บทที่ 33 ความอ่อนแอที่แท้จริง
บทที่ 33 ความอ่อนแอที่แท้จริง
เมื่ออาจารย์ซีซือขานชื่อเฉินหลิงฉุน นอกจากเย่เจียเฉวียนและสือเสี่ยวไป๋ที่แสดงอาการตกตะลึง คนอื่นๆ กลับเผยสีหน้าฉงนสงสัย
“เฉินหลิงฉุนคือใคร?”
“เอ๋? ทำไม่ฉันไม่คุ้นกับชื่อนี้เลยสักนิด?”
“...”
บรรดาเด็กใหม่ต่างกระซิบกระซาบกันไปมา พวกเขากำลังตกตะลึงกับความทรงจำของตัวเองที่ไม่มีความทรงจำของ “เฉินหลิงฉุน”ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและผู้ที่อ่อนแอที่สุดต่างอยู่ในจุดสนใจของทุกคน ท่ามกลางเส้นทางของการฝึกฝนพลังจิต เงาแผ่นหลังของคนที่สูงใหญ่ที่เดินนำอยู่ข้างหน้า ทั้งยังเป็นเป้าหมายในใจที่ทุกคนศรัทธาและต่างก็ไล่ตาม เช่นสือเสี่ยวไป๋ที่โดดอบรมไปหลายวันของฝั่งทีมสีแดง ด้วยความสามารถเหนือมนุษย์ระดับ S คู่และสัมผัสแห่งเทพของเขาต่างเป็นข้อถกเถียงในหมู่เด็กใหม่จนเกือบจะยกเขาเป็นเทพเจ้าไปแล้ว ผู้คนในห้องไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้
และเงาของผู้ตกอับท้อแท้ด้านหลังสุด ว่าตามหลักเหตุผลแล้วต้องเป็นคนที่พวกเขาคุ้นเคยดีถึงจะถูก เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบกับความพ่ายแพ้ เพียงเพราะในเวลาที่ไม่อาจทนต่อความผิดหวังและเหนื่อยล้าได้ และในเวลาที่ทอดมองแผ่นหลังที่ยิ่งมองก็ยิ่งห่างไกลออกไปทุกทีจนค่อยๆ หมดหวังไปนั้น ขอเพียงพวกเขาหันหลังไปมองเงาของคนที่อยู่รั้งท้ายสุดคนนั้น มองดูคนอ่อนแอที่อ่อนแอยิ่งกว่าพวกเขา ยิ่งรู้สึกน่าขันอีกทั้งรู้สึกเศร้ากับโชคชะตาเส้นนี้ มันเป็นกำลังน้อยนิด ที่ช่วยต่อพลังแห่งความยึดมั่นให้มีต่อไป
คนที่อ่อนแอที่สุดผู้นั้นก็คือคนที่มโนขึ้นเพื่อให้ตัวพวกเขาเองรู้สึกสบายใจ แน่นอนว่าต้องเป็นจุดสำคัญที่พวกเขาให้ความสนใจเช่นเดียวกัน!
แต่ว่า เฉินหลิงฉุนเป็นใครกัน?
บรรดาเด็กใหม่ต่างขบคิดทุกวิถีทาง แต่ก็ยังคงนึกข้อมูลของชื่อนี้ไม่ออกสักนิดอยู่ดี พวกเขาพลันตระหนักว่าดูเหมือนตัวเขาเองได้ทำเรื่องอะไรตกหล่นไป หรืออาจจะหลงลืมอะไรไป
ครั้นอาจารย์ซีซือขานเรียกชื่อ “เฉินหลิงฉุน” ชื่อนี้เป็นครั้งที่สาม เด็กหนุ่มผมเงินก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง มือทั้งสองของเขาสอดอยู่ในกระเป๋า ก้มหน้าเดินออกมาจากกลางฝูงชน มีบางคนที่ผ่านเข้ามาในสายตาของเราแล้ว ก็จะไม่สามารถละหนีจากเขาไปได้อีก เช่นเดียวกับหนุ่มน้อยผมเงินที่เดินออกมาผู้นี้ แม้ว่าเขาจะก้มหัวต่ำเล็กน้อย แต่ใบหน้าหล่อเหลาของเขายังคงสะกดให้ทุกคนลืมหายใจ ไม่อาจจะละสายตาไปจากเขาได้
“ห๊า? มีพี่ชายหล่อเหลาขนาดนี้ด้วยเหรอ? นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ทำไมเหล่าเหนียง[1]ถึงไม่เห็นจะเคยเห็นเลยนะ?” สาวบ้าผู้ชายบางคนถึงกับจ้องตาเป็นมัน
“พี่ชายรูปงามขนาดนี้ น่าแปลกทำไมหนูน้อยกลับนึกภาพเขาไม่ออกเลยสักนิด?”เด็กสาววัยสิบขวบบางคนก็เอียงหัวคิดสงสัย
“เหอะเหอะ หน้าตาก็หล่อขนาดนี้ สมน้ำหน้าเป็นได้แค่ไอ้กระจอกสุดคนหนึ่ง” ในใจของชายขี้เหล่บางคนสบถด่าในใจ
“หืม? ในกลุ่มของฉันมีคนผู้นี้อยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อไร?” หานเฟิงหนึ่งในสองของหัวหน้ากลุ่มทีมสีแดงย่นคิ้วขมวดขึ้น
หลิงฉุนเดินผ่านท่ามกลางสายตาตกตะลึงและแปลกใจของผู้คนไปยังเวทีสูง แล้วหยุดยืนตัวตรงข้างสือเสี่ยวไป๋ถัดออกไปไม่กี่เมตร มุมปากยกยิ้มอย่างข่มขื่น
“เยี่ยมยอด! เยี่ยมยอด! เยี่ยมยอด!”
ซีซือหรี่ตามองหลิงฉุนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลั่นเสียงหัวเราะบ้าคลั่งขึ้นมา นิ้วทั้งห้าเสยสอดเข้าไปในเส้นผมสีแดงเพลิง ร่างกายพลันสั่นเทาขึ้นมา
“จู่ๆ ในความทรงจำของฉันก็ไม่มีข้อมูลอะไรของนายเลย ขนาดฉันยังพลาดการมีอยู่ของนายไปได้ ดูไปแล้วนายชักจะเหมือนกับเจ้าเด็กน่าสนใจคนหนึ่งแล้วล่ะ หน้าตาค่อนจะสมบูรณ์แบบ แต่สัมผัสความมีอยู่กลับเป็นศูนย์ ช่างเป็นความขัดแย้งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องน่าสนใจ ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจโดยแท้!”
สายตาที่ซีซือจ้องมองหลิงฉุนนั้นร้อนระอุอย่างไม่มีที่เปรียบ
“นายรู้จักเด็กคนนั้น!?”
หลิงฉุนเชิดหน้ามองไปยังซีซืออย่างแรง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นหอบเร็ว ม่านตาสีดำอ่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแสงสีแดง ก่อนจะกัดฟันกล่าว “เด็กคนนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
ซีซือผงะเล็กน้อย ก่อนฉุกคิดไตร่ตรองขึ้นมา
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ดูไปแล้วนายกับเด็กคนนั้นคงมาจากสถานที่เดียวกัน ถึงได้มีลักษณะพิเศษเหมือนกันเช่นนี้ เห้อ ฉันมองเห็นความเคียดแค้นในดวงตาของนาย แรงปรารถนาที่คิดจะสังหารเขาของนายนั้นช่างแข็งกล้าและเร่งด่วนถึงเพียงนี้ อ้อ ฉันชอบสายตาของนายนะ นายทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาอันสุขสบายบางช่วงบางตอนขึ้นมา”
ซีซือแสยะยิ้มทีหนึ่ง “โชคชะตาของนายก็ไม่เลว ฉันรู้จักเด็กหนุ่มคนนั้นที่รูปร่างหน้าตาคล้ายนายอย่างกับแกะ อีกทั้งตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันนั้น ฉันเองก็รู้ดีเป็นที่สุด”
หลิงฉุนได้ฟัง ลมหายใจถึงกับชะงัก ดวงตาสีดำอ่อนพลันเกาะกุมไปด้วยสีแดงฉานชั้นหนึ่ง ทว่าคล้ายกับเขานึกอะไรออกบางอย่าง ขอบชั้นสีแดงฉานพลันหุบหายไป ท่าทางแปลกๆ เมื่อครู่กลับพลิกคืนสู่สภาพเดิมในเวลาเพียงครึ่งวินาที ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก จึงค่อยสงบนิ่งลงมาได้
“ขอเพียงนายยอมบอกฉันว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขอะไรฉันจะยอมตกลงทั้งหมด”
หลิงฉุนเงยหน้าขึ้นสบตากับซีซือ คำพูดที่แสนจะราบเรียบกับแฝงไปด้วยอารมณ์ที่ปั่นปวนและความหนักแน่นที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ฉันมองเห็น ‘ความสนุก’ ที่มากพอบนตัวนาย ขอเพียงนายสามารถแสดงคุณค่าของตัวเองในฐานะของเล่นได้อย่างดี ฉันก็จะช่วยสนองความปรารถนาของนายทั้งหมด”
ซีซือแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “พอดีกับที่ฉันคิดเกม’ที่ค่อนข้างยาก’ขึ้นมาได้เกมหนึ่ง หากว่านายสามารถเอาชีวิตรอดได้ในเกมนั้น ฉันก็จะบอกคำตอบที่นายอยากรู้ทั้งหมด รวมถึงข้อมูลทั้งหมดของชายผู้ที่มีสัมผัสการมีอยู่เกือบเป็นศูนย์คนนั้นด้วย”
ผู้คนที่กำลังตั้งใจฟังบทสนทนาในเกมนี้อยู่ต่างพากันตกตะลึงยกใหญ่ที่เขาใช้เกณฑ์ “ชีวิตรอด” มาเป็นเกมของเป้าหมายกวาดล้างงั้นหรือ?
“ไม่ว่าจะเป็นเกมอะไร ฉันก็พร้อมยอมรับ เริ่มตอนนี้เลยก็แล้วกัน!” หลิงฉุนกลับตอบรับโดยไม่ลังเลสักนิด
“ดีมาก ฉันยิ่งรู้สึกชอบนายขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ”
ใบหน้าแสดงออกถึงความพอใจของซีซือพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา เปลี่ยนคำพูดกล่าวว่า “แม้ว่าฉันจะพอใจกับ ‘ความบันเทิง’ ที่นายนำมาอยู่มาก แต่ว่านายจะมีคุณสมบัติเพียงพอต่อการเข้าร่วมเกมของฉันหรือไม่ ฉันเองก็ยังสงสัยอยู่มากเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าความจริงแล้วนายน่ะมันอ่อนแอเกินไป”
ซีซือก้มหน้าดูตำราเล่มเล็กในมือ กล่าวเสียงเบาว่า “เด็กใหม่ที่อ่อนแอที่สุดในรอบนี้ เป็นนายที่สมควรได้รับมันจริง”
“มา บรรดาของเล่นแสนน่ารัก พวกนายจงตั้งใจฟังให้ดีว่าอะไรคือความอ่อนแอที่แท้จริง”
ซีซือพลิกตัวหันหน้าไปยังบรรดาเด็กใหม่ที่นั่งอยู่ แล้วจึงอ่านตัวอักษรตามที่ระบุในตำรานั้นขึ้นมา
“เฉินหลิงฉุน ระดับสติปัญญาคือระดับ F ไร้ซึ่งยีนพลังจิตพิเศษ”
“ระดับการทดสอบความสามารถอยู่ในระดับ F ทั้งยังทำได้เพียงหนึ่งคะแนน”
“ขอบเขตทางพลังจิตอยู่ในขั้นปฐมจิตชั้นหนึ่ง”
“ครอบครองทักษะการต่อสู้: ไม่มี”
“ครอบครองวิชาการป้องกัน: ไม่มี”
“ครอบครองวิชาเคลื่อนไหว: ไม่มี”
“คะแนนประเมิน: สามคะแนน ระดับประเมิน: ระดับ F”
ซีซือประกาศข้อมูลส่วนตัวของหลิงฉุนไปทีละบรรทัด เปิดโปงผลการประเมินคุณสมบัติที่น่าอับอายของเขาอย่างไร้ความเมตตา “ความอ่อนแอ” ของหลิงฉุนถูกเปิดเผยในชั่วขณะ แสดงรายละเอียดทุกเม็ดต่อหน้าฝูงชน
บรรยากาศนิ่งเงียบเหมือนป่าช้าไปเสี้ยววินาที ไม่นานเสียงหัวเราะเย้ยหยันและเสี่ยงโห่ร้องก็เริ่มระเบิดดังขึ้นมาจากที่นั่ง บรรดาสาวๆ เด็กใหม่ที่เดิมทีมองเขาตาเป็นมัน ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“เหอะๆ ช่างเป็นตัวเลขของเศษสวะเสียจริง”
“ถุย บังอาจมาทำให้ใจเหล่าเหนียงหวั่นไหว ไม่คิดเลยว่าจะเป็นแค่เศษสวะ ช่างน่าเสียดายใบหน้าอันหล่อเหลานั้นเหลือเกิน”
“หมีเสี่ยวฉียังแข็งแกร่งกว่าเขาตั้งเยอะ ไม่เพียงจะเป็นเด็กใหม่ที่อ่อนแอที่สุดในรอบนี้ของหน่วย [ผู้ทำลาย] เท่านั้น เชอะ เกรงว่าคงจะเป็นเด็กใหม่ที่อ่อนแอที่สุดของ [ไกอา] ด้วย”
“อ่อนขนาดนี้ เข้ามาใน [ไกอา] ได้ไงอ่ะ หรือว่าจะเป็นพวกเด็กเส้น?”
“เธอดูซิรูปร่างหน้าตานุ่มนวลบอบบางขนาดนั้น น่าจะเป็นเด็กเส้นของตาแก่โรคจิตสักคนในบรรดาชนชั้นสูงละมั้ง?”
“หรือบางทีจะเป็นเด็กในสังกัดของสาวแก่ที่ยืนอยู่เหนือมวลชนพวกนั้นก็เป็นได้”
“...”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันอันทุเรศน่าเกลียดเหล่านั้นยังไม่ได้รับสัญญาณให้หยุดแต่อย่างใด ท่าทางยิ้มอ่อนๆ ของซีซือนั้นคล้ายกับสนับสนุนให้ทุกคนเอ่ยพูดคำเหยีดหยามดูถูกให้มากขึ้นกว่าเดิม เดิมทีเป็นเพียงประโยคขำๆ จากจิตใต้สำนึกเท่านั้น แต่ดูเหมือนบรรดาเด็กใหม่จะรู้ถึงความหมายแฝงในรอยยิ้มของซีซือ วาทะกรรมที่น่าอับอายก็ยิ่งเพิ่มทะลักออกจากปากพวกเขาไม่หยุด ทั้งไอ้ไก่อ่อน ไอ้หน้าอ่อน เด็กเส้นทั้งชื่อเรียกสุดแสนจะทนรับได้แล้วยังมีคำด่าสกปรกหยาบคายต่างๆ นานาอีกนับไม่ถ้วน ชั่วครู่บรรยากาศทั้งห้องเรียนก็จมอยู่ใต้คำด่าทอทำร้ายทางวาจาอย่างสมบูรณ์
ซีซือยิ้มอย่างพึงพอใจ ราวกับได้รับความบันเทิงอย่างที่สุด
หลิงฉุนนิ่งเงียบไร้คำพูด สีหน้าสงบราบเรียบ แต่สองมือที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากลับกำแน่น คลายออก แล้วก็กำแน่นอีก แล้วก็คลายออกอีก...
ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธก็ระเบิดขึ้นดังเปรี้ยงราวกับฟ้าผ่าฟาดลงกลางคลื่นเสียงที่กล่าวประทุษร้ายเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง
“หุบปาก! หุบปาก! หุบปาก! หุบปากทั้งหมดเลย!”
สือเสี่ยวไป๋จ้องเขม็งอย่างโกรธจัด พลางชี้นิ้วสาดทั่วฝูงชนที่นั่งอยู่ กราดเกรี้ยวด้วยคำว่า“หุบปาก”ประดุจเสียงคำรามปะทุออกจากลำคอของเขา ประหนึ่งเปลวไฟที่พ่นออกมา
“หุบปาก! หุบปาก! หุบปาก!...”
เสียงโห่ร้องเอ็ดตะโร่ของฝูงชนไม่ได้หยุดชะงักลงทันที แต่ท่ามกลางเสียงตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งและยึดมั่นเป็นทอดๆ เสียงเหล่านั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเล็กลง เบาลง เปลี่ยนไปจนไม่มีพลังใดๆ หลงเหลือ
และเสียงหัวเราะเหยียดหยามด่าทอเหล่านั้น ในเวลานี้ก็หมดสิ้นซึ่งความ “บันเทิง”และความหมายอย่างสิ้นเชิง
เด็กใหม่ค่อยๆ ปิดปากนิ่งลงไปทีละคนๆ
ครั้นเมื่อเด็กใหม่คนสุดท้ายหยุดเสียงหัวเราะเยาะแล้ว ในห้องก็เหลือเพียงเสียงคำรามของหนุ่มน้อยบอบบางผู้นั้นเสียงของหนุ่มน้อยแหบแห้ง และแตกพร้า ทว่ากลับปลุกเร้าใจคนฟังอย่างมาก
“ในที่สุดก็เงียบได้สักที!”
หลังจากที่สือเสี่ยวไป๋พบว่าในห้องเหลือเพียงเสียงของตัวเองเท่านั้น จึงหยุดเสียงคำรามอย่างพอใจ เขากระแอมไอครั้งหนึ่งคล้ายกับกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง
ทุกคนต่างกลั้นใจเฝ้ารออย่างลืมตัว เจ้าก้อนดินนี้ราวกับคนบ้า ที่ทำให้พวกเขาเงียบลงมา สรุปแล้วเขาอยากจะพูดอะไร?
“ที่จริงแล้วข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก ว่าพวกนายกำลังหัวเราะเยาะเหยียดหยามสิ่งใดกันอยู่?”
สือเสี่ยวไป๋จดจ้องสายตาของทุกคน ก่อนจะกล่าวด้วยสำนวนชอบธรรม“เศษสวะเหรอ? ไก่อ่อนหรอ? ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำนิยามที่ถูกต้องตามแบบฉบับของพวกนาย แต่ในสายตาของข้ามันช่างโง่เง้าสิ้นดี!”
“พวกนายเคยเห็นเศษสวะจริงๆ หรือเปล่า? เคยเจอไก่อ่อนตัวเป็นๆ ไหม? พวกนายเข้าใจว่าอะไรคือคำว่าอ่อนแองั้นเหรอ?”
“ไม่ ที่จริงพวกนายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความอ่อนแอที่แท้จริงคืออะไร!”
ท่าทางเดือดดาลเป็นอย่างยิ่งทำให้ผู้คนต่างอึ้งตะลึงค้าง คำพูดที่เขาพูดมาทั้งหมดพวกเขาก็ยิ่งยากจะเข้าใจ สรุปแล้วเขาอยากจะพูดถึงอะไร?
“ไม่ใช่อยากจะเล่นเกมเหรอ? มาสิ! ข้าจะอยู่เคียงข้าง! ข้าจะสั่งสอนพวกนายให้รู้ว่าอะไรคือความอ่อนแอที่แท้จริง!”
สือเสี่ยวไป๋ยิ้มเย็นชา ก่อนจะยกนิ้วโป้งชี้เข้าหาตัวเอง
“ข้านี่แหละถึงจะเรียกว่าไอไก่อ่อนและเศษสวะที่แท้จริง!”
[1] เหล่าเหนียง แม่ เป็นคำเรียกบุพการีที่ไม่สุภาพนัก ในที่นี้เป็นคำสรรพนามเรียกตัวเองของผู้หญิง