ตอนที่ 49: เผ่าพันธุ์ดิงกี้บ็อกกี้
ตอนที่ 49: เผ่าพันธุ์ดิงกี้บ็อกกี้
ภายใต้ฤทธิ์ยาสลบที่ยังไม่สร่างดี เฮเซคียาห์รับรู้สภาพรอบตัวอย่างเบลอๆ พยายามเพ่งมองรอบตัวก็ได้แต่ภาพเบลอๆ หมุนไปและหมุนมา อย่างไรก็ตาม ด้วยสติที่เลือนรางของเขา เขายังรับรู้ได้ว่าถูกคนไม่รู้จักแบกไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อแต่เขาไม่คุ้นชื่อ ส่วนพริเซล่าตามเขามาด้วย เสียงของเธอแว่วเข้าหูเป็นระยะ แต่เขาจับไม่ได้ว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่
“ให้ยาสลบเพิ่มเข้าไปอีก” เสียงหนึ่งเริ่มชัดขึ้นจนฟังรู้เรื่อง เป็นเสียงของผู้ชาย
“อย่า” เขาต้องการปฏิเสธ แต่เสียงที่เปล่งออกมาจากคอฟังเหมือนเสียงอ้อแอ้ของทารกหรือคนเมามายไม่ได้สติ
“คนเดียว ต้องใช้ยาแรงเป็นสิบเท่าของมนุษย์ทั่วไป สมแล้วที่เป็นชาวมัสติน” เสียงของชายอีกคนดังแว่วเข้ามาในหู ก่อนที่เฮเซคียาห์จะเจ็บหนึบจิ๊ดหนึ่งบนแขนของเขา
เขาไม่เข้าใจ คนที่จับเขามาทำได้อย่างไร เคลื่อนที่แผ่วเบารอบคอบจนเขาไม่รู้สึกถึงการมาถึงตัว
หรือว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ทั้งมนุษย์และมัสติน?
เฮเซคียาห์คิดไตร่ตรองถึงเหตุผลดีๆ ที่เขาจะถูกจับมาตามที่บรอธว่าไม่ออกเลย เขาคิดแต่เหตุผลร้ายๆ แต่ใช้สมองได้ไม่นาน เขาวูบหลับไปอีกหน ระหว่างนั้นเวลาเดินผ่านไปอย่างไม่หยุดรอเขาตื่น และเมื่อเขาตื่นขึ้นมาจริงๆ ก็ยากจะบอกกับตัวเองว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
เขาลืมตาขึ้น พลางไอออกมาเพราะความกระหายน้ำ พยายามจะลุกขึ้นนั่ง
“พี่คีห์ ในที่สุดก็ตื่นเสียที ทุกคนกำลังกังวลอยู่เลยว่าให้ยากับพี่เยอะเกินไปจนพี่จะนอนหลับไปเป็นสัปดาห์หรือเปล่า” พริเซล่าช่วยประคองเขาให้นั่ง เขาไออย่างแรงหลายที
“ตกลงใครกัน ใครกันที่มันยิงลูกดอกใส่พวกเรา” เขาหันรีหันขวาง
ทิวทัศน์รอบตาแปลกไปจากที่เคย ทำให้เขางงงวย ตอนนี้เขากับพริเซล่ากำลังนั่งอยู่บนส่วนเกสรนุ่มๆ ของดอกไม้ขนาดใหญ่ซึ่งกำลังบานออกเต็มที่ ส่วนเกสรซึ่งกำลังนั่งทับอยู่เป็นสีเหลือง ส่วนกลีบดอกไม้เป็นสีแดงลายจุดสีขาว ทั้งหกกลีบกางออกไปรอบด้าน และเหนือฟ้าขึ้นไป ใบหนาของต้นไม้สูงใหญ่กำลังบังแดดให้ร่มเงาอยู่ และในอากาศรอบๆ ตัว ผงสีฟ้าละเอียดลอยฟุ้งอยู่ทั่ว ส่องประกายระยิบระยับ
“นี่มันมีพิษหรือเปล่า” อดีตเจ้าชายไหวตัว ยกมือขึ้นปิดจมูก
พริเซล่าหัวเราะเสียงใส
“ถ้ามันมีพิษ น้องน่าจะตายไปแล้วหลายรอบ” เธอขยับเข้ามากอดแน่น หอมเขาที่เรือนผมอย่างรักใคร่สุดใจ แล้วดึงเอามือของเขาออกจากการปิดจมูก"
“ที่นี่มันที่ไหน แล้วใครกันจับพวกเรามา”
“พวกดิงกี้บ็อกกี้มาตั้งแคมป์ที่นี่ พวกเขาอยากเชิญเรามาเป็นแขก เพราะมีเรื่องอยากขอให้ช่วย”
“เชิญมาเป็นแขก ใครที่ไหนเชิญแขกด้วยการปล่อยลูกดอกใส่แขกจนสลบไปแบบนี้” เฮเซคียาห์หงุดหงิดและเผลอเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็ต้องครางอู้ยออกมาเพราะปวดศีรษะเข้าจี๊ดใหญ่ “แล้วนี่พี่หลับไปนานแค่ไหนแล้ว เธอไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”
“สามวันแน่ะ! แต่แค่พี่นะที่ถูกยิงลูกดอกใส่ น้องถูกเชิญมาดีๆ” พริเซล่าหัวเราะคิกคัก
“ทำไมยังอารมณ์ดีได้ พี่โดนปาลูกดอกใส่นะพริเซล่า!”
“ก็แหม... สามวันนี้น้องได้กอดท่านพี่เต็มอิ่มเลย ได้ลูบคลำเต็มที่ น้องละพอใจมาก” พริเซล่าก็ยังหัวเราะออกมาได้อีก ชวนให้เฮเซคียาห์สงสัยว่าเธอรับประทานเห็ดเมาที่ทำให้หัวเราะได้ไม่หยุดเข้าไปด้วยหรือเปล่า
เขามองพริเซล่าอีกครั้งอย่างเต็มตาและสำรวจให้ถ้วนถี่ พบว่าเธอเปลี่ยนไปใส่กางเกงแนบเนื้อทะมัดทะแมงสีเขียวเข้ม ส่วนท่อนบนทั้งตัวเสื้อชิ้นในและเสื้อชั้นนอกเป็นสีเขียวอ่อน ตัวเสื้อโคร่งเล็กน้อยเมื่อมาสวมอยู่บนร่างเล็กสะโอดสะองของอดีตเจ้าหญิง แต่ก็คงทำให้สวมใส่สบาย และจะว่าไปแล้ว พริเซล่าสวมเสื้อหลวมๆ ก็ดูสวยงามไปอีกแบบ พร้อมกันนี้ในส่วนของปกเสื้อของเธอ มันตั้งขึ้น และมีปกชั้นในตัดเย็บเป็นสีแดงเข้มอยู่อีก มือสองข้างของเธอสวมถุงมือที่ยาวมาคลุมเกือบถึงข้อศอก
เขาก้มลงมามองตัวเอง แม้ว่าเขาจะยังใส่ชุดหนังตัวเก่งไว้ด้านใน แต่ด้านนอกสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับพริเซล่า
“ชอบไหมคะ เขาให้ชุดพวกนี้กับเรา มันตัดเย็บอย่างดีจากหนังของกรีนแร็บบี้เลยนะ” พริเซล่าหมายถึงสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์มาจากกระต่าย พบได้เฉพาะในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ขนของมันเป็นสีเขียวโทนต่างๆ ทั้งเข้มและอ่อนโดยธรรมชาติ เป็นสัตว์ที่ล่าจับได้ยาก หนังของมันมีราคาแพง
“บรอธ...” เฮเซคียาห์เรียกหาเศวตศาสตราของเขาเป็นลำดับต่อไป หลังจากแน่ใจแล้วว่าน้องสาวปลอดภัยดี
เสื้อของน้องสาวเขามีความเคลื่อนไหว และบรอธค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากทางด้านในอกเสื้อ
“พริส...!!!”
“คะ?”
“มันไปทำอะไรในนั้น” เขาพยายามระงับโทสะ
มันแค่เศวตศาสตราใช่ไหม อ้อ! ใช่! มันเคยบอกว่ามันจัดตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตเทียม ซึ่งนั่นจะตีความได้หรือเปล่าว่ามันสามารถคิดอกุศลกับน้องสาวของเขาได้
“เห็นบอกว่าชอบอยู่ในที่อุ่นๆ นี่นา ถ้าอยู่ในที่อุ่นๆ แล้ว เห็นว่าจะทำงานได้ดีขึ้น” พริเซล่ายิ้มจนตาหยี มือลูบคลำบรอธที่วางตัวนิ่งอยู่บนตักของเธอ ประกายไฟฟ้าเห็นได้แว๊บ แต่พริเซล่าไม่รู้สึกแย่หรอก เธอคงแค่จักจี้ “ที่นี่มีอุณหภูมิอยู่ที่ 3-5 องศาตลอดปี ไม่ได้เย็นอะไร แต่ก็คงมีผลกับบรอธบ้างใช่ไหมละ”
“ใช่เสียที่ไหน เธอถูกมันหลอกแล้ว” เฮเซคียาห์จับบรอธไปไว้ในมือ จ้องมองมันอย่างกินเลือดกินเนื้อ “ก็ไม่เคยได้ยินหรอกนะว่าเศวตศาสตราลามกได้ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าเป็นบรอธ”
“รายงาน: เป็นความสัตย์จริง อุณหภูมิที่อุ่นขึ้นมีผลดีต่อการทำงาน”
“จะให้ฉันเชื่อแกเหรอ?” เขาหรี่ตาลงด้วยความไม่สบอารมณ์ มือบีบมันแน่นขึ้นจนบรอธเกิดรอยร้าว บรอธส่งเสียงประท้วงให้เขาปล่อยมันไป และเตือนเขาด้วย ถ้ามันเสียหาย เขาจะเจ็บปวดทางกายภาพไปพร้อมกัน “นั่นฟังดูเหมือนเป็นคำขู่เลย”
เฮเซคียาห์บีบบรอธแรงขึ้นอีก มุมกล่องด้านหนึ่งถึงกับปริแยก และเขาก็รับรู้ความเจ็บจี๊ดในสมองที่เพิ่มมากขึ้น
แต่เจ็บแค่นี้ เขาทนได้
“พี่ปล่อยเถอะนะ อย่าโมโหนักเลย บรอธก็แค่กล่องเอง” พริเซล่าจับมือของเขาไว้ แล้วก็ค่อยๆ แกะนิ้วออกไปทีละนิ้ว แล้วดึงเอาบรอธไปถือเอาไว้ซะเองอย่างดื้อดึง “กล่องสวยๆ น่ารักๆ น้องว่านะ มันไม่ได้เสียหายนักหรอก หากว่าบรอธจะทะลึ่งจริงๆ”
“ไม่เอานะพริส” เฮเซคียาห์ไม่เห็นด้วย
แต่พริเซล่าจับมันหย่อนกลับเข้าไปในเสื้อ
“บอกตรงๆ น้องรู้สึกเหมือนมีอะไรมานวดเลยแหละ แรงไฟฟ้ากำลังดี” พริเซล่าเอนกายลงนอนตะแคง หลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข
“เอ่อ...” เฮเซคียาห์ไปไม่ถูก อยากค้านน้องสาว แต่ท่าทีสบายตัวของเธอ ทำให้เขาจนคำพูด
“อ้อ!” พริเซล่าผุดลุกขึ้นมานั่งอย่างนึกขึ้นได้ “นี่แน่ะ! กลุ่มดิงกี้บ็อกกี้พาพวกเรามา พวกเขาจำเราได้ว่าแต่เดิมเราเป็นใคร และอยากให้เราช่วยให้พวกเขาทำภารกิจลับ พวกเขาต้องการเข้าไปในเขตการปกครองที่ 6 หน่อย พวกเขาจะจ่ายราคาเราด้วยการพาเรากลับไปที่ดาวด้วย พลังของพวกเราจะมีประโยชน์กับพวกเขามาก”
“เดี๋ยวก่อนนะ เธอเป็นเจ้าหญิงนะ แถมยังเอาแต่ใจด้วย นี่จะลดเกียรติลงไปรับใช้พวกเขาเหรอ” เขามองน้องสาวอย่างไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ แล้วก็แอบจิกเล็บกับอุ้งมือ ตรวจดูว่าเขาสร่างจากฤทธิ์ยาแล้วหรือกำลังฝันอยู่กันแน่ แต่ก็เจ็บตามปกติ แถมมีเลือดไหลออกมาด้วย ยิ่งยืนยันได้ว่าเขายังอยู่ในโลกความจริง
“ไม่ได้ไปในฐานะคนใช้ แต่ไปในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง”
“แต่พวกดิงกี้บ็อกกี้ก็ช่วยคุ้มกะลาหัวเราไม่ได้หรอกนะ ถ้าเฮซคิดจะตามไปฆ่าเราถึงที่นั่น”
“พี่คิดว่าเฮซจะตามไปถึงนั่นเลยเหรอ ที่นั่นเดินทางด้วยเทเลพอร์ตไปได้ก็จริง แต่การจะเดินทางกลับต้องเสียเวลาชาร์ตตัวแท่นส่งตั้งสามชั่วโมง” พริเซล่ายักไหล่ สายตากรุ่นคิด ขณะที่มือแตะไปที่อกซึ่งขยุกขยิก บรอธน่าจะอยู่ตรงนั้น “มีแต่อัลฟ่าแห่งกาลเวลาที่ไปที่นั่น และกลับจากที่นั่นได้อย่างอิสระพร้อมกับขนกองทัพไปด้วย แต่เมเดียนจะไม่ร่วมมือกับเฮซหรอก จริงไหม”
พริเซล่านั้น แท้ที่จริงรู้จักกับเมเดียน
เธอเล่าให้เขาฟัง ว่าตอนเด็กๆ เธอพบเมเดียนในครัวของพระราชวังทุกวันคริสต์มาสอีฟ ดูเหมือนเมเดียนจะมาขโมยอาหารในครัว ซึ่งเธอเคยเล่าให้เฮเซคียาห์ฟังไปหลายครั้งตอนเด็กๆ แต่เขาก็แค่คิดว่าเธอเพ้อเจ้อ ส่วนราชินีเอสเธอร์ได้กำชับกับพริเซล่าว่าให้แกล้งทำเป็นไม่เห็นเมเดียน ดังนั้นในช่วงหลังๆ เธอจึงไม่พูดถึงเขาอีก และพอโตเป็นสาว พริเซล่าก็ไม่ย่องไปหาขนมรับประทานเองในครัวอีกแล้ว เธอจึงไม่ได้เห็นเมเดียนมานับสิบๆ ปี จนเธอก็เคยคิดว่าเมื่อก่อนเธอน่าจะไร้สาระไปเอง
กระทั่งได้มาเจอเมเดียนอีกครั้ง เธอก็รู้ว่าเขามีอยู่จริง ไม่ใช่เพื่อนในจินตนาการของเธอ
“หวังว่าเขากับครอบครัวจะปลอดภัยไปได้ตลอดเถอะนะ”
ข่าวสุดท้ายของเมเดียนที่บรอธรายงานเขา คืออัลฟ่าแห่งกาลเวลาผู้น่านับถือพาลูกและหลานของเขาหนีออกไปจากเมืองหลวงในเขตการปกครองที่ 1 ได้สำเร็จ
“พี่เชื่อจริงๆ เหรอว่าเมเดียนเอาเศษไลฟ์ควอตซ์ที่ฝังอยู่ในร่างของเราออกไปได้” พริเซล่าถามอย่างมีความหวัง
ไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิดยังรับรู้ถึงเธอและสถานที่ที่เธออยู่ตลอดเวลา ต่างจากเฮเซคียาห์ แต่ดูเหมือนมันแค่ยังไม่เคลื่อนไหวรายงานคนอื่นเพื่อให้ออกล่าเธอ ซึ่งทำให้เฮเซคียาห์มีความหวังว่าราชินีเอสเธอร์ยังมีชีวิตอยู่
“แล้วโทรจิตหาเสด็จแม่เป็นยังไงบ้าง พี่หลับไปตั้งหลายวัน”
พริเซล่าส่ายหน้า
“แปลกจริง” เฮเซคียาห์เริ่มวิตกมากขึ้น สายตาของเขามองไปที่อกเสื้อของน้องสาว “แล้วแกล่ะ มีความคืบหน้าอะไรไหม”
“ยืนยันข้อมูลไม่ได้ ตรวจสอบไม่พบ”
“หรือว่าอาการของเสด็จแม่จะกึ่งเป็นกึ่งตาย” อดีตเจ้าชายสังหรณ์ใจไม่ดี เขาค่อนข้างมั่นใจในตัวชีล่า แต่ก็จำไม่ได้ว่ามีหลักฐานถึงคนที่ได้รับน้ำยาประหารสีเขียวซึ่งมีชีวิตรอดต่อไปได้อีก นับแต่อดีต คนที่จะถูกจับมาฉีดน้ำยาบ้าๆ นี้เข้าเส้นเลือดมีอยู่น้อยราย
“เสด็จพี่...” พริเซล่าเรียกชื่อเขาเสียงสั่น
เฮเซคียาห์หลุดออกจากภวังค์แล้วมองน้องสาวอย่างเข้าใจ เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะของเธอและโยกไปมา
“พยายามถามไลฟ์ควอตซ์บ่อยๆ ก็แล้วกัน มันไม่ได้ใจร้ายกับเธอเหมือนกับที่ใจร้ายกับพี่ เพราะฉะนั้น ไม่แน่ว่ามันอาจจะตอบกลับ”
“หรือไม่ก็บอกลาน้อง น้องเพิ่งเคยเห็นไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิดเงียบกับน้องนานขนาดนี้”
“กังวลไหม” เฮเซคียาห์ยิ้มเย็นๆ
“ไม่หรอก น้องมีเสด็จพี่อยู่นี่นา” พริเซล่ายิ้ม แต่ใบหน้าซีดเซียว เอาเข้าจริงคงไม่ใช่ว่ารับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์
“ตอนพี่ ไม่เหลือพลังอะไรให้ใช้เลย ตกใจแทบตายแน่ะ ช็อคยิ่งกว่าช็อค” เฮเซคียาห์ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืน เขาเดินไปจนสุดขอบของพื้นที่เกสรดอกไม้ แล้วพยายามชะโงกหน้าลงไปมองพื้นเบื้องล่าง แต่กลีบดอกไม้กินพื้นที่มากไป เขามองอะไรไม่เห็น เลยค่อยๆ เหยียบลงไปบนกลีบดอกไม้
“รอด้วย เดี๋ยวน้องนำทางไปเอง” พริเซล่าเดินตามเฮเซคียาห์มา และกระทืบเท้าเบาๆ บนกลีบดอกไม้ที่ทั้งคู่ยืนอยู่
เจ้าดอกไม้ขยับกลีบของมันอย่างอ่อนโยน พร้อมกับค่อยๆ โน้มลง ส่งกลีบดอกไม้ลงมาวางบนพื้นราวกับพรม
ดอกไม้รอจนสองพี่น้องก้าวลงจากกลีบเรียบร้อยแล้ว มันจึงขยับกลีบดอกกลับขึ้นไปคงรูปสวยเช่นเดิม
“เฮ้! จะไปพบท่านเสนาบดีเหรอองค์หญิง” ชาวดิงกี้บ็อกกี้คนหนึ่งซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ร่มดอกไม้ไม่ไกลกันลดหนังสือในมือลง
ดูจากภายนอก เขามีศีรษะและหน้าตาเป็นสุนัขพันธุ์ดันเมเชี่ยน ขณะที่หูของเขาทั้งสองข้างหรุบลงเป็นสีดำ บนตัวของชายคนนี้พ้นออกมาจากเสื้อมีลายจุด ในส่วนมือทั้งสองข้างนั้น มองไปแล้วเหมือนมือของหมีที่มีห้านิ้วไว้หยิบจับของได้สะดวก ต่างจากมือของสุนัขทั่วไปบนพื้นโลก
“ใช่แล้วจ้ะ” พริเซล่าเดินเข้าไปนั่งยองๆ แล้วยกมือขึ้นลูบไปบนศีรษะของดิงกี้บ็อกกี้แปลกหน้า
เฮเซคียาห์อึ้ง เขาเห็นหางของอีกเผ่าพันธุ์ส่ายไปมาอย่างอารมณ์ดี
“อ้อ! แล้วนั่นอดีตเจ้าชายขี้โมโห” ดิงกี้บ็อกกี้ซึ่งมีท่าทางเป็นมิตรมากพูดกลั้วหัวเราะ “ที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะว่ากลัวจะอาละวาด ปกติเห็นนิสัยเป็นคนเถรๆ น่ะนะ แล้วถ้าเคยไม่ชอบหน้าใครก็จะไม่ญาติดีด้วยเลย เชิญมาดีๆ คงจะไม่ยอมหรอกเพราะออกจะเกลียดท่านเสนาบดีขนาดนั้น”
“เสนาบดีอย่างนั้นเหรอ?” เฮเซคียาห์เลิกคิ้ว ภาพเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนแวบเข้ามาในสมอง “ไอ้ตัวเหม็นสาบที่ฉี่ใส่ของเล่นฉันน่ะนะ”
พริเซล่าหัวเราะพรืด ทางด้านบรอธโผล่ออกมาจากอกเสื้อของเธอ แล้วบินมาลอยอยู่ใกล้ๆ เฮเซคียาห์แทน
เฮเซคียาห์หันไปมองน้องสาวอย่างเคืองๆ เมื่อเธอไม่ยอมหยุดหัวเราะเสียที
“เขาอยากเป็นมิตร แต่ตลอดห้าสิบปีมานี้ พี่ไม่ยอมส่งบัตรเชิญให้เขามาร่วมงานเลี้ยงกับทางเราเลยสักครั้ง ทั้งที่เขาก็เป็นคนสำคัญมากคนหนึ่งแท้ๆ”
“ไม่อยากให้มาฉี่เรี่ยราด มันเหม็น!” เฮเซคียาห์เม้มปาก
ตอนนั้นเขายังเด็ก เล่นอยู่ในสวน แล้วไอ้สุนัขชำรั่วอั้นปัสสาวะไม่ได้ดันอยู่ๆ มายกขาแล้วยิงละเลงน้ำเหลืองๆ ใส่ชุดของเล่นที่ประกอบด้วยยานขับขี่อวกาศหลายลำซึ่งเป็นของสะสมแสนรักแสนหวงของเขา
จริงๆ เขาเกือบฆ่าดิงกี้บ็อกกี้ตัวนั้นแล้ว แต่ราชินีเอสเธอร์ห้ามไว้
“ตอนท่านพี่ไม่อยู่ เฮเซเคียวจัดงานเลี้ยง แล้วเชิญเขามาด้วย” พริเซล่าเล่าเรื่องราว “เขาก็ยังชำรั่ว อั้นไม่ค่อยได้อยู่นะ แต่มางานของเฮซ เขาก็ใส่แพมเพิร์สสำหรับเผ่าพันธุ์ของเขามาด้วย สิ่งที่น่าทึ่งแต่น้องไม่รู้มาก่อนจริงๆ คือแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดปราดเปรื่องมากๆ เฮซก็ชอบเขา แต่น้องคุยกับเขาเยอะจนเฮซแทรกไม่ได้ แต่ก็นะ น้องชอบขนของเขา ขนนุ่มๆ จับแล้วอารมณ์ดีมาก” พริเซล่าดูมีความสุข
เธอในตอนนี้ดูไม่ร้ายกาจ ขี้เหวี่ยง พร้อมจะทำร้ายทุกคนเหมือนตอนอยู่ในวัง
แต่นั่นแหละ ปกติเธอแค่ไม่เป็นมิตรกับชาวมัสติน มนุษย์ และเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่มีขน แต่เผ่าพันธุ์หรือสัตว์ประหลาดมีขนนุ่ม เธอมักใจดีหรือใจอ่อนด้วยเสมอ
“ไปหาเขากันเถอะ แต่อย่าพยายามฆ่าเขาตอนที่เจอหน้าล่ะ เขาเป็นใบเบิกทาง จะพาพวกเราออกเดินทางไปจากที่นี่”