เล่มที่ 1 บทที่ 7
แกร่ก แกร่ก
เสียงฝีเท้าเดินผ่านโพรงหญ้าออกมาก่อนจะปรากฏเป็นชายหนุ่มรูปร่างองอาจหน้าตาคมเข้ม...ในที่สุดหยางอี้ก็มาถึงจุดหมายแรกของเขา
“ถึงเสียที...เมืองพยัคฆ์เมฆาพิสุทธิ์!”
หยางอี้เร่งเดินไปเบื้องหน้า รอบด้านมีผู้คนเดินกันพลุกพล่าน เหล่าพ่อค้าต่างยืนต่อแถวเพื่อผ่านด่านตรวจเข้าเมืองตามทำเนียมปฏิบัติ ใช้เวลารอไม่นานก็มาถึง หยางอี้มองไปยังด้านหน้าประตูเมืองที่มีชายวัยกลางคนแต่งชุดทหารนั่งประจำจุดตรวจอยู่ก่อนจะเดินเข้าไป
“เจ้าชื่ออะไร มาจากไหน และมาเพื่อทำอะไรที่เมืองนี้”
“สวัสดีพี่ชาย ข้าน้อยนามว่าหยางอี้ เดินทางมาจากเมืองธาราสวรรค์เพื่อจะไปยังเมืองหลวง”
หัวหน้าทหารยามหัวเราะเสียงดัง ก่อนที่มันจะเหลือบมองไปเห็นแหวนมิติที่มือของหยางอี้ ซึ่งทำให้ดวงตาของมันหรี่เล็กลง อีกทั้งการแต่งตัวของหยางอี้นั้นยังดูเป็นลูกคนรวยอีกด้วย
“ฮ่าๆ เด็กน้อยเช่นเจ้า? จะเดินทางไปยังเมืองหลวงด้วยตัวคนเดียว? จงบอกความจริงมาอย่าได้มาเล่นลิ้นกับข้า!”
เมื่อเห็นท่าทีของหัวหน้าทหารยาม หยางอี้พลันขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีที่ต่างจากเดิม
“ที่ข้าได้กล่าวไปนั้นเป็นความจริง เหตุใดเจ้าจึงหาว่าข้าโกหก?”
“บัดซบ! เจ้าเด็กนี่หากเจ้ายังปากแข็ง ข้าจะส่งเจ้าเข้าคุกซะ!”
ด้วยวาจาที่หยางอี้กล่าวออกมานั้นทำให้ทหารยามโกรธเป็นอย่างมาก ตัวมันนั้นมีแต่คนเคารพ การจะผ่านเข้าเมืองนั้นทุกคนต้องก้มหัวให้มัน ดังนั้นมันจึงใช้อำนาจของมันรีดไถผู้คนที่ต้องการจะเข้าเมืองอยู่เป็นประจำ
“ฮ่าๆ เจ้าต้องการจะขู่ข้า? ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดข้าจะต้องเข้าคุก?”
หยางอี้กล่าวออกมาด้วยท่าทีเย็นชา สายตาของเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะจ้องมองไปยังชายในชุดทหารเบื้องหน้า
‘เจ้าเด็กอวดดีนี่...เดิมทีข้าเพียงจะรีดไถมันเล็กน้อย แต่เมื่อมันอยากลองดีกับข้านักก็ดี!’
“ที่ประตูเมืองแห่งนี้ข้าคืออำนาจสูงสุด ทุกอย่างถูกตัดสินโดยข้า! ทหารจับมัน!”
ทหารยามนับ 10 คนเริ่มวิ่งไปรุมล้อมหยางอี้ เป็นเหตุให้ผู้คนเข้ามามุงดูกันเป็นจำนวนมาก
“เฮอะ! เป็นเพียงทหารเฝ้าประตู แต่กลับใช้อำนาจขู่เข็ญประชาชน หากเจ้าเมืองแห่งนี้รู้เข้าข้าสงสัยเสียจริงว่ามันจะเป็นอย่างไร”
หยางอี้ยกยิ้มแล้วกล่าวออกมาเสียงดัง แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย อย่าลืมว่าสถานะของเขาเป็นเช่นไร? ถึงแม้ว่าเขาจะหมกตัวอยู่ในจวนมาหลายปี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าศักดิ์ศรีของเขาจะหายไป!
‘เจ้าเด็กนี่ หากข้าปล่อยให้มันรอดไปได้ ข้าต้องเดือดร้อนแน่’
“สามหาว! เจ้าเป็นใครจึงกล้ามากล่าววาจาโอหังเช่นนี้ ทหารจับมัน!”
ทันทีที่คำสั่งออกมาเหล่าทหารนับ 10 คน ต่างพุ่งเข้าไปเพื่อจับกุมหยางอี้ทันที แต่อย่างไรก็ตาม...เรื่องมันมิได้ง่ายดายเช่นนั้น!
ปัง!
อ้าก!
เพียงไม่นานเหล่าทหารยามต่างนอนร้องโอดโอยกันเป็นแถว ใบหน้าของหัวหน้าทหารยามตอนนี้พลันซีดเผือดก่อนจะเริ่มบิดเบี้ยว ตัวมันเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์จึงมองออกว่าหยางอี้นั้นอยู่ที่ระดับก่อกำเนิดลมปราณ! และด้วยอายุเพียงเท่านี้เขาจะต้องเป็นคุณชายมาจากตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน! แต่ตอนนี้ผู้คนต่างกำลังดูอยู่มากมาย หากมันยอมอ่อนข้อให้หยางอี้ จะทำให้มันสูญเสียอำนาจไป และนั่นจะเป็นการตัดหนทางหากินของมัน!
“ฮึ่ม! เจ้าเด็กอวดดี บังอาจมาทำร้ายทหารอีกทั้งขัดขืนการจับกุม...ตอนนี้โทษของเจ้านั้นมิใช่ขังคุกอีกต่อไป!”
เมื่อพูดจบมันก็เริ่มปลดปล่อยพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 5 ออกมาแล้วพุ่งเข้าหาหยางอี้ทันที ด้วยพลังของมันแน่นอนว่าการพ่ายแพ้ต่อเด็กหนุ่มเบื้องหน้าไม่อยู่ในความคิดแม้แต่น้อย!
ปัง!
หยางอี้ปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาแล้วโคจรหัตถ์หลอมตะวันเข้ารับมือทันที ด้วยระดับที่ห่างกันแน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความประมาทเลยแม้แต่น้อย
หัวหน้าทหารยามกระเด็นถอยหลังมาถึง 3 ก้าว ก่อนจะมองไปที่มือของมันอย่างไม่เชื่อสายตา ตัวมันนั้นอยู่สูงกว่าหยางอี้ถึง 3 ระดับ เหตุใดมันจึงพ่ายแพ้ในการปะทะกัน? มองไปที่ใบหน้าของมันที่มุมปากของหยางอี้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมา
“เฮอะ! มีฝีมือเพียงเท่านี้แต่ยังตั้งตนเป็นใหญ่ข่มเหงประชาชน?”
เมื่อได้ยินคำเย้ยหยันจากอีกฝ่ายใบหน้าของหัวหน้าทหารยามพลันบิดเบี้ยวดำทะมึนด้วยความโกรธ ความอับอายต่อหน้าผู้คนเช่นนี้มันไม่สามารถยอมรับได้!
“เดรัจฉาน หาที่ตาย!”
มันใช้กำลังทั้งหมดพุ่งเข้าหาหยางอี้ทันที หมายจะหักกระดูกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ บัดนี้มันไม่ออมมืออีกต่อไปแล้ว
หยางอี้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทุ่มสุดตัวก็เร่งโคจรพลังทั้งหมดเช่นกัน ยังไงเสียตัวเขานั้นก็มีระดับน้อยกว่าหากปะทะกันจริงๆเขาย่อมหนีไม่พ้นการบาดเจ็บแน่นอน แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าปะทะกันก็ได้มีเสียงของบางคนดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้! นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?”
ทั้งสองต่างชะงักก่อนจะหันไปทางต้นเสียง หัวหน้าทหารยามนั้นหน้าซีดเผือดทันที มันรีบหยุดมือและวิ่งเข้าไปหาผู้ที่กล่าวถาม ผิดกับหยางอี้ที่เมื่อเห็นใบหน้าของผู้เป็นต้นเสียงเขากลับบังเกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า...บัดนี้เขาชนะแล้ว!
“คารวะท่านแม่ทัพ!”
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้?”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หัวหน้าทหารยามจะทันได้กล่าวสิ่งใดออกมา น้ำเสียงเล็กใสของดรุณีน้อยด้านข้างชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าท่านแม่ทัพนั้นก็ดังขึ้นมาเสียก่อนด้วยความตกใจ
“นั่นมัน...ท่านพี่หยางอี้!”
เฟยหลง นามของชายวัยกลางคนซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองพยัคฆ์เมฆาพิสุทธิ์! เขาละสายตาจากหัวหน้าทหารยามก่อนจะหันมายังหญิงสาวตัวน้อยด้านข้าง นางมีใบหน้าที่งดงามแจ่มใสผิวขาวบริสุทธิ์ เพียงผู้คนมองมายังนางก็ราวกับว่าจะทำให้โลกใบนี้สดใส
“หยางอี้? เจ้าพูดอะไรเพ่ยเพ่ย?”
เฟยหลงเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย
“ปัดโธ่! ท่านพ่อ...นั่นไง! ท่านพี่หยางอี้ บุตรชายท่านเจ้าเมืองธาราสวรรค์!”
เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมาพร้อมกับชี้ไปยังหยางอี้ ก่อนที่นางจะวิ่งเข้าไปหาเขาทันที เฟยหลงตอนนี้เขากำลังยืนงงอยู่กับที่พร้อมกับมองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้า มิใช่ว่าเขาไม่รู้จักหยางอี้ แต่นั่นก็ 5 ปีที่แล้วที่เขาได้เจอกับหยางอี้ ซึ่งตอนนั้นทาง หยางจื่อส้งได้มาติดต่อทำการค้ากับเมืองพยัคฆ์เมฆาพิสุทธิ์ จึงพักอยู่ในจวนแม่ทัพ ทั้งสองพูดคุยกันถูกคอจึงกลายเป็นสหายกันในที่สุด
หลังจากนั้นหยางจื่อส้งก็เดินทางมาที่เมืองพยัคฆ์เมฆาพิสุทธิ์อีกหลายครั้งเพื่อทำการค้าระหว่างเมืองและครั้งล่าสุดก็เมื่อ 1 ปีก่อน สำหรับเรื่องที่หยางอี้สูญเสียลมปราณนั้นตัวเขาก็รู้และก็ทำให้เขาตกใจมิใช่น้อย เพราะตอนเจอกันครั้งแรกนั้นหยางอี้เป็นดั่งอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่พอจะสามารถเทียบเคียงในระดับเดียวกับอัจฉริยะในเมืองหลวง! และเมื่อได้เจอหยางอี้ในครานี้ซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ออกเดินทางมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังมีลมปราณระดับก่อกำเนิด จึงทำให้เขาจดจำหยางอี้มิได้ ถึงแม้ว่าหน้าตาจะมีเค้าลางอยู่บ้างก็ตาม
“เพ่ยเพ่ย เจ้าแน่ใจนะว่านั่นคือเจ้าหนูหยางอี้?”
เฟยหลงถามขึ้นมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ อย่างไรก็ตามเพ่ยเพ่ยเพียงกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ และวิ่งไปใกล้จะถึงตัวชายหนุ่มแล้ว
“โธ่ท่านพ่อ! ท่านพี่หยางอี้นั้นเป็นรักแรกของข้าเหตุใดข้าจะจำไม่ได้? สงสัยท่านคงจะแก่ไปแล้วจริงๆ ถึงได้ความจำไม่ค่อยดีเช่นนี้”
ทางฝ่ายเฟยหลงนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก็ได้แต่เอามือกุมขมับกับนิสัยของนาง ภายในเมืองนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เขาเกรงกลัวซึ่งหนึ่งคือฮูหยินของเขาและอีกคนคือเพ่ยเพ่ย!
“มิได้เจอกันนานเจ้าโตเป็นสาวแล้วเพ่ยเพ่ย”
หยางอี้พลันกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ฮี่ๆ ท่านพี่หยางอี้ หากข้าโตขึ้นแล้ว...เมื่อไหร่จะได้เป็นภรรยาของท่านเล่า”
เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด ทำให้หยางอี้เพียงยิ้มเจื่อนๆออกมาก่อนจะมองไปยังเฟยหลงที่กำลังเดินพึมพำอะไรบางอย่างขณะเข้ามาหาตน
“เฮ้อ หมดกันๆชื่อเสียงของข้า…”
“คารวะท่านลุงเฟย”
“เฮอะ! เจ้าหลานตัวแสบ ข้านึกว่าเจ้าจะลืมไปเสียแล้วว่าข้าเป็นลุงเจ้า ถึงได้ไม่ยอมบอกข้าแต่แรก”
เฟยหลงกล่าวออกมาก่อนจะมองไปยังเพ่ยเพ่ยที่ตอนนี้ได้ไปยืนเกาะแขนหยางอี้เสียแล้วทำให้เขาได้แต่ส่ายหัวออกมา
“ฮ่าๆ ท่านลุง ข้าต้องขออภัยด้วย แต่นั่นเป็นท่านเองที่จำหลานชายคนนี้ไม่ได้”
หยางอี้กล่าวออกไปอย่างยิ้มแย้มทำให้เฟยหลงหน้าร้อนผ่าวก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความเคอะเขิน
“ช่างเถอะๆ เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป เดี๋ยวค่อยไปคุยกันที่จวนข้า เพ่ยเพ่ยเจ้าบอกพ่อว่าหิวมิใช่รึ?”
เฟยหลงกล่าวออกพร้อมส่งสายตาปรามบุตรสาวของตน เมื่อเห็นเช่นนั้นทั้งหยางอี้และเพ่ยเพ่ยก็พลันหัวเราะออกมา ทั้งสามคนต่างมีความสุขที่ได้เจอกัน จนลืมไปเลยว่าตอนนี้ยังมีอีกคนที่ยืนหน้าซีดราวกับศพอยู่
“จริงสิ นี่ข้าลืมเจ้าไปได้อย่างไร”
หยางอี้มองไปยังซูหมิงหัวหน้าทหารยามที่พยายามจะทำตัวเป็นดั่งก้อนหินข้างทางและภาวนามิให้พวกเขาจำมันได้ ตัวมันนั้นอยากจะให้ทั้งสามมีความสุขจนลืมมันไปเสียจริงๆ
“อ่า...คุณชาย ข้ามิรู้จริงๆว่าท่านเป็นใคร ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยที่โง่เขลามีตาหามีแววไม่”
ซูหมิงพลันเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อม ใบหน้าจวบจนนิ้วมือของมันนั้นตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด
“เฮอะ หากรู้ว่าข้าเป็นใครแล้วอย่างไร หากเป็นชาวบ้านธรรมดาจะทำเช่นนั้นได้เรอะ”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างเย็นชายามที่จ้องมองไปยังซูหมิง
“ม ม ไม่แน่นอนขอรับ”
ซูหมิงกล่าวออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจของมันจนหนวดสั่น
“เฮอะ! ท่านพ่อจับมันไปประหารจะได้จบๆ ข้าอยากรีบกลับไปทานข้าวกับท่านพี่หยางอี้แล้ว”
เพ่ยเพ่ยกล่าวตัดบทออกมาอย่างรำคาญ นั่นทำให้ซูหมิงหน้าซีดขึ้นไปอีก คนทั้งเมืองแห่งนี้ต่างรู้ดีว่าคำพูดของฮูหยินและบุตรสาวของท่านแม่ทัพนั้นเป็นรองเพียงท่านเจ้าเมืองเท่านั้น!
“เพ่ยเพ่ย พ่อจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? เอาเป็นว่าพวกเจ้าจับซูหมิงไปขังไว้ก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยตัดสินโทษ เจ้าว่าอย่างไรหลานชาย?”
เฟยหลงกล่าวออกมาพร้อมกับมองไปยังหยางอี้
“เช่นนั้นก็ได้ขอรับอย่างไรเสียข้านั้นก็เป็นเพียงคนนอก”
หลังจากจัดการธุระเสร็จ ไม่นานทั้งสามก็มุ่งหน้ากลับจวนแม่ทัพทันที
“เพ่ยเพ่ย เจ้าพาหยางอี้ไปรอในห้องโถงก่อน ข้าขอตัวไปจัดการธุระสักครู่ แล้วจะไปบอกแม่เจ้าให้ทำอาหารต้อนรับเจ้าหนูนี่”
เมื่อแยกกันเพ่ยเพ่ยก็พาหยางอี้ไปยังห้องโถง ทั้งสองต่างคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนทางด้านเฟยหลงตอนนี้กำลังคุยอยู่กับฮูหยินของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฮูหยิน ท่านคิดว่าเราต้องแจ้งท่านเจ้าเมืองหรือไม่?”
“ท่านพี่อย่างไรเสียเราก็ต้องแจ้งไป ท่านเจ้าเมืองนั้นก็รักหยางอี้ดั่งบุตรเช่นกัน หากมารู้ว่าเราปิดบังจะกลายเป็นที่ครหาผิดใจเอาได้”
“เฮ้อ...ข้าไม่อยากจะคิดถึงเรื่องหลังจากนี้เลย...เอาเถอะให้เจ้าหนูหยางอี้รับมือเอาแล้วกัน ทหาร! เจ้าจงไปยังจวนท่านเจ้าเมืองเพื่อแจ้งให้ท่านรู้ว่าตอนนี้ คุณชายหยางอี้จากเมืองธาราสวรรค์ได้พักอยู่ที่จวนของเรา!”
เฟยหลงพลันนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อน ที่หยางจื่อส้งนำหยางอี้เดินทางมายังเมืองนี้บ่อยๆก่อนจะส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูท่าครั้งนี้จวนแม่ทัพคงต้องถึงทีวุ่นวายอีกกระมัง
ณ ห้องโถงจวนแม่ทัพเมืองพยัคฆ์เมฆาพิสุทธิ์
“ท่านพี่หยางอี้ กินอันนี้สิเจ้าคะ ท่านแม่ลงมือทำเองเลยนะ”
เพ่ยเพ่ยตักอาหารให้หยางอี้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ก่อนจะส่งสายตาไปให้กับชายหนุ่ม หยางอี้มองไปยังเฟยหลงและฮูหยินที่ทำเป็นไม่สนใจเขา ก็เข้าใจได้ทันทีว่าทั้งสองไม่คิดจะช่วยเขาเป็นแน่ สุดท้ายชายหนุ่มก็ทำได้เพียงเบี่ยงเบนถามเรื่องอื่นแทน
“เพ่ยเพ่ย ตอนนี้ลมปราณเจ้าอยู่ที่ระดับใดแล้ว?”
“ฮี่ๆ ข้านั้นมาถึงรวบรวมลมปราณขั้นที่ 8 แล้ว!”
“อืม…ถือว่าดี เจ้านั้นอายุเพียง 14 ก็มาถึงระดับนี้ได้แล้ว เก่งมากเพ่ยเพ่ย”
หยางอี้กล่าวชมออกมา แต่เมื่อมองไปยังสายตาของเพ่ยพ่ยแล้ว เขาพลันรู้สึกหลังเย็นเฉียบทันที
“ใช่แล้ว...ข้าเก่งขึ้นขนาดนี้แล้วท่านจะไม่มีรางวัลให้ข้าสักหน่อยหรือ จริงไหมท่านพ่อ”
นางเน้นเสียงแล้วมองไปยังเฟยหลงซึ่งกำลังนั่งคีบอาหารรับประทานอยู่เงียบๆ ทำให้เฟยหลงพลันสะดุ้งก่อนจะหันมายิ้มเหยเกให้กับหยางอี้
“หลานชาย เจ้าก็ให้รางวัลเล็กๆน้อยๆแก่นางเสียหน่อย 5 ปีที่ผ่านมานางก็ตั้งใจฝึกเป็นอย่างดี”
“ใช่ๆ ท่านพ่อกล่าวได้ถูกต้อง! ข้ารักท่านที่สุดเลยท่านพ่อ!”
เพ่ยเพ่ยรีบกล่าวออกมาด้วยเสียงใสแจ๋ว เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหยางอี้ก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“เฮ้อ...แล้วเจ้าอยากได้อะไรเป็นรางวัลล่ะ?”
“แต่งงานกับข้า!”
พรวด! พรวด!
ทั้งหยางอี้และเฟยหลงที่กำลังจิบชาอยู่ พลันสำลักพ่นชาออกมาจากปากทันที ใครจะไปคิดว่าสาวน้อยคนนี้จะมีความกล้าถึงขนาดกล่าวเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผย
“จ เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
“ข้าบอกว่าให้ท่านแต่งงานกับข้า!”
“เดี๋ยวเถอะเพ่ยเพ่ย! เจ้าอายุเพียง 14 แถมยังเป็นสตรี เหตุใดถึงได้พูดเช่นนี้?”
เป็นฮูหยินที่กล่าวออกมา นางนั้นเหนื่อยใจกับนิสัยลูกสาวคนนี้เสียจริง แต่สุดท้ายก็เป็นพวกนางเองที่เลี้ยงดูเพ่ยเพ่ย และตามใจจนกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเช่นนี้...
“ใช่แล้วเพ่ยเพ่ย เจ้าเป็นสตรี คราวหลังอย่าได้กล่าววาจาเช่นนี้อีก! อีกอย่างพ่อว่ารอให้เจ้าโตกว่านี้ก่อนดีกว่าค่อยมาคิดถึงเรื่องนี้”
ด้วยคำพูดของบิดามารดาทำให้นางเงียบลงไป ก่อนจะบุ้ยปากเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำออกมาอย่างขัดใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เหตุใดท่านทั้งสองจึงขัดข้าเช่นนี้ พวกท่านไม่อยากได้ลูกเขยหรือไง?”
“เฮ้อ...เพ่ยเพ่ย ที่ท่านทั้งสองพูดมาก็ถูกแล้ว ตอนนี้เจ้ายังเด็กและข้าเองก็ยังอยากออกเดินทางฝึกยุทธ์ไปทั่วโลกหล้า ดังนั้นข้ายังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงานหรอก”
หยางอี้พลันกล่าวออกมาอย่างเหนื่อยใจ ตัวเขานั้นรักและเอ็นดูนางอย่างมาก ความสนิทสนมก็เรียกได้ว่าไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามด้วยการถูกเลี้ยงแบบตามใจมาเช่นนี้ รวมกับนิสัยที่ติดฮูหยินมาเต็มๆ ทำให้ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรนางก็ไม่ได้สนใจ บุกรุกเข้าหาอย่างเดียว จนสุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้
“ฮะ ฮือ”
หยางอี้มองไปยังเพ่ยเพ่ยที่กำลังจะร้องไห้ออกมา แล้วก็ถอนหายใจ จะโทษนางก็มิได้ เพ่ยเพ่ยนั้นเป็นคุณหนูเอาแต่ใจที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจเสียทุกอย่าง คงได้แต่ต้องค่อยๆแก้ไขกันไป
“อย่าร้องไห้นะเพ่ยเพ่ย เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปเดินเล่นกับเจ้าทั้งวันเลยเป็นไง?”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ยอมเสียเวลาไปหนึ่งวันยังดีกว่าปล่อยให้ร้องไห้ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ต้องไปหาซื้อเสบียงเพิ่มอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ได้เจอกับนางนานมากแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่านางแกล้งทำท่าไปอย่างนั้น แต่เขาก็ตั้งใจจะใช้เวลากับนางสักเล็กน้อยก่อนที่จะออกเดินทาง
“จริงนะ! ท่านพูดแล้วนะห้ามคืนคำนะ”
บัดนี้ใบหน้าอันน่ารักของเด็กสาวพลันเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งทันที
“จริงสิ! เรามาทานอาหารกันต่อดีกว่า”
หยางอี้กล่าวตัดบทออกมา ก่อนจะเริ่มคีบอาหารเข้าปากและสนทนาเรื่องต่างๆกับเฟยหลง เวลาผ่านไป บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยบรรยากาศอันอบอุ่นทั้งเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
“อ้ะ! ข้าคิดออกแล้ว! ท่านพี่หยางอี้หากวันหนึ่งข้าแข็งแกร่งพอจะเดินทางไปกับท่านได้ ท่านต้องสัญญาว่าจะแต่งงานกับข้านะ”
เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมา ทำให้หยางอี้พลันคิ้วกระตุก นึกถึงความวุ่นวายในอนาคตก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามเขามิได้กล่าวสิ่งใดออกมาทันที แต่มองไปยังใบหน้าของนางแล้วครุ่นคิดบางอย่าง เด็กสาวตัวน้อยคนนี้นับว่ามีพรสวรรค์อย่างแท้จริงจะเสียก็แต่เกิดมามีพ่อแม่ตามใจจึงเที่ยวเล่นซะเป็นส่วนใหญ่ถ้าหากทำให้นางหันมาตั้งใจฝึกฝนได้คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย!
“เอาไว้ถึงวันนั้นแล้วเราค่อยมาคุยกัน!”
จากนั้นทั้งสี่ก็ทานอาหารอย่างสนุกสนาน พูดคุยถึงเรื่องต่างๆ เฟยหลงก็มิลืมถามถึงสถานการณ์ในเมืองธาราสวรรค์ และเมื่อได้ฟังความจากหยางอี้ ทุกคนต่างตกตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
อีกสถานที่หนึ่งในเวลาเดียวกัน...คุกที่ใช้ขังนักโทษของเมืองพยัคฆ์เมฆาในห้องขังห้องหนึ่งปรากฏร่างของซูหมิงกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้อง ใบหน้าของมันนั้นต่างบิดเบี้ยวซีดขาวราวซากศพ ตัวมันในตอนนี้ได้แต่สั่นกลัวมิอาจรู้ถึงชะตากรรมในวันพรุ่งนี้
“ฮ่าๆ ท่านหัวหน้าทหารยามผู้ยิ่งใหญ่เหตุใดท่านถึงได้มาอยู่ในคุกสกปรกเช่นนี้?”
อยู่ๆก็มีเสียงลึกลับดังขึ้นมา ทำให้ซูหมิงสะดุ้งตื่นจากความคิดวนเวียนภายในหัว และกล่าวออกมาอย่างตกใจ
“ค ใครกัน นั่นใคร?”
“ฮ่าๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร เพียงแต่...ข้ามีข้อเสนอมาให้เจ้า!”
“ข้อเสนอ? อย่ามาล้อข้าเล่น ตัวข้าจะเป็นเช่นไรยังมิรู้ เจ้าจะมาเสนออะไร อยู่ในนี้ข้าจะทำอะไรได้?”
ซูหมิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นี่เป็นเรื่องจริงที่แม้แต่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้ชะตาชีวิตที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ความตาย...คือสิ่งที่น่ากลัวเสมอ!
“ฮ่าๆ อย่าได้ด่วนสรุปสิ หากข้อเสนอที่ข้าว่านั้นจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ได้เจ้าจะว่าอย่างไร?”
เสียงลึกลับยังคงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ออกจากที่นี่’ นั่นทำให้หัวใจของซูหมิงพลันเต้นถี่ยิบทันทีราวกับแสงแห่งความหวังที่ส่องลงมา
“ท ท่านว่าอย่างไรนะ ออกจากที่นี่? หากเป็นความจริงข้าจะยินยอมทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง!”
“ฮ่าๆๆ ดี !”