่งใบจากแหวนมิติก่อนจะสะบัดมือหนึ่งครั้ง หินก้อนใหญ่ที่เคยใช้นั่งรอหยางอี้พลันกลายเป็นขาดครึ่งทั้งรอยตัดยังเรียบเนียนราวกับเต้าหู้ที่ถูกตัดด้วยมีดอันคมกริบ
หยางอี้มองไปอย่างตกตะลึง ตาเฒ่านี้ไม่ใช่เล่นๆเลย ต้องมีฝีมือระดับไหนกันถึงจะทำเช่นนี้ได้ พลังปราณอันคมกริบและเงียบสงบที่ไม่แม้จะสัมผัสถึงมันได้ หากตาเฒ่านี่ต้องการสังหารใครสักคน มันผู้นั้นต้องตกตายโดยมิอาจรับรู้ถึงสาเหตุเลยด้วยซ้ำ!
“ฝีมือของท่านอาวุโสช่างล้ำลึก” หยางอี้กล่าวออกมาอย่างชื่นชม ก่อนจะรู้สึกเสียใจในภายหลังที่กล่าวชมตาเฒ่าเบื้องหน้าผู้นี้ เพราะหลังจากนั้นการสนทนากลับกลายเป็นการยกยอตนเองของกู่เทียนชาง
จาก 1 คืนเป็น 1 วัน จากหนึ่ง 1 วันเป็น 1 เดือน
หยางอี้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับกู่เทียนชาง จากการอยู่ร่วมกัน กู่เทียนชางที่ไม่ได้พบผู้คนมากว่า 3 ปีนั้นเมื่อเจอกับหยางอี้นั้นทำให้ชายชราไม่รู้สึกเบื่ออีกต่อไป รวมกับหยางอี้ที่ค่อนข้างกล่าวประจบประแจงนั้น ทำให้กู่เทียนชางกลายเป็นชมชอบหยางอี้อย่างมาก
หยางอี้ใช้เวลายามกลางคืนในการบ่มเพาะพลังปราณในมิติพิเศษ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องออกล่าสัตว์อสูรแล้วเพราะกู่เทียนชางมอบดวงจิตอสูรจำนวนมากให้กับหยางอี้ซึ่งมีแม้กระทั่งระดับสวรรค์ ซึ่งเมื่อรวมกับของเจ้าเสือดำนั้นหยางอี้มีอยู่ถึง 2 ชิ้น แต่ด้วยระดับของหยางอี้ตอนนี้ยังไม่อาจดูดซับมันได้
ส่วนศพของมันนั้นหยางอี้ตั้งใจเก็บไว้ก่อนเพื่อรอนำชิ้นส่วนของเสือดำไปขายในเมือง สัตว์ระดับสวรรค์นั้นไม่ใช่ง่ายที่จะพบเจอ และมีคนไม่มากที่จะจัดการมันได้ ศาสตราวุธนั้นไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือชุดเกราะล้วนถูกหลอมจากแร่และชิ้นส่วนของสัตว์อสูรระดับสูง ดาบพยัคฆ์เมฆาของหยางอี้เองก็เช่นกัน! และมันทำให้ชิ้นส่วนต่างๆของร่างกายสัตว์อสูรระดับสูงนั้นมีค่าเป็นอย่างมาก
หยางอี้ค่อยๆลืมตาขึ้นหลังจากออกจากมิติพิเศษ ตอนนี้ผ่านมา 5 เดือนแล้วนับจากเข้ามาในป่าดับดารา เหลือเวลาอีก 1 เดือนเท่านั้นจะถึงการทดสอบหยางอี้เดินออกไปหน้าถ้ำ ตอนนี้เป็นเวลาเย็น ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า เขามองไปยังเบื้องที่มีกู่เทียนชางกำลังนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะหินที่เกิดจากฝีมือของกู่เทียนชางในวันแรกที่เขาพบกัน
“ฮี่ๆ เจ้าหนู วันนี้ข้ามีกับแกล้มชั้นยอดมาด้วย” เมื่อเห็นหยางอี้ กู่เทียนชางหัวเราะขึ้น ก่อนหยิบกระต่ายป่าสองตัวขึ้นมาโบกไปมาให้หยางอี้ดู
ชายหนุ่มยิ้มส่ายหัวก่อนจะเดินไปยังโต๊ะหิน ทั้งสองนั่งสนทนากันพร้อมทั้งดื่มสุราและกับแกล้มแสนอร่อย บรรยากาศข้างกองไฟยามค่ำคืนภายในป่าอันเงียบสงบ คงมีแต่เด็กหนุ่มและชายชราเท่านั้นที่ส่งเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“นี่ท่านกู่ ข้านั้นสนใจในการปรุงยา ท่านพอจะแนะนำข้าได้บ้างหรือไม่?” หยางอี้กล่าวถามออกมา แม้จะไม่รู้ว่าชายชรานั้นอยู่ในระดับไหน แต่ว่าในสายตาของหยางอี้กู่เทียนชางนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีนิสัยโอ้อวดมากไปหน่อยก็เถอะ ด้านกู่เทียนชางเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองหยางอี้ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“เจ้าหนู นักปรุงยาโดยทั่วไปนั้นนับเป็นเรื่องยากที่จะรับศิษย์หรือสั่งสอนใคร แม้ข้ากับเจ้าจะเป็นสหายร่วมดื่มกันมาและข้าก็รู้สึกยินดีที่มีสหายน้อยเช่นเจ้า แต่นั่นก็ยังไม่มากพอที่จะให้ข้าเผยแพร่วิชาปรุงยาของข้า!” หยางอี้มองอย่างประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ตาเฒ่านี่แสดงท่าทีจริงจังแบบนี้
“ข้าต้องขอโทษท่านด้วยที่กล่าวออกไปเช่นนั้น...ข้าเพียงคิดว่าท่านเทพเซียนโอสถผู้ยิ่งใหญ่ที่ใจกว้างดั่งมหาสมุทรเช่นท่านจะสามารถชี้แนะข้าสักเล็กน้อยจึงได้กล่าววาจาหน้าไม่อายเช่นนั้นออกไป...” หยางอี้กล่าวออกมาอย่างรู้สึกผิด แต่ก็ไม่ลืมที่จะยกยอกู่เทียนชาง
เมื่อได้ยินคำของหยางอี้ กู่เทียงชางนั้นขมวดคิ้วก่อนจะจ้องมองหยางอี้อย่างจริงจัง
‘เจ้าหนูนี่ด้วยความสามารถนับว่ายอดเยี่ยม แถมยังมีความลับที่ทำให้ระดับพลังปราณเพิ่มขึ้นอีก แม้จะชอบยกยอข้า แต่จากเวลาที่ผ่านมานิสัยของมันนับว่าไม่เลวนัก...เราเองก็อยู่มาหลายร้อยปียังไม่เคยรับศิษย์สักคน หากพูดให้ถูกยังไม่มีผู้ใดคู่ควรมากกว่า...’
กู่เทียนชางนั้นไม่ใช่คนโง่ แม้จะชอบโอ้อวดแต่เขาก็ยังรู้จักแยกแยะเสมอ การจะหาผลประโยชน์จากเขานั้นหากเขามิยินยอมย่อมไม่มีใครสามารถทำได้ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งกู่เทียนชางก็กล่าวออกมา
“ฮึ่ม! เจ้าหนู ข้านั้นไม่เคยรับศิษย์ และข้าจะไม่สั่งสอนวิชาของข้าให้กับใครนอกจากศิษย์ของข้า! ทักษะการปรุงยาของข้านั้นมีค่ามากมายมหาศาลนัก ผู้คนมากมายล้วนต่อสู้เพื่อแย่งชิงมัน และข้าไม่ต้องการให้มันหลุดรอดออกไปยังผู้อื่น”
“เจ้านั้นนับว่าไม่เลว มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นศิษย์ของข้า แต่เจ้าต้องสาบานว่าจะเชื่อฟังคำของข้าและไม่เผยแพร่มันให้ผู้ใด! หากตกลงก็จงกราบข้าเป็นอาจารย์ซะ!”
คำกล่าวอันก้องกังวานพร้อมแรงกดดันอันมหาศาลที่กู่เทียงชางปล่อยออกมา ทำให้หยางอี้ตัวสั่นเทิ้ม หยางอี้รับรู้เพียงว่าแรงกดดันอันมากมายมหาศาลนี้ไม่อาจสัมผัสถึงจุดสิ้นสุดของมันได้! กระทั่งต้นไม้ยังสั่นไหว ภูเขายังสั่นสะเทือน สัตว์อสูรภายในป่ากลายเป็นหวาดกลัว พวกมันล้วนตัวสั่นไม่กล้าแม้แต่จะขยับร่างกาย
“นี่ ...” หยางอี้กลายเป็นพูดไม่ออก
ตัวเขาแม้คาดว่ากู่เทียนชางจะอยู่ในระดับสูง แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะเกินระดับสวรรค์ขั้นปลาย ทว่าบัดนี้เขารู้แล้วว่าตัวตนของชายชราที่วันๆเอาแต่ยกยอตัวเองนั้น...เขามิได้กล่าวเกินเลยไปแม้แต่น้อย!
การที่คนหนึ่งคนจะปลดปล่อยแรงกดดันมากเพียงนี้ได้ ต้องมีพลังระดับไหนกัน? นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ตัวตนของกู่เทียนชางนั้นเกินเลยจินตนาการของหยางอี้ไปไกลโข! หลังจากได้สติหยางอี้จ้องมองไปยังตัวตนอันยิ่งใหญ่เบื้องหน้าด้วยความจริงจังก่อนจะตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้นในที่สุด!
“ข้าหยางอี้ ขอกราบท่านผู้อาวุโสกู่เทียนชางเป็นอาจารย์ในวันนี้...เป็นอาจารย์หนึ่งวันเปรียบเป็นบิดาตลอดชีวิต! ศิษย์จะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง!” หยางอี้กล่าวทุกคำออกมาจากใจจริง
แม้จะไม่รู้ถึงความหมายของสิ่งที่กู่เทียนชางพูด แต่ด้วยตัวเขานั้นอยากรู้วิชาโอสถ และระดับพลังอันสูงส่งของกู่เทียนชางนั้นก็ทำให้หยางอี้ตัดสินใจเช่นนี้ แต่สำคัญที่สุดคือการที่อยู่ร่วมกันมานับเดือนทำให้หยางอี้พอจะรู้ถึงนิสัยของชายชราเบื้องหน้า แม้กู่เทียนชางนั้นจะเป็นคนชอบโอ้อวด แต่เรื่องนิสัยใจคอนั้นเปรียบดังคุณปู่ใจดีคนหนึ่งก็ว่าได้
กู่เทียนชางมองไปยังหยางอี้ที่คุกเข่าก้มกราบตัวเขาสามครั้งอย่างพอใจ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอันปีติ สิ่งที่น่าภาคภูมิที่สุดของการเป็นอาจารย์นั้นคือการมีศิษย์ที่ดี และตัวเขาเองมั่นใจอย่างแน่นอนว่าตัวเองนั้นมองเด็กหนุ่มเบื้องหน้ามิผิดไป!
“ดีมาก ฮ่าๆ เจ้าหนูต่อแต่นี้ไปข้าจะถ่ายทอดทุกอย่างให้เจ้า! ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้วว่าจะสามารถรับมันได้มากแค่ไหน สักวันเจ้าจะเป็นตัวแทนของข้าในการตอกหน้าพวกเจ้าแก่ปากมากพวกนั้น ฮ่าๆ”
กู่เทียนชางนั้นมีความสุขอย่างมาก แม้เขาจะไม่รู้ถึงความสามารถทั้งหมดของหยางอี้ แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถสังหารสัตว์อสูรระดับสวรรค์ได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี อีกทั้งด้วยระดับพลังและอายุของชายหนุ่มก็นับว่าไม่เลว หากมีเขาเป็นผู้ฝึกฝน อีกไม่นานคงจะตามพวกอัจฉริยะของ 5 อาณาจักรได้ทัน แม้อาจจะไม่สามารถเหนือกว่าได้ แต่ก็ต้องเปรียบได้อย่างทัดเทียม!
หลังจากนั้นกู่เทียนชางก็สลายแรงกดดันทำให้บรรยากาศในป่าอันร่มรื่นกลับมาอีกครั้ง กู่เทียนชางเดินเข้าไปพยุงหยางอี้ขึ้นมา
“อ่า...ศิษย์ข้า มาๆ วันนี้เป็นวันดีข้าจะดื่มกับเจ้าจนถึงเช้าเลย!”หยางอี้ลุกขึ้นก่อนจะรินเหล้าให้กู่เทียนชาง
“สุราจอกนี้ศิษย์ขอดื่มเพื่อคาราวะอาจารย์” หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันจนเกือบรุ่งสางก่อนที่กู่เทียนชางจะแยกกลับไปยังที่พักของตนที่อยู่ในภูเขาอีกลูกหนึ่ง
ในวันต่อมา กู่เทียนชางได้มาหาหยางอี้ ซึ่งหยางอี้นั้นก็ได้เล่าให้ฟังว่าอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ต้องไปยังสำนักวิหารสวรรค์ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่สำนักวิหารสวรรค์แล้วเพราะตั้งใจจะติดตามกู่เทียนชาง แต่ด้วยเขานั้นต้องการทักษะ 9 วิถีพยัคฆ์และส่งข่าวให้ท่านพ่อได้รับรู้ด้วย
กู่เทียนชางนั้นมิได้ว่าอะไร เพราะเดิมตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เขาใกล้จะเก็บวัตถุดิบที่เฝ้ารอมานาน 3 ปีเต็มแล้ว ตามจริงวันนี้เขาตั้งใจจะมาบอกหยางอี้ว่าเขานั้นจะไม่มาหาหยางอี้สักระยะเพื่อเตรียมความพร้อมในการเก็บวัตถุดิบ
เมื่อทั้งสองตกลงกันเรียบร้อย กู่เทียนชางก็บอกว่าในอีก 5 เดือนข้างหน้านั้นเขาจะมารอที่นี่และเดินทางไปยังจักรวรรดินภาสวรรค์ เมื่อหยางอี้ได้ยินชื่อจักรวรรดินภาสวรรค์นั้นก็ทำให้หัวใจเขาพลันตื่นเต้น นี่มิใช่เรื่องดีหรอกหรือเพราะหนึ่งในเป้าหมายของเขาก็คือที่นั่นอยู่แล้ว
ก่อนจะจากไป กู่เทียนชางได้มอบตำราเล่มหนึ่งให้กับหยางอี้พร้อมกับป้ายหยกสื่อสาร โดยบอกว่าหยกชิ้นนี้หากถ่ายพลังปราณลงไปมันจะทำให้ข้ารับรู้ถึงตำแหน่งของเจ้าได้...ส่วนทักษะในนั้นนั้นเป็นวิชาที่กู่เทียนชางคิดค้นขึ้นมาเอง หากเปรียบเทียบคงจะเป็นระดับปฐพีขั้นสูงแต่ประโยชน์ของมันนั้นมากมายยิ่งนัก!
กู่เทียนชางกำชับกับหยางอี้ให้ฝึกให้ถึงขั้นที่หนึ่งก่อนจะเข้าไปยังเมืองหลวง เมื่อเปิดดูหยางอี้ก็ตื่นเต้นกับวิชาใหม่ที่ได้รับจากกู่เทียนชางเป็นอย่างมาก ด้วยวิชานี้จะทำให้เขาสามารถทำอะไรหลายอย่างได้ง่ายขึ้น สมแล้วที่กู่เทียนชางบอกว่ามันเป็นวิชาที่มีประโยชน์
หลังจากที่กู่เทียนชางกลับไปแล้ว หยางอี้มิได้เข้าสู่ที่พักทันที ชายหนุ่มหาสถานที่สงบแห่งหนึ่งในภูเขา มันเป็นแง่งผาแห่งหนึ่งซึ่งด้านล่างเป็นลำธารและป่าไม้ จากจุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของป่าแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน สิ่งแรกที่หยางอี้ต้องทำคือการจดจำทุกสิ่งทุกอย่างภายในตำราทักษะ หากเป็นคนอื่นอาจจะเริ่มทำความเข้าใจและเริ่มฝึกฝนไปทีละน้อย แต่หยางอี้นั้นมีมิติพิเศษอยู่ แม้จะไม่สามารถนำตำราเข้าไปได้แต่หากเขาจดจำได้ทั้งหมดนั่นเท่ากับว่าเขามีเวลาในการฝึกฝนมากกว่าผู้อื่นถึงสิบเท่า เมื่อได้สถานที่ตามต้องการแล้วหยางอี้เริ่มเปิดตำราเพื่อจดจำข้อมูลทันที
ทักษะซ่อนจันทร์ดับดารา
ทักษะนี้มีทั้งหมด 2 ขั้นด้วยกัน โดยแบ่งเป็น ขั้นที่ 1 ซ่อนจันทร์ และขั้นที่ 2 ดับดารา
ทักษะนี้เน้นการควบคุมลมปราณเป็นหลัก เมื่อหยางอี้อ่านรายละเอียดไปสักพัก ถึงกับอดทึ่งในตัวอาจารย์ของเขาไม่ได้ที่สามารถคิดค้นทักษะอันลึกซึ้งและละเอียดอ่อนเช่นนี้ออกมาได้
ขั้นที่ 1 ซ่อนจันทร์
เป็นการควบคุมลมปราณภายในร่างรวมถึงจิตสังหารและแรงกดดัน ให้อยู่ในระดับที่บางเบาจนถึงขีดสุด และหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกับปราณธรรมชาติ เมื่อฝึกสำเร็จ ผู้ใช้จะสามารถอำพรางระดับลมปราณรวมถึงตัวตนของตนเองกับผู้อื่นได้
หยางอี้เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมเขาจึงไม่อาจสัมผัสตัวตนและพลังลมปราณของกู่เทียนชางได้เลย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมากู่เทียนชางอยู่ดีๆก็โผล่มา นึกจะไปก็หายไปทันที หยางอี้เลือกที่จะจดจำเพียงรายละเอียดของขั้นที่หนึ่งก่อน เพราะเวลาเหลืออีกไม่มากนักที่จะต้องเดินทางเข้ารับการทดสอบ
หลังจากแน่ใจว่าจดจำทุกรายละเอียดของซ่อนจันทร์ได้อย่างถูกต้องแล้ว หยางอี้ก็มุ่งหน้ากลับถ้ำของตนก่อนจะเข้าสู่มิติพิเศษเพื่อเริ่มฝึกฝนทันที ภายในมิติพิเศษ หยางอี้นั่งลงเริ่มโคจรลมปราณในร่างอย่างช้าๆ ตามแนวทางของทักษะซ่อนจันทร์ดับดารา ลมปราณในร่างเริ่มพวยพุ่งออกมาไม่หยุด พลังปราณอันพรั่งพรูแผ่พุ่งออกมาเรื่อยๆจากร่างของหยางอี้ ก่อนจะค่อยๆหมุนวนอย่างเป็นธรรมชาติ กระแสลมปราณเริ่มหมุนวนไปในทิศทางเดียวกับลมปราณภายนอก และความกลมกลืนก็เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างช้าๆ
10 วันผ่านไป
หยางอี้เดินออกมาจากถ้ำ ตอนนี้ลมปราณของเขาสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่ผู้มีการตรวจจับลมปราณระดับสูงย่อมไม่สามารถตรวจจับหยางอี้ได้หากเขาไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็น
“ตอนนี้ ด้วยทักษะซ่อนจันท์ ทำให้ข้าสามารถเดินทางโดยหลีกเลี่ยงสัตว์อสูรในป่าแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย คงจะใช้เวลาไม่เกิน 10 วันในการออกจากป่าดับดารา เมื่อถึงตอนนั้นคงจะใกล้ถึงวันเริ่มทดสอบพอดี”
ชายหนุ่มยืนพึมพำออกมาพร้อมกับมองไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร เมื่อตัดสินใจเรียบร้อย หยางอี้ก็ออกเดินทางทันที
‘ข้าจะต้องเข้าร่วมสำนักวิหารสวรรค์ก่อนเป็นอันดับแรก!’