บทที่ 33 คลังสมบัติของเอกเทวคีต (1)
บทที่ 33 คลังสมบัติของเอกเทวคีต (1)
“ฟาร์เลนจงเจริญ! เจ้าปกติดีใช่ไหม” ชูร่าเอื้อมมือไปลูบหน้าผากของเย่อินจู๋ มือของเขาเล็กมาก แต่นิ้วมือกลับเรียวยาวและเย็นเยียบ เมื่อลูบไปบนหน้าผากก็ทำให้เย่อินจู๋รู้สึกสบาย
“เจ้าก็ไม่เชื่อมือข้า? อันที่จริง พวกเรานักเทวคีตไม่กระจอกเลย” อินจู๋กล่าวอย่างจริงจัง “น่าเสียดาย พิณของข้ารวมทั้งแหวนมิติหายไปพร้อมกันระหว่างทาง ไม่อย่างนั้นตอนนี้ข้าคงได้ดีดพิณให้เจ้าฟังสักเพลง”
ดวงตาของชูร่าฉายแววประหลาดใจ ก่อนถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ เอาเถอะ เจ้าหิวแล้วล่ะมั้ง ข้าจะไปทำอาหาร ให้เจ้าลองชิมฝีมือข้าดูซะก่อน จะได้พิสูจน์ว่าสามเหรียญทองของเจ้าไม่เสียเปล่า” เขาพูดพลางวิ่งผลุนผลันออกไป
ชูร่าทำอะไรรวดเร็วจริงๆ เวลาผ่านไปครู่เดียว อาหารกลางวันก็เสร็จเรียบร้อย กับข้าวสองอย่างแล้วก็หมั่นโถว กับข้าวเป็นผักธรรมดา แม้แต่เนื้อสักชิ้นยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ แต่อินจู๋กลับประหลาดใจเมื่อได้รู้ว่าชูร่าฝีมือดีมากจริงๆ ผักธรรมดาพอให้เขาปรุงมาแล้วสีกลิ่นรสกลมกล่อม ตั้งแต่เล็กจนโตเขากินแต่หน่อไม้มาตลอด เดิมทีชอบรสอ่อน ไม่เลือกกินสักนิดเดียว จึงกินอย่างเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ เพียงเท่านี้ ราชาพิณแห่งยุคเย่อินจู๋กับราชารัตติกาลชูร่าก็ได้รับประทานอาหารกลางวันมื้อแรกของพวกเขาร่วมกัน
เย่อินจู๋ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่เอกเทวคีตเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ตอนนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว ทุกคนต่างรับรู้กันถ้วนหน้า เขากลายเป็นคนดังในโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานโดยไม่ตั้งใจ
เช้าวันต่อมา อินจู๋ลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่เช้า ไม่เห็นชูร่าแล้ว บนโต๊ะมีหมั่นโถวหนึ่งลูกกับข้าวต้มหนึ่งชาม เห็นได้ชัดว่าเป็นอาหารเช้าที่เตรียมไว้ให้เขา ถึงอาหารเช้าจะเรียบง่าย แต่กลับทำให้อินจู๋รู้สึกอุ่นใจ ถึงแม้ชูร่าจะเห็นแก่เงินไปหน่อย แต่ไม่ว่าปัดกวาดเช็ดถูหรือทำกับข้าวก็ไปเก่งไปหมดทุกอย่าง เหรียญทองสามเหรียญนี้จ่ายไปอย่างคุ้มค่า
ออกแรงยืดเหยียดร่างกายตัวเองสักเล็กน้อย ก่อนพลังยุทธ์ไผ่จะเริ่มไหลเวียนอย่างช้าๆ ความรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวแผ่ไปทั่วทุกเส้นลมปราณในร่างกาย การฝึกฝนพลังยุทธ์และเข้าฌาณตอนกลางคืนกลายเป็นกิจวัตรของเขามานานแล้ว เย่อินจู๋ลูบข้อมือข้างขวาของตัวเอง ก่อนพึมพำกับตัวเองว่า “ยังดีที่มันไม่หาย”
เมื่อวานหลังจากสนทนากับชูร่า อินจู๋เพิ่งได้รู้ว่าที่จริงแล้วแถบตรงสีแดงขาวบนชุดนักเรียนมีความหมายแฝงอยู่ แถบตรงสีแดงขาวหนึ่งคู่แทนนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง และโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานเป็นหลักสูตรห้าปี แน่นอนว่าต้องสอบผ่านทุกภาคเรียนจึงจะสามารถเลื่อนชั้นได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องอยู่ในชั้นปีเดิมต่อไปเพื่อเริ่มเรียนใหม่อีกครั้ง นักเรียนทุกคนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน อย่างน้อยต้องมีความสามารถระดับเหลืองขั้นสูง
คุณภาพเนื้อผ้าของชุดนักเรียนดีมากทีเดียว อินจู๋ที่สวมชุดนักเรียนให้ความรู้สึกองอาจผ่าเผย โรงเรียนค่อนข้างปล่อยตามอัธยาศัย ตอนที่แจกชุดนักเรียนเมื่อวานนี้อินจู๋ยังได้รับแผนที่โรงเรียนอีกแผ่นหนึ่ง โชคดีที่มีสิ่งนี้อยู่ จึงทำให้เขาหาตำแหน่งที่ตั้งเอกเทวคีตของตัวเองได้อย่างราบรื่น
จากหอพักเขตรวมมาถึงเอกเทวคีต อินจู๋ใช้เวลาวิ่งเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ถือเสียว่าเป็นการออกกำลังกาย
เอกเทวคีตตั้งอยู่ในทำเลดีของโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน อาคารเล็กสีขาวสูงสี่ชั้นตั้งตระหง่านและวิจิตรงดงาม ด้านซ้ายของอาคารเป็นทะเลสาบขนาดเล็กประมาณพันตารางเมตร ทิศอื่นล้อมรอบด้วยพฤกษานานาพันธุ์ มีเพียงทางเดินเล็กๆ หลายสายตัดเข้ามาถึงอาคารหลักจากทิศต่างๆ ด้านหลังอาคารหลักคือหอพักเอกเทวคีต คฤหาสน์น้อยสีขาวแต่ละหลังโดดเด่นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าถ้าอยากอยู่ที่นี่ ค่าหอพักต้องจ่ายแยกต่างหาก ราคาก็แพงลิบลิ่ว
“อินจู๋ ตรงนี้” เชอรีนเกาะอยู่ตรงกระจกชั้นสองพลางมองออกมา จึงเห็นเย่อินจู๋วิ่งมาจากที่ไกลๆ พอดี
อินจู๋รู้จากคำแนะนำของแผนที่ในมือว่าภายในอาคารเล็กสี่ชั้นหลังนี้ ชั้นหนึ่งคือห้องเรียนเวทมนตร์จิตวิญญาณ อีกสามชั้นที่เหลือคือห้องเรียนของนักเรียน
พอเข้ามาในอาคารเรียน ความรู้สึกแรกของอินจู๋ก็คือที่นี่คือวังไม่ใช่โรงเรียน ของประดับตกแต่งอร่ามเรืองรองที่ประดับบนพืชพรรณจำนวนมากไม่แลดูธรรมดาแต่อย่างใด ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน แต่ภายในตึกมีเสียงเครื่องดนตรีบรรเลงลอยแว่วมาตลอดเวลา
“เป็นที่ที่ดีจริงๆ! มิน่าถึงได้แพงขนาดนี้” อินจู๋พูดพึมพำกับตัวเอง
“แพง? ในทวีปใครๆ ก็รู้ว่าค่าเรียนกับคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานราคาสูงพอกัน”
เมื่ออินจู๋หันหลังไป ก็เห็นแต่คุณยายหัวหน้าเอกนีนาคนเมื่อวานที่มาอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“สวัสดีครับ คุณยายนี...เอ้ย ไม่ใช่ หัวหน้าเอกนีนา” เย่อินจู๋ยังคงเข็ดอยู่ ไม่รอให้นีนาฉุนขึ้นมาก็เปลี่ยนคำพูดเสียก่อนแล้ว
นีนาแค่นหัวเราะ “อยู่ในโรงเรียน คราวหลังต้องระวังคำพูดของเจ้า ได้ยินว่าเมื่อวานเจ้ารับคำท้าของนักเรียนใหม่เอกวายุ จะเข้าร่วมศึกประลองนักเรียนใหม่ครั้งนี้รึ?”
อินจู๋พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ามั่นใจหรือ?” นีนาสายตาเป็นประกาย
“ครับ” อินจู๋ตอบสั้นๆ ง่ายๆ แต่กลับทำให้สายตาของนีนาดูประหลาดใจขึ้นมา
“เหรอ? เจ้าเอาอะไรมามั่นใจล่ะ?”
“ข้าเป็นนักเทวคีต ย่อมต้องเป็นเวทมนตร์ดนตรีของตัวเอง” เย่อินจู๋มองนีนาด้วยแววตาแจ่มใส
นีนาก้มหน้าครุ่นคิด “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจงตามข้ามา” เธอพาอินจู๋ขึ้นมาถึงชั้นสอง ห้องเรียนของนักเรียนใหม่ชั้นปีที่หนึ่ง
ห้องเรียนใหญ่มาก สามารถจุนักเรียนได้สี่สิบคน แต่นักเรียนในที่นี้รวมทั้งอินจู๋ มีเพียงแค่สิบสองคนเท่านั้น ตอนนี้คนมากันครบหมดแล้ว แต่ในห้องเรียนกลับดูค่อนข้างจะโล่งว่าง นีนาชี้ให้อินจู๋ไปหาที่นั่ง
นีนายืนอยู่บนแท่นบรรยาย สายตากวาดมองใบหน้าของเหล่านักเรียนใหม่ ภายในห้องเรียนเงียบสงบทันที
นีนากล่าวว่า “ก่อนอื่น ในฐานะหัวหน้าเอกเทวคีต ข้าขอเป็นตัวแทนเอกเทวคีตกล่าวต้อนรับทุกคนที่มาอยู่ ณ ที่นี้ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเลือกเอกเทวคีตด้วยเหตุผลอะไร ในเมื่อมาแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถประสบความสำเร็จในการเรียนนับตั้งแต่นี้ไป การเรียนจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการหลังจากอาทิตย์แรก ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงรู้เหตุผลดี เพราะศึกประลองนักเรียนใหม่ที่มีปีละครั้งของโรงเรียนจะจัดขึ้นอีกสามวันข้างหน้า สาขาวิชาอื่นต่างก็คัดเลือกตัวแทนเข้าร่วมประลองภายในสามวันนี้ ทว่ามีเพียงพวกเราเอกเทวคีตที่เป็นข้อยกเว้น แต่ขณะที่นักเรียนเย่อินจู๋ลงทะเบียนรายงานตัวเมื่อวานนี้ ได้ประกาศเข้าร่วมประลองแทนพวกเราเอกเทวคีต ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่า ใครยินดีเข้าร่วมประลองกับเขาบ้าง ถ้ามีไม่ครบห้าคน เอกเทวคีตจะไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติเข้าร่วมประลอง”
“หัวหน้าเอกนีนา ข้ายินดีค่ะ” เชอรีนยกมือขึ้นเป็นคนแรก แลนซีก็แสดงตัวเข้าร่วมตามมาติดๆ
ใบหน้าแก่ชราของนีนาเผยให้เห็นรอยยิ้ม “ดี ยังขาดอีกสองคน”
“หัวหน้าเอกนีนา เมื่อวานรุ่นพี่ไห่หยางบอกว่าจะพาพวกเราลงแข่ง ขาดตัวแทนอีกแค่คนเดียวค่ะ”
นีนามองเชอรีนอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “ไห่หยางจะลงแข่งด้วย? เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ยังขาดอีกหนึ่งคน”
คราวนี้ทั้งห้องเรียนก็เงียบกริบขึ้นมา นีนาเห็นว่าไม่มีใครจึงค่อยเอ่ยปาก กล่าวเสียงเรียบว่า “เอกเทวคีตของเรา เป็นเอกอันดับหนึ่งของโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานมาโดยตลอด แต่เบื้องหลังชื่อเสียงของเอกอันดับหนึ่ง ไม่รู้มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่พูดว่าพวกเราคือนักเทวคีตกระจอก ในเมื่อครั้งนี้นักเรียนเย่อินจู๋เสนอว่าจะเข้าร่วมศึกประลองนักเรียนใหม่ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะปกป้องเกียรติยศของเอกเทวคีต นักเรียนที่เข้าร่วมประลองทุกคน ข้าขอเป็นตัวแทนเอกเทวคีตมอบเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้นและเงินจำนวนสามร้อยเหรียญทอง”
……………………………………….