บทที่ 31 ความเดียวดายของยอดฝีมือใครเล่าจะเข้าใจ?
บทที่ 31 ความเดียวดายของยอดฝีมือใครเล่าจะเข้าใจ?
หากกล่าวว่าเถี่ยซินหยวนกำลังเดินหมาก ไม่สู้กล่าวว่ากำลังโกยเงิน
เขาคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าวันนี้กิจการจะต้องคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์จึงอดหลับอดนอนทำกระดานหมากขึ้นมาห้าชุด บนกระดานหมากแต่ละกระดานล้วนวางกลหมากปริศนาแบบฉบับอย่างขุนรอเบี้ยคอย
จนถึงตอนนี้ เถี่ยซินหยวนยังไม่คิดนำวางกลหมากปริศนาออกมาวาง เขาพบว่านี่จะเป็นการเปิดกิจการในระยะยาว ขอเพียงตั้งธงเก่าๆ ผืนนั้น ก็จะมีพวกโง่งมในสำนักไท่เสวียเดินหน้ามาท้าประชันไม่ขาดสาย ต้องเก็บไม้เด็ดสำรองเอาไว้บ้างถึงจะดี
“เป็นไปไม่ได้!”
หลังจากบัณฑิตสำนักไท่เสวียคนหนึ่งวางหมากตัวสุดท้ายที่สามารถใช้งานได้ลงไป ก็ดึงทึ้งเส้นผมแล้วคำรามใส่เถี่ยซินหยวนอย่างเกรี้ยวกราด
“ขอบคุณ ห้าร้อยอีแปะ!”
สุ่ยจูเอ๋อร์รีบถือกล่องไม้มายืนตรงหน้าบัณฑิตคนนั้นในทันที ท่าทางของเด็กน้อยดูขลาดกลัวน่าสงสาร ขอเพียงบัณฑิตผู้พ่ายแพ้บิดพลิ้วไม่ยอมจ่ายเงิน ก็เตรียมพร้อมแหกปากร้องไห้
สิ่งที่ทำให้เขาชื่นชอบบัณฑิตเหล่านี้นักก็คือ นอกจากเหรียญทองแดงเริ่มมีคนควักเงินก้อนออกมาจ่ายหนี้กันแล้ว ต่อให้ไม่ยินยอมสักเท่าใด บัณฑิตไท่เสวียคนนั้นก็ยังล้วงเงินก้อนหนึ่งออกมาแล้วโยนลงไปในกล่องไม้ เวลานี้เงินในกล่องไม้สูงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งแล้ว
“ถ้าหากยังต้องการไขปริศนาให้กระจ่าง มาประชันอีกสักรอบจะเป็นไร ท่านต้องเข้าใจจนได้แน่นอน”
บัณฑิตที่ยืนตรงข้ามกระดานหมากมีสีหน้าประเดี๋ยวเขียวคล้ำประเดี๋ยวขาวซีด สุดท้ายเขาตัดสินใจหันกายเดินจากไป แม้มีฐานะเป็นบัณฑิตสำนักไท่เสวีย เขาก็ไม่มีเงินเหลือมากพอจะป้อนเข้าปากสุนัขหรอก
โอวหยางซิวเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ไกลๆ จนกระทั่งเสียงระฆังในสำนักดังขึ้น ถึงได้เอ่ยปากกับหวังก่งเฉินว่า “บัณฑิตพวกนั้นโดนอาจารย์[1]เรียกไปแล้ว ตอนนี้ถึงคราวพวกเราออกโรงเสียที”
หัวคิ้วหวังก่งเฉินขมวดจนกลายเป็นปมแน่น เขากัดริมฝีปากของตนแล้วเอ่ยว่า “ไม่ถูกแล้ว นี่มันอะไรกัน ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ”
“ศิษย์สำนักไท่เสวียล้วนเป็นปัญญาชนระดับแนวหน้าของต้าซ่ง ท่านกับข้าต่างเดินออกมาจากสำนักไท่เสวีย คนพวกนั้นมีสติปัญญาระดับไหนพวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจ
แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้กลับข่มขวัญบัณฑิตไท่เสวียจนปัสสาวะราดผายลมหดหาย[2]เจ้าเด็กนี่ไม่ได้มีฝีมือเชิงหมากสูงส่งถึงขั้นบดขยี้คู่ต่อสู้ได้ทุกรายหรอก ข้าเชื่อว่าต้องมีกลอุบายแอบแฝงอยู่
พี่ชายทั้งสาม น้องเล็กขออนุญาตไปสืบหาสาเหตุดูสักหน่อย พวกท่านช่วยสังเกตการณ์ศัตรูระวังแนวป้องกันให้ข้าชั่วครู่เป็นอย่างไร? เมื่อข้าไม่อาจรับมือได้ พี่ชายทุกท่านค่อยออกหน้า ข้าทนเห็นเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดีใจจนเหลิงไม่ได้จริงๆ”
เมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาหาแต่ไกล เถี่ยซินหยวนจึงหยุดนับเงินทันที แล้วรีบนำเงินที่เหลือทั้งหมดมอบให้กับคนกลางที่อยู่ข้างกาย เมื่อวานนี้เขาปรึกษากับเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์แล้วว่า จะต้องซื้อเครื่องไม้เครื่องมือจำเป็นบางอย่าง ถึงจะสามารถกอบโกยเงินทองได้มากมายพอเลี้ยงดูเด็กๆ ทั้งแปดคน
ชายคนกลางที่สวมรองเท้าลวดลายสีดำสลับขาวเห็นหวังก่งเฉินเดินมาทางนี้ จึงรีบบอกกับเถี่ยซินหยวนว่า “คุณชายมุ่งมั่นกับการหาเงินไปเถิด ข้าจะอยู่ตรงนี้ช่วยท่านสอดส่องเอง วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าพวกสุนัขต่ำช้าจากกลุ่มขอทานไม่กล้าละโมบอยากได้เงินก้อนนี้แน่”
เถี่ยซินหยวนยิ้มแย้มพลางกล่าวขอบคุณชายที่เป็นคนกลาง เขานั่งลงหน้ากระดานหมากอีกครั้งเพื่อรอหวังก่งเฉินเดินมาหา
หลังจากหวังก่งเฉินเดินเข้ามา ผู้คนมากมายที่รู้จักท่านจอหงวนแห่งต้าซ่งต่างสูดหายใจด้วยความตกตะลึงกันถ้วนหน้า ไม่ว่าใครก็ไม่คาดคิดว่าแม้กระทั่งท่านจอหงวนหนุ่ม ก็รู้สึกสนใจกระดานหมากของเด็กตัวเล็กๆ เช่นนี้ด้วย
ถังถังย่อมรู้จักหวังก่งเฉินแน่นอน นางเขย่าแขนของหญิงสาวข้างกายอย่างแรง หญิงผู้นั้นเอ่ยปากอย่างหงุดหงิดว่า “เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าข้าพูดมาก ตอนนี้จะพูดอะไรกับข้าอีกเล่า?”
“หวังก่งเฉินเชียวนะ”
“ข้าเห็นแล้ว!”
“โธ่ ท่านจอหงวน.. ถ้าหากไม่ใช่เพราะบ่าวสุนัขที่บ้านข้าทำตัวไม่ได้ความ ป่านนี้เขาก็เป็นพี่เขยใหญ่ของข้าแล้ว”
“เชอะ ดูรายชื่อจับลูกเขย[3]ก็มีแค่บ้านของเจ้าที่กล้าทำลงไปได้”
“โอวหยางซิวไม่ใช่ว่าโดนอาจารย์หลอกเข้าบ้านจับกรอกสุรา จากนั้นผลักบุตรสาวของเขาเองเข้าห้องนอนของผู้อื่น จนกลายเป็นเรื่องดีงามขึ้นมาหรอกหรือ?”
“หึ! เป็นเด็กผู้หญิงแท้ๆ กล้าพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ไม่อายปากเสียบ้าง อย่าพูดจาให้มากความอีกเลย มาดูกันว่าญาติผู้น้องข้าจะรับมือหวังก่งเฉินอย่างไร!”
ดวงตากลมโตของถังถังเหลือกมองบนใส่หญิงสาวข้างกายด้วยความเบื่อหน่าย แต่นางก็หันมองเถี่ยซินหยวนด้วยความตื่นตระหนกพลางเอ่ยปากพึมพำไม่หยุด หรือว่าเรื่องที่ท่านปู่บอกจะเป็นเรื่องจริง?
หวังก่งเฉินเลิกชายเสื้อคลุมตัวนอกของตนเล็กน้อย จากนั้นจึงนั่งลงตรงหน้าเถี่ยซินหยวนอย่างสง่างามหาใดเปรียบ “ไม่ยอมให้ข้าถือหมากแดง เจ้าถือหมากดำหรือ?”
เถี่ยซินหยวนหมุนกระดานหมากรอบหนึ่ง ขยับขุนของหมากดำไปทางฝั่งหวังก่งเฉิน ก่อนจะประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “เสมอกัน! เงินหนึ่งพวง!”
หวังก่งเฉินขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้ากับแขกสลับฝั่งความยากทวีคูณ เพิ่มเงินอีกห้าร้อยอีแปะก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่ ถ้าหากเจ้าแพ้ก็จ่ายให้ข้าหนึ่งพวงใช่ไหม?”
“ห้าร้อยอีแปะ!”
“เหตุใดกัน? วางเงินเดิมพันเช่นนี้ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”
“ปีนี้ข้าอายุเจ็ดขวบ!”
หวังก่งเฉินสังเกตสีหน้าเถี่ยซินหยวนอย่างจริงจังรอบหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เจ้าดูโตกว่าเด็กอายุเจ็ดขวบทั่วๆ ไปอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเจ้าเจ็ดขวบชั่วคราวสินะ”
ระหว่างที่หวังก่งเฉินเอ่ยวาจา มือก็เลื่อนไปขยับรถศึกกลับมาเป็นอันดับแรก
เถี่ยซินหยวนกดกระดานหมากเอาไว้แล้วเอ่ยย้ำว่า “หมากดำชนะหมากแดงแพ้ จ่ายสองพวง!”
หวังก่งเฉินควักถุงเงินออกมาวางข้างกระดานหมากแล้วตอบว่า “คำไหนคำนั้น!”
ในใจของเถี่ยซินหยวนราวกับมีดอกไม้ผลิบาน อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าหวังก่งเฉินไม่บีบคั้นหมากดำไปทีละก้าวเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ แต่อีกฝ่ายกลับเดินหมากคอยตัวหนึ่ง สำหรับกลหมากปริศนาความเป็นความตายวัดกันเพียงก้าวเดียว เวลานี้หมากแดงทิ้งความเป็นไปได้ครั้งสุดท้ายที่จะทำให้ผลกระดานเสมอกันแล้ว ขอเพียงหมากดำขยับองครักษ์ถอยมาก้าวหนึ่งก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีก และท้ายที่สุดหมากดำที่ครองความได้เปรียบโดยสิ้นเชิงนำหมากมากองรวมกันก็สามารถจัดการหนึ่งปืนใหญ่หนึ่งม้าของหมากแดงจนตายได้
ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ เดินเพียงสิบเอ็ดก้าว หวังก่งเฉินก็แพ้เสียแล้ว เขาเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ หลังจากวางถุงเงินเอาไว้ก็หันกายเดินกลับไปที่เพิงน้ำชาที่พวกโอวหยางซิวนั่งอยู่
พี่เหมยรีบเอ่ยถาม “เป็นอย่างไร?”
หวังก่งเฉินหัวเราะแล้วตอบว่า “แพ้แล้ว แต่ข้าก็พบว่าหมากกระดานนี้มีพิรุธอย่างที่คิดไว้ เมื่อครู่ข้าจงใจเลือกหมากแดง อีกทั้งยังเดินหมากคอยก้าวหนึ่ง แต่แล้วทางหมากที่เดินเพียงหกก้าวก็จะรุกฆาตหมากแดง เขากลับเดินถึงสิบเอ็ดก้าว”
โอวหยางซิวเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “หรือว่าทางหมากที่โจมตีอย่างดุเดือดนั่นเป็นเรื่องหลอกลวง? ทางหมากที่เดินเพียงหกก้าวก็จะรุกฆาตคู่ต่อสู้ได้ เขากลับใช้ไปสิบเอ็ดก้าว นี่มิใช่ชี้ชัดว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงตัวโง่งมในเชิงหมากหรอกรึ?”
หวังก่งเฉินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “โง่งมที่สุด!”
เหมยเหยาเฉินเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อหยั่งเชิงความสามารถที่แท้จริงของเจ้าหนูนี่ได้แล้ว รออีกครู่เดียวข้าจะไปจัดการเขาอย่างสบายๆ ให้ดู”
ขณะที่เอ่ยปากเขาไม่รอให้หวังก่งเฉินโต้ตอบ ก็เดินก้าวยาวๆ มาตรงหน้าเถี่ยซินหยวน วางเงินทิ้งไว้ตรงมุมหนึ่ง จากนั้นรอให้เถี่ยซินหยวนเริ่มเดินหมาก
ปืนใหญ่ตัวหลังเดินข้างไปเส้นที่สี่เป็นทางหมากอย่างเดิม
เหมยเหยาเฉินพบว่าทางฝั่งตนนอกจากขยับรถศึกกลับมาแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นเขาจำต้องถอยรถศึกกลับมาอย่างช่วยไม่ได้...
เมื่อหมากดำของเหมยเหยาเฉินเปลี่ยนกลับมาเหลือเพียงสามเบี้ย รวมถึงหนึ่งขุนหนึ่งองครักษ์อีกครั้ง ทางฝั่งหมากแดงยังเหลือหนึ่งขุนหนึ่งช้าง หมากกระดานนี้จึงออกมาเสมอกันเป็นที่แน่นอนแล้ว...
“ออมมือแล้ว จริงๆ นะขอรับ!” เถี่ยซินหยวนรวบเงินของเหมยเหยาเฉินมาอย่างเกรงอกเกรงใจ จากนั้นยังประจบสอพลออีกฝ่ายอย่างมีมารยาทยิ่งนัก ด้วยความหวังว่าผู้ใหญ่เช่นเขาจะเดินหมากกับตัวเองต่อไป เพราะเครื่องมือที่เจ้าหนูเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ต้องการราคาแพงจะตายชัก
เมื่อเหมยเหยาเฉินเดินกลับมาที่เพิงน้ำชา เขาเหลือบมองหวังก่งเฉินก่อนจะเอ่ยว่า “ยังโจมตีเฉียบคมเช่นเดิม ข้าไม่มีโอกาสพักหายใจเลยสักนิด”
อิ่นจูหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ฟ้าบันดาล ดินเป็นใจ คนประสาน[4] ท่านไม่มีเลยสักอย่าง จะเอาชนะเขาได้อย่างไร? ทางหมากแต่ละก้าวของท่านล้วนอยู่ในความคาดหมายของเขาหมดแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวที่มีมากกว่าเขาคือตัวหมากที่ดูผิวเผินเหมือนใช้งานได้ แต่ความจริงกลับไร้ประโยชน์จำนวนหนึ่ง เจ้าหนูนั่นไม่จำเป็นต้องใช้ฝีมือเดินหมากสูงส่งอะไรตั้งแต่แรก ขอเพียงรู้ว่าหมากของเขาควรจะวางตรงนั้นก็พอแล้ว”
โอวหยางซิวขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ กฎเกณฑ์เขาก็เป็นคนตั้ง ผู้ถือหมากแดงเดินก่อนเป็นการชิงความได้เปรียบ ต่อมาจึงไล่สังหารไปทีละก้าว บีบคั้นรุกไล่ต้อนตัวขุน พวกเราไม่เหลือพื้นที่ให้ใคร่ครวญหาทางรอด ถ้าหากไม่แพ้สิ ถึงจะเป็นเรื่องแปลก”
หวังก่งเฉินชี้ไปที่เถี่ยซินหยวนแล้วเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “มารดามันเถอะ เจ้าเด็กนี่เป็นนักต้มตุ๋นชัดๆ!”
เหมยเหยาเฉินหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวว่า “เด็กนั่นไม่นับว่าเป็นนักต้มตุ๋นหรอก เวลาเดินหมากเขาก็เดินหมากอยู่จริง อีกทั้งเอาชนะเจ้าได้ตามกฎเกณฑ์ อย่างน้อยก็ไม่เดินหมากสะเปะสะปะเอาตัวรอด เจ้าจะกล่าวหาว่าเขาเป็นนักต้มตุ๋นได้อย่างไร?”
โอวหยางซิวปรายตามองเถี่ยซินหยวนแล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้าเด็กคนนี้น่ารังเกียจนัก หลอกล่อให้พวกเราติดกับทั้งสองทาง รุกก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ดี...”
ถังถังชะเง้อคอเสียจนยืดยาว ก็เห็นหวังก่งเฉินประสานมือยอมแพ้เดินจากไป เพียงไม่นานก็มีชายอีกคนหนึ่งที่อาวุโสกว่าหวังก่งเฉินก็ยอมแพ้เดินจากไปเช่นกัน นางก็เขย่าแขนของหญิงสาวข้างกายอย่างแรงอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนเจ้าคนลามกนั่นจะชนะแล้ว”
หญิงสาวคนดังกล่าวแลดูสับสนเล็กน้อย แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้ารับ “เขาเก็บเงินไปแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมชนะ”
“เขาจะชนะหวังก่งเฉินได้อย่างไรกัน? ท่านปู่บอกว่าคนคนนี้เป็นถึงอัจฉริยะในหมู่บัณฑิตต้าซ่งเชียวนะ”
“คนที่คลุมร่างด้วยเสื้อของโอวหยางซิวถึงได้มีชื่อบนแผ่นทองคำ จะว่าอย่างไรก็คงมีเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย”
“นั่นเป็นเรื่องล้อเล่น โอวหยางซิวยังไม่ถือสา ท่านจะโกรธเคืองไปทำไม?”
“แม้กระทั่งญาติผู้น้องอายุเจ็ดขวบของข้ายังรับมือไม่ได้ จะนับว่าเป็นยอดคนได้หรือ?”
เถี่ยซินหยวนไม่ได้มีเวลาสนทนาเรื่อยเปื่อยเหมือนอย่างพวกแม่หนูถังถังแน่ กว่าเขากับคนกลางจะนับเงินกันเรียบร้อยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเขานัดหมายกันเสร็จสรรพว่าจะให้ส่งไปที่ไหน จากนั้นก็คาดหวังอย่างยิ่งว่าพวกโอวหยางซิวจะเข้ามาเล่นอีก แต่ว่ารออยู่นานก็ยังไม่มีใครเดินเข้ามา จึงอดรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้
และในเวลานี้เองประตูใหญ่ของสำนักไท่เสวียเปิดออกมาแล้ว มีคนกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากตรงกลาง หนังตาของเถี่ยซินหยวนกระตุกอยู่สองครั้ง เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยกับสุ่ยจูเอ๋อร์ว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
เมื่อกล่าวจบแม้แต่กระดานหมากบนพื้นดินก็ไม่เก็บขึ้นมา เด็กชายรีบพาเจ้าจิ้งจอกจากไปโดยพลัน
เขาเดินจากมาอย่างสง่าผ่าเผย เพราะเรื่องราวหลังจากนี้เขาไม่อาจควบคุมได้อีกแล้ว ชายสูงวัยหลายคนที่เดินนำหน้ามาเห็นได้ชัดว่ามีสง่าราศีอย่างคนเป็นขุนนางเก่าแก่ ไม่ใช่ขุนนางที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งหมาดๆ อย่างพวกโอวหยางซิว และยิ่งไม่ใช่พวกบัณฑิตในสำนักไท่เสวียที่เขาจะลบหลู่อย่างไรก็ได้
ถ้าเกิดล่วงเกินพวกเขาเข้าแล้ว นับจากวันนี้ไปก็เลิกคิดจะหาอาจารย์สอนหนังสือได้เลย
เมื่อต้องตัดใจทิ้งกิจการกอบโกยเงินทองไป ทำให้เถี่ยซินหยวนไม่รู้สึกยินดีขึ้นมาเลยสักนิด
ผู้อาวุโสหลายท่านที่เดินออกมาจากสำนักไท่เสวียไม่สนใจเถี่ยซินหยวนที่เดินจากไป แต่พวกเขามายืนอยู่ตรงหน้าธงเก่าๆ แล้วพินิจพิเคราะห์กระดานหมากอย่างละเอียดรอบหนึ่ง มีถึงสองท่านที่ลองประชันฝีมือบนกระดานนี้
หนึ่งในนั้นเป็นชายชราเคราสีขาวโพลนผู้หนึ่ง เขาเหลือบมองข้อความที่เขียนไว้บนผืนธง ‘พวกบัณฑิตโง่งม ใครจะกล้าประชันกับข้า!’ ก่อนจะหันกลับไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วกล่าวกับบัณฑิตสำนักไท่เสวียด้านหลังตนว่า “เป็นตัวโง่งมฝูงหนึ่งจริงๆ เสียด้วย การเดินหมากที่อย่างไรก็แพ้ ยังดาหน้ากันเข้าไปหว่านเงินอย่างไม่ขาดสาย ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”
----------------------------
[1] อาจารย์ ในที่นี้ใช้คำว่าซานจ่าง(山长)เป็นคำเรียกอาจารย์ที่สอนหนังสือ(บรรยาย)ในสำนักศึกษาสมัยโบราณหรือซูย่วน(书院)
[2] ปัสสาวะราด ผายลมหดหาย(屁滚尿流)หมายถึง น่าตระหนกตกใจ สภาพย่ำแย่จนดูไม่ได้
[3] ดูรายชื่อจับลูกเขย(榜下捉婿)เป็นวัฒนธรรมการแต่งงานอย่างหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ่ง ในวันที่ประกาศรายชื่อผลการสอบคัดเลือกขุนนาง ครอบครัวผู้ดีมีอันจะกินจะออกมาเลือกเฟ้นบัณฑิตที่สอบได้ไปเป็นบุตรเขยของตน
[4] ฟ้าบันดาล ดินเป็นใจ คนประสาน(天时地利人和)หมายถึง ครองความได้เปรียบทุกด้าน มีทั้งโอกาสดีงาม ชัยภูมิเหมาะสม และผู้คนสามัคคีกลมเกลียว