เล่มที่ 1 บทที่ 9
ณ จวนเจ้าเมืองพยัคฆ์เมฆาพิสุทธิ์
ปรากฏร่างชายวัยกลางคนสองคนกำลังนั่งพูดคุยหารือกันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หนึ่งคือเฟยหลงแม่ทัพแห่งพยัคฆ์เมฆาอยู่ในชุดนักรบดูน่าเกรงขาม อีกคนคือชายวัยกลางคนรูปร่างสง่างามอยู่ในชุดสีขาว นั่นคือเสี่ยวทันหลาง เจ้าเมืองของเมืองพยัคฆ์เมฆาแห่งนี้
“ท่านแม่ทัพ สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“จากที่ข้าส่งคนไปคอยสอดแนม ตอนนี้ทางตระกูลเจี่ยเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว...และตอนนี้ที่เมืองแห่งนี้มีผู้ฝึกยุทธ์เข้ามาอย่างผิดปกติด้วยเช่นกัน”
“ดูเหมือนพวกมันตั้งใจจะก่อสงครามจริงๆสินะ” เสี่ยวทันหลางถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนอีกฝ่ายก็อยู่ในอารมณ์ไม่ต่างกันมากนัก
“ดูแล้วเป็นเช่นนั้น ท่านเจ้าเมือง ว่าแต่ผู้อาวุโสว่าเช่นไรบ้าง?”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านตอบรับคำเชิญแล้ว แต่การเดินทางจากเมืองหลวงมาคาดว่าคงใช้เวลาอีก 10 วันกว่าจะมาถึง…” เสี่ยวทันหลางตอบออกมาพร้อมกับดวงตาที่ทอประกายวูบหนึ่ง
“อืม หวังแต่ว่าพวกมันคงจะไม่ชิงลงมือเสียก่อน...”
ทั้งสองคุยกันได้ไม่นาน เสี่ยวปิงก็เดินเข้ามาภายในห้องโถง ทำให้ทั้งคู่หยุดการสนทนาลง
“คารวะ ท่านพ่อ ท่านลุง”
“ปิงเอ๋อร์ เจ้ามีอะไรรึ?”
“ข้ามีเรื่องจะถามท่านลุงนิดหน่อยเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟยหลงพลันหัวเราะขึ้นมาทันที เรื่องที่แม่หนูนี่อยากรู้จะเป็นเรื่องใดไปได้ถ้าไม่ใช่เรื่องของหยางอี้
“ฮ่าๆ อืม...นี่ก็ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วที่หยางอี้ปิดด่านฝึกตน ลุงคิดว่าคงอีกไม่นานก็คงจะได้เวลาออกมา ไม่ต้องห่วงไป หากหยางอี้ออกจากด่านฝึกตนเมื่อไหร่ ข้าจะให้คนมาบอกเจ้าทันที”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เมื่อได้ความ เสี่ยวปิงก็ขอตัวออกไปทันที
“เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิลูกสาวข้า ไม่คิดจะพูดคุยกับบิดาสักคำ” เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“ท่านเจ้าเมือง ลูกสาวข้าก็ไม่ต่างจากลูกสาวท่านหรอก” เฟยหลง กล่าวออกมา ก่อนที่ทั้งสองจะหันหน้ามาสบตากันแล้วหัวเราะออกมา
***
ณ ตึกหลักตระกูลเจี่ย มีชาย 4 คนกำลังนั่งหารือกันอยู่ หนึ่งคือชายวัยกลางคนหน้าตาคมเข้ม สวมชุดสีดำ นั่งอยู่บนที่นั่งถูกยกสูงขึ้นเหนือผู้อื่นตรงกลางห้องโถง นั่นคือประมุขตระกูลเจี่ย เจี่ยฮง ส่วนอีกสามคนเป็นชายชรานั่งอยู่ด้านซ้ายและขวา เป็นผู้อาวุโสของตระกูลเจี่ย
“ผู้อาวุโสหนึ่ง ตอนนี้เตรียมการไปถึงไหนแล้ว” เจี่ยฮงกล่าวออกมาขณะมองไปยังชายชราด้านข้าง
“เรียนท่านประมุข ตอนนี้ทุกอย่างใกล้เรียบร้อยแล้ว อีก 10 วันจะเตรียมการเสร็จสมบูรณ์”
“ดีมาก! ผู้อาวุโสสาม ตอนนี้เรารวบรวมผู้ฝึกยุทธ์ได้เท่าไหร่แล้ว”
“เรียนท่านประมุข ตอนนี้เรามีผู้ฝึกยุทธ์ที่เชิญมาจากภายนอก 30 คน เป็นระดับก่อกำเนิดขั้นสูง 15 คน ปราณตั้งจิตขั้นต่ำและกลาง 10 คน ปราณตั้งจิตขั้นสูงสุด 3 คน และปราณปฐพี ขั้นต้น 2 คน!”
“ดี ดี! แล้วที่จวนเจ้าเมืองและจวนแม่ทัพมีการเคลื่อนไหวหรือไม่”
“เรียนท่านประมุข ตอนนี้พวกมันเพียงเตรียมการป้องกันเท่านั้น เรื่องกำลังคนยังคงมีเท่าเดิม นอกจากนั้นยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ”
“หืม…เสี่ยวทันหลางและเฟยหลงมิใช่ตัวโง่งม มันต้องรู้การเคลื่อนไหวของเราเป็นแน่ แต่ทำไมมันจึงยังมิเคลื่อนไหว? จับตาดูพวกมันต่อไปหากมีเรื่องผิดสังเกตให้รายงานข้าทันที! จะปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดมิได้!”
“ขอรับท่านประมุข”
เมื่อหารือกันเสร็จ ทั้ง 3 อาวุโสก็แยกย้ายกันกลับไปจัดการธุระของตนประจวบกับที่หน้าห้องโถงก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา
“คารวะท่านพ่อ”
“อ่า...ส้งเอ๋อร์ เข้ามาๆ” เจี่ยฮงพลันกล่าวออกมาอย่างยิ้มแย้ม เบื้องหน้านี้คือบุตรชายสุดที่รักของเขา เจี่ยส้งหรือคุณชายสามของตระกูลเจี่ย
“ท่านพ่อ แผนการเรียบร้อยดีหรือไม่ขอรับ?”
“ฮ่าๆ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เจ้าไม่ต้องกังวลไป แม่หนูสองคนนั้นต้องเป็นของเจ้าอย่างแน่นอน!” เจี่ยฮงกล่าวออกมาอย่างรู้ใจบุตรชายของเขา
“ฮี่ๆ ท่านพ่อช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก ข้ามีเรื่องหนึ่งจะขอท่าน...ท่านพ่อจำได้หรือไม่ เมื่อ 5 ปีก่อนที่เจ้าเมืองธาราสวรรค์มาติดต่อการค้าได้นำบุตรชายมาด้วยคนหนึ่ง”
“หืม ข้าจำได้ ทำไมรึ?”
“ตอนนี้มันพักอยู่ในจวนแม่ทัพ! เมื่อถึงวันนั้นข้าอยากให้ท่านจับเป็นมันมาให้ข้าได้หรือไม่?” เจี่ยส้งกล่าวออกมาพร้อมยิ้มเหี้ยม และเมื่อเจี่ยฮงเห็น เขาก็เข้าใจได้ทันที
“ฮ่าๆ ตามที่เจ้าต้องการส้งเอ๋อร์ อีก 10 วันพี่รองของเจ้าจะออกจากด่านฝึกตนแล้ว”
“เข้าใจแล้วท่านพ่อ เมื่อพี่รองออกมา ข้าจะมอบ 1 ใน 2 นางให้เป็นของขวัญแก่ท่านพี่ ฮ่าๆๆ” ทั้งสองพ่อลูกต่างระเบิดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
7 วันผ่านไป หยางอี้ออกจากด่านฝึกตน ตอนนี้ชายหนุ่มก้าวไปถึงจุดสูงสุดของลมปราณก่อกำเนิดขั้นกลางแล้ว ดวงจิตอสูรของราชาหมาป่าทมิฬนั้นให้ผลเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก
เมื่อออกจากมิติพิเศษ หยางอี้เลือกอาบน้ำชำระกาย เพื่อนำเอาสิ่งสกปรกออกจากร่างกายแทนที่จะขจัดออกด้วยพลังปราณ ซึ่งแม้จะได้ผลเหมือนกัน แต่สำหรับชายหนุ่ม การนอนแช่ในน้ำทำให้รู้สึกผ่อนคลายกว่ามาก
หลังจากทำธุระเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ตรงไปยังห้องโถงจวนแม่ทัพทันที เพื่อจะถามถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อมาถึงห้องโถงจวนแม่ทัพ ซึ่งตัวเขาแปลกใจไม่น้อยเพราะผู้ที่อยู่ในจวนแม่ทัพมีทั้ง เฟยหลง เพ่ยเพ่ย เสี่ยวทันหลาง เสี่ยวปิง หยางอี้เดินเข้าไปก่อนเริ่มจะกล่าวทักทาย
“คารวะท่านลุงทั้งสอง” หยางอี้กล่าวทักทายเฟยหลงและเสี่ยวทันหลางก่อนจะหันไปยิ้มให้เสี่ยวปิงและเพ่ยเพ่ย
“ท่านพี่หยางอี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ทั้งสองสาวเอ่ยออกมาพร้อมกันอย่างกับนัดกันมา เพียงจบคำก็หันกลับมาเขม่นกันต่อ ส่วนหยางอี้นั้นมิได้สนใจนางทั้งสอง แต่หันกลับมาถามเฟยหลงถึงสถานการณ์ของเมืองแทน
“ท่านลุงทันหลาง ก่อนหน้านี้ข้าต้องขออภัยที่มิได้ไปกล่าวทักทายท่านเมื่อมาถึงเมืองแห่งนี้…แล้วตอนนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ไม่เป็นไรหรอก แม้เจ้าจะไม่ไปหาข้า ปิงเอ๋อร์ก็พูดถึงเจ้าให้ข้าฟังทุกวันจนข้าแทบจะรู้หมดแล้วว่าเจ้าทำอะไรที่ไหนมาบ้าง ฮ่าๆ”
เสี่ยวทันหลางหัวเราะออกมา นั่นทำให้เสี่ยวปิงพลันหน้าขึ้นสีขึ้นมาทันที หยางอี้ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆกลับไป
“ส่วนตอนนี้ ยังคงไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ตอนนี้ข้าได้เชิญผู้อาวุโสท่านหนึ่งมาเพื่อช่วยเจรจาเรื่องนี้แล้ว หากเป็นไปตามคาดก็คงจะไม่ต้องเกิดการต่อสู้กัน...ผู้อาวุโสจะมาถึงในอีก 3 วัน ตอนนี้เราหวังได้เพียงว่าตระกูลเจี่ยจะไม่เปิดศึกก่อนหน้านั้น” เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมามีสีหน้าเคร่งเครียดไม่น้อย เพราะหากดูจากการเตรียมการของตระกูลเจี่ยแล้ว ตอนนี้มันคงจะพร้อมแล้ว เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น
“หากเป็นตระกูลเจี่ย เรายังคงพอต้านไว้ได้ เพราะกองกำลังก็มิได้แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่ตอนนี้ตระกูลเจี่ยเชิญผู้ฝึกยุทธ์ภายนอกมาเกือบ 40 คน นั่นจึงถือเป็นปัญหาหนักทีเดียว” เป็นเฟยหลงกล่าวออกมา
“พวกมันเตรียมการมานานแล้ว ตอนนี้เราหวังได้แต่ให้ท่านผู้อาวุโสมาทัน!” เสี่ยวทันหลางถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
หลังจากได้รับรู้ หยางอี้เข้าใจได้ว่าเหตุการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ถึงแม้กำลังทหารของเจ้าเมืองและแม่ทัพจะมีมากกว่า และนั่นก็ไม่สามารถจะรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงที่พวกตระกูลเจี่ยเชิญมาได้
“หลานชาย ข้ารู้มาว่าเจ้าและนายน้อยคนที่สามของตระกูลเจี่ย....เจี่ยส้งนั้น มีเรื่องบาดหมางกันในอดีต เจี่ยส้งนั้นเป็นคนที่จมอยู่ในความแค้น ชอบข่มเหงผู้อื่น เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของมัน” เสี่ยวทันหลางกล่าวเตือนออกมาด้วยความเป็นห่วง
“เจี่ยส้งงั้นหรือ?” หยางอี้ครุ่นคิดอยู่สักพัก เพ่ยเพ่ยก็กล่าวออกมา
“ท่านพี่ เจี่ยส้งก็คือเจ้าลูกหมาอันธพาลที่เมื่อก่อนมันมาตามตอแยข้าและเสี่ยวปิง แต่โดนท่านอัดมันซะน่วมไงเจ้าคะ”
“อ้อ เจ้านั่นนี่เอง” หยางอี้พลันนึกออกมาทันทีก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา
“ท่านลุงไม่ต้องกังวล ข้าจะคอยระวังตัวไว้ แต่เจ้านั่นต้องจ้องเล่นงานเสี่ยวปิงและเพ่ยเพ่ยแน่นอนด้วยนิสัยของมัน”
“ฮึ่ม เจ้าลูกหมานั่น หากมันกล้าแตะต้องบุตรสาวข้า ข้าจะถลกหนังมันออกมา” เฟยหลงกล่าวออกมาอย่างดุดัน
หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันต่อ โดยส่วนมากจะเป็นเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงทะเลาะกันเสียมากกว่า จนถึงเวลาค่ำเจ้าเมืองและเสี่ยวปิงก็กลับจวนไป
บรรยากาศภายในเมืองพยัคฆ์เมฆานั้นช่างเงียบสงบเหมือนเช่นเคย ทุกคนอยู่กันอย่างสงบสุข ในตลาดก็ยังคงคึกคักเช่นเคย ไม่มีผู้ใดรับรู้เลยว่าอีกไม่กี่วันเมืองแห่งนี้จะเต็มไปด้วยการต่อสู้ฆ่าฟัน หยดเลือดจะถูกชโลมไปทั่วเมือง...
เช้าวันต่อมา หยางอี้ได้รับเชิญไปที่จวนเจ้าเมืองโดยมีเพ่ยเพ่ยติดตามไปด้วย จวนเจ้าเมืองและจวนแม่ทัพนั้นอยู่ห่างกันไม่มาก เดินทางไม่นานทั้งสองก็มาถึงจวนเจ้าเมืองโดยมีเสี่ยวปิงยืนรออยู่ก่อนแล้ว
เพียงเจอหน้ากันทั้งสองสาวก็เริ่มเขม่นกันทันที หยางอี้ไม่อยากเสียเวลาจึงตรงไปพบท่านเจ้าเมืองทันที ปล่อยให้ทั้งสองรออยู่ในสวนน้อยของเมือง เมื่อเข้ามาในห้องโถงหยางอี้ก็พบเสี่ยวทันหลางกำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“คารวะท่านลุง มีเรื่องอันใดหรือขอรับถึงเรียกข้ามาพบแต่เช้า” หยางอี้กล่าวถามออกมา
“หลานชาย เมื่อ 5 ปีก่อนที่พ่อเจ้ามาที่นี่นั้น หลังจากตกลงเรื่องธุรกิจกันและผ่านวันเวลานับเดือน ข้าและท่านพ่อของเจ้านั้นก็นับถือกันดั่งพี่น้อง ด้วยตอนนั้นข้าได้เตรียมของขวัญไว้ให้แต่ไม่ทันการ พ่อของเจ้าดันรีบกลับไปเสียก่อน” เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมา
หยางอี้ขมวดคิ้วครุ่นคิด ‘ของขวัญรึ? หรือท่านลุงจะมอบให้ข้าแทน?’
“หลานชาย ด้วยเหตุการณ์ตอนนี้ อาจเกิดการโจมตีจากตระกูลเจี่ยได้ทุกเมื่อ ข้าจึงเห็นว่าควรจะมอบมันให้แก่เจ้า อย่างน้อยก็เอาไว้ใช้ป้องกันตัว”
หลังจากกล่าวจบเสี่ยวทันหลางก็นำกล่องไม้ออกมาใบหนึ่ง มันมีขนาดกว้างราว 6 นิ้ว และยาว 1 เมตร เขาส่งมอบให้กับหยางอี้
หลังจากรับมา หยางอี้ก็เปิดออกทันที ด้านในเป็นดาบเล่มหนึ่ง ใบดาบสีเงินมันวาวสวยงาม สันดาบถูกสลักเป็นลายเมฆตั้งแต่โคนจนถึงปลายดาบ ทางด้ามจับเป็นแร่บางอย่างดูทนทานสลักเป็นตัวพยัคฆ์ดูน่าเกรงขาม ที่ส่วนหัวกำลังอ้าปากคำรามโดยใบดาบนั้นยื่นออกจากปากของพยัคฆ์
“นี่คือ...” หยางอี้กล่าวออกมาหลังจากหายตะลึงกับความงามของดาบเล่มนี้
“นี่คือดาบพยัคฆ์เมฆา...ศาสตราวุธระดับปฐพีขั้นกลาง!”
หลังจากเสี่ยวทันหลางกล่าวออกมา ร่างของหยางอี้พลันสั่นสะท้าน ผู้คนส่วนมากจะใช้เพียงอาวุธระดับ สูง กลาง ต่ำ เท่านั้น และการที่ใครสักคนจะสามารถครอบครองศาสตราวุธนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย! แค่ระดับปฐพีขั้นต่ำก็แพงหูฉีกแล้ว! แต่นี่คือขั้นกลาง! มันมีค่ามากมายกว่าขั้นต่ำหลายเท่านัก!
“ท่านลุง ข้าคิดว่ามันมีค่ามากเกินไป ข้ารับไม่ได้หรอกขอรับ!”
หยางอี้กล่าวออกมาตามที่คิดจริงๆ ดาบเล่มนี้มีค่ามหาศาล หากนำไปขายราคาของมันคงไม่ต่ำกว่า 3 แสนเหรียญทองเป็นแน่ แล้วเขาจะกล้ารับมาได้อย่างไร?
“เฮ้อ หลานชาย แต่เดิมข้าก็จะมอบให้แก่พ่อของเจ้าอยู่แล้ว อีกอย่างทั้งข้าและเสี่ยวปิงต่างใช้กระบี่ ดังนั้นการจะเก็บมันไว้ก็เสียเปล่า เจ้าก็เป็นเหมือนลูกหลานของข้า เช่นนั้นก็รับมันไปเถอะ” เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมาอย่างอบอุ่น ทำให้หยางอี้ไม่สามารถปฏิเสธได้
“เช่นนั้นข้าจะรับไว้และจะไม่ทำให้ความหวังดีของท่านเสียเปล่า” หยางอี้กล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“ดีๆ ฮ่าๆ ข้าจะรอดูความสำเร็จของเจ้า!” เสี่ยวทันหลางหัวเราะออกมา ก่อนจะมองดูแผ่นหลังของหยางอี้ที่เดินออกจากห้องโถงไป
“เจ้าหนู อย่างไรอนาคตเสี่ยวปิงคงไม่ปล่อยเจ้าเป็นแน่...การมอบดาบเล่มนี้ให้เจ้าข้าจะคิดผิดได้อย่างไร ฮ่าๆ”
กลับมาที่สวนน้อยในจวนเจ้าเมือง ทั้งสองสาวหลังจากเถียงกันอยู่นานตอนนี้หันมานั่งจิบชากันแล้ว
“เพ่ยเพ่ย เจ้าคิดว่าหากผู้อาวุโสมาไม่ทันจะเป็นอย่างไร”
“ฮึ่ม ยังไงพวกเราก็จะไม่ยอมให้ตระกูลเจี่ยมาข่มเหง”
“ท่านพ่อบอกว่าจะให้เจ้าและข้าอยู่ในจวนเมื่อเกิดสงคราม”
“ท่านพ่อข้าก็บอกเช่นนั้น”
“เพ่ยเพ่ย ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย…” เสี่ยวปิงกล่าวออกมาขณะนางยังคงมองไปยังท้องฟ้ายามเช้า เห็นเช่นนั้นเพ่ยเพ่ยก็กล่าวออกมา
“เสี่ยวปิง เจ้าคิดมากเกินไป ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี!”
หยางอี้ที่เดินเข้ามาทันเห็นทั้งสองสนทนากันก็พลันยิ้มและกล่าวขึ้น
“เจ้าทั้งสองมิต้องกังวลไปหรอก จะไม่มีใครทำอันตรายพวกเจ้าได้ ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี”
ทั้งสองสาวสะดุ้งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของหยางอี้ แล้วก็กลับมาเขม่นใส่กันอีกครั้ง ทำให้หยางอี้ได้แต่หัวเราะก่อนจะมองไปยังขอบฟ้า ตัวเขาเองก็มิรู้เช่นกันว่าวันพรุ่งนี้เมืองแห่งนี้จะยังสงบอยู่หรือไม่…
‘อีกเพียง 2 วัน ผู้อาวุโสจะมาถึง หวังว่าคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น!’
เวลาบ่ายคล้อย หยางอี้และเพ่ยเพ่ยได้เดินทางกลับมายังจวนแม่ทัพ หลังจากแยกกัน หยางอี้ก็ตรงไปยังลานฝึกทันที ที่ลานฝึกของจวนแม่ทัพเป็นพื้นที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสยกพื้นสูงด้วยหินปูนเหมือนลานประลองทั่วไป
หยางอี้นำดาบพยัคฆ์เมฆาออกมา ตัวดาบมีน้ำหนักประมาณ 500 จิน ถือว่าหนักมากทีเดียว แต่ด้วยการที่หยางอี้ฝึกทักษะหัตถ์หลอมตะวัน ทำให้การถือดาบพยัคฆ์เมฆานั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา
หยางอี้ยืนถือดาบอยู่บนลานประลองครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มร่ายรำกระบวนท่าพื้นฐานต่างๆ ก่อนที่จะสูญเสียลมปราณไปเขาเคยเรียนตำราดาบมาอยู่บ้าง แต่เป็นเพียงกระบวนท่า มิได้เป็นทักษะแต่อย่างใด ดาบเล่มนี้ถือเป็นอาวุธชิ้นแรกของชายหนุ่มเลยก็ว่าได้
หลังจากฝึกซ้อมกระบวนท่าพื้นฐานอยู่นาน จนเวลาล่วงเลยมาถึงยามเย็น ทั่วร่างกายของเขาถูกชโลมไปด้วยหยาดเหงื่อ
โฮก!
กระบวนท่าสุดท้าย หยางอี้ทดลองโคจรลมปราณเข้าสู่ตัวดาบก่อนจะฟาดฟันออกไป จนเกิดเป็นคลื่นพลังปราณพุ่งเข้าใส่กำแพงอย่างรุนแรงเสียงดังสนั่น เมื่อฝุ่นควันจางลง ที่กำแพงปรากฏเป็นช่องว่างขนาด 1 เมตรที่มีรอยตัดเรียบเนียน เหมือนถูกแยกออกด้วยของมีคม และนั่นทำให้หยางอี้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ นี่คือความสามารถของของศาสตราวุธระดับปฐพีขั้นกลางสินะ...สมแล้วที่เป็นของหายากและมีราคาแพง”
ด้วยความสามารถของมันทำให้ชายหนุ่มตกอยู่ในความคิด หนึ่งต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้หยางอี้เพียงโคจรพลังปราณเข้าสู่ตัวดาบแล้วฟันออกไปเท่านั้น เขาไม่ได้ใช้ทักษะแต่อย่างใด ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก
ไม่นานทหารยามรวมถึงเฟยหลงก็ได้มาถึงลานฝึก ด้วยเสียงที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันของพลังปราณและกำแพงทำให้พวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อมาถึง เห็นหยางอี้ยืนถือดาบอยู่ เฟยหลงก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“นั่นคงเป็นดาบพยัคฆ์เมฆาสินะ” เฟยหลงกล่าวออกมา พร้อมกับเดินไปหาหยางอี้ ก่อนจะโบกมือให้ทหารยามที่ตามมาว่าไม่มีอะไรแล้ว
“ท่านลุง ข้าขอโทษด้วยที่สร้างความเสียหาย ว่าแต่ท่านรู้จักดาบเล่มนี้?” หยางอี้กล่าวออกมา
“ฮ่าๆ จะไม่รู้จักได้อย่างไรในเมื่อข้าเป็นคนนำมันมาให้ท่านเจ้าเมืองเอง” เฟยหลงกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ
“เป็นเช่นนั้นเอง”
“หลานชาย ดาบเล่มนี้ แต่เดิมสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นของขวัญแก่พ่อของเจ้า ข้านั้นได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมือง จึงเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อให้ช่างตีดาบด้ามหนึ่งขึ้นมา” เฟยหลงกล่าวออกมา
“นี่...ดาบเล่มนี้ถูกตีขึ้นมาโดยเฉพาะหรือนี่” หยางอี้อุทานออกมาพร้อมกับดวงตาเบิกกว้าง
“ใช่แล้ว การที่จะหาคนสร้างศาสตราวุธนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยการที่ต้องใช้ความสามารถระดับสูงแล้ว ผู้สร้างส่วนมากจะเป็นคนมีชื่อเสียง การจะว่าจ้างนั้นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่โชคดีผู้อาวุโสที่ตีดาบเล่มนี้ขึ้นมานั้นมีความสัมพันธ์บางอย่างกับท่านเจ้าเมือง” เฟยหลงค่อยๆอธิบายออกมาให้หยางอี้ฟัง
หยางอี้เริ่มสงสัยแล้วในตอนนี้ว่าท่านเจ้าเมืองเป็นคนเช่นไรกันแน่ การที่จะสามารถขอให้ผู้สร้างศาสตราวุธตีดาบเล่มนี้ให้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกทั้งยังสามารถเชิญผู้อาวุโสระดับสูงจากเมืองหลวงที่จะมาถึงในอีกหนึ่งวันได้อีก....นับว่าการมีสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านี้หากเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็กๆของเมืองหนึ่งย่อมไม่สามารถทำได้แน่
“จากที่เห็น เจ้าคงเพียงส่งพลังปราณเข้าสู่ตัวดาบสินะ?”
“ใช่ขอรับ ข้าเพียงส่งพลังปราณเข้าสู่ดาบและฟันมันออกไป คิดไม่ถึงว่าจะส่งผลเช่นนี้”
“ฮ่าๆ เด็กน้อย พลังนั้นแม้จะดูรุนแรงก็จริงแต่มันไม่สามารถทำอันตรายผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงได้! ท่านผู้อาวุโสเคยบอกข้าว่า การจะแสดงความสามารถของดาบเล่มนี้สูงสุด จะต้องใช้คู่กับทักษะวิถี 9 พยัคฆ์!” เฟยหลงได้กล่าวออกมา
“ทักษะวิถี 9 พยัคฆ์...” หยางอี้ทวนคำพูดที่ได้ยินออกมาเบาๆ
“ใช่แล้ว และข้ามีข่าวดีจะบอกเจ้า ผู้อาวุโสที่กำลังเดินทางมานั้น เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักที่ครอบครองทักษะนี้อยู่”
เมื่อได้ยิน หยางอี้กลายเป็นตกตะลึงทันที ตอนแรกเขาคิดเพียงว่าผู้อาวุโสที่ถูกเชิญมาอาจจะเป็นคนของทางการที่เชิญมาเพื่อไกล่เกลี่ยตระกูลเจี่ยเท่านั้น หากแต่ตอนนี้กลับเป็นผู้อาวุโสจากสำนักของเมืองหลวง อาจเป็นไปได้ว่าการเจรจาครั้งนี้จะเป็นการใช้กำลังเข้าถกเถียงกันเสียแล้ว
“ท่านลุง ข้าอยากรู้ว่าหากข้าต้องการทักษะนี้ต้องทำเช่นไร” หยางอี้กล่าวหยั่งเชิงออกมา
“อืม...บอกตามตรง ข้าก็ไม่รู้เรื่องกฎของสำนักในเมืองหลวงสักเท่าไหร่”
“เป็นเช่นนั้น...แล้วท่านพอจะรู้ระดับของทักษะวิถี 9 พยัคฆ์หรือไม่?”
เฟยหลงมองหน้าหยางอี้ด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
“ปฐพีขั้นสูง!”
เป็นอีกครั้ง ที่หยางอี้ตกอยู่ในความตะลึง ระดับปฐพีขั้นสูง! นั่นถือเป็นเรื่องยากอย่างมากในการคิดที่จะครอบครอง ในเมืองธาราสวรรค์ แม้เป็นตระกูล หยาง หรือตระกูลห่าว ก็ยังมีครอบครองเพียงแค่ระดับต่ำตระกูลละหนึ่งทักษะเท่านั้น แต่นี่มันเป็นถึงระดับสูง! ต้องบอกก่อนว่า แม้จะอยู่ในระดับปฐพีเหมือนกัน แต่ความต่างของระดับนั้นเป็นคนละเรื่อง ทักษะระดับปฐพีขั้นกลาง 1 เล่ม มีค่าเทียบเท่า ทักษะระดับปฐพีขั้นต่ำ 10 เล่ม และถึงแม้จะมีคนยอมจ่าย แต่ก็ไม่มีใครโง่พอจะแลกเปลี่ยนด้วย!
ทักษะแต่ละระดับนั้น ถูกแบ่งแยกตามอานุภาพของมัน ทักษะสายโจมตีหรือป้องกันนั้นจะถูกแบ่งตามประสิทธิภาพของตัวทักษะ เช่น หากมีทักษะระดับต่ำที่มี 5 ขั้น เมื่อฝึกไปจนอยู่ในขั้นที่ 5 จะสามารถทำลายก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งได้ แต่หากเป็นก้อนหินก้อนเดียวกันนั้นแต่เปลี่ยนเป็นทักษะระดับกลางที่มี 5 ขั้นเช่นกันก็จะสามารถทำลายหินก้อนนี้ได้ด้วยเพียงการฝึกอยู่ในขั้น 1 หรือ 2 เท่านั้น!
และนี่นับเป็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ถึงแม้หยางอี้จะมีทักษะย่างก้าวมายาสวรรค์ที่นับเป็นระดับสวรรค์ขั้นต่ำ แต่ทักษะย่างก้าวนั้นจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อผู้ใช้นั้นผสานรวมออกพร้อมทักษะโจมตีที่ทรงพลังหรือใช้กับบุคลที่อ่อนแอกว่า
ดังว่า...หากมีความเร็วสักเพียงใดแต่ไม่มีพละกำลังที่มากพอก็ไม่สามารถทำลายหินเพียงก้อนหนึ่งได้! หากหยางอี้ต้องเจอกับคนที่แข็งแกร่งเขาก็จะทำได้เพียงวิ่งไปวิ่งมาเท่านั้น
หลังจากแยกกับเฟยหลง หยางอี้ก็กลับมายังห้องพัก ชายหนุ่มเลือกที่จะนอนพักผ่อนเพื่อเตรียมความพร้อม สถานการณ์ภายในเมืองวันนี้เงียบสงบมากจนเกินไป แม้พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ผู้อาวุโสจะมาถึง แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถรับประกันได้เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะมาถึงตอนไหน หากตระกูลเจี่ยลงมือก่อนย่อมตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเป็นแน่ เพื่อความไม่ประมาทควรเตรียมร่างกายให้พร้อมที่สุด
“จริงสิ ข้าลืมถามท่านลุงไปได้อย่างไรว่าผู้อาวุโสมาจากสำนักใด”
หยางอี้พลันนึกขึ้นได้เรื่องนี้ เขาตั้งใจจะถามมาหลายวันแล้ว และเมื่อวานถือเป็นโอกาสดี แต่ตัวเขาดันมัวตกตะลึงกับเรื่องทักษะ วิถี 9 พยัคฆ์ จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท