ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 บทที่ 5
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 บทที่ 7

เล่มที่ 1 บทที่ 6


  

หลังจากกลับมาถึงจวน หยางอี้จัดแจงทุกอย่างที่ต้องการก่อนจะเข้าไปพบกับหยางจื่อส้ง เพื่อให้เตรียมสิ่งของต่างๆให้แก่เขา หลังจากเสร็จธุระแล้วโดยไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เขาเริ่มเข้าสู่มิติพิเศษอีกครั้ง หลังจากจบการประลองด้วยการที่ฝืนใช้หัตถ์หลอมนภาทำให้ตอนนี้เส้นชีพจรที่แขนขวาของหยางอี้ถูกขยายจนสามารถรองรับพลังปราณได้แล้ว หากเขาฝึกอีกเพียงไม่นานก็จะสามารถบรรลุถึงระดับหลอมนภาแท้จริงได้!

“เวลายังพอมี...ข้าต้องไปให้ถึงระดับหลอมนภาให้ได้! มันจะช่วยให้ข้าสามารถรับประกันความปลอดภัยได้เมื่อเข้าไปในส่วนลึกของป่าธาราสวรรค์!”

ป่าธาราสวรรค์นั้นตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง โดยรอบๆป่านั้นมีเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำอยู่เล็กน้อยและจุดมุ่งหมายของหยางอี้ในเวลานี้คือส่วนกลางของป่าธาราสวรรค์ซึ่งเป็นรังของหมาป่าทมิฬ!

หมาป่าทมิฬเป็นสัตว์อสูรระดับก่อกำเนิดขั้น 7 – 9  ลำตัวขนาดเท่ากับวัวโตเต็มวัย และการจะจัดการมันนั้นมิใช่เรื่องยาก เพียงแต่มันอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม อย่างน้อยกลุ่มหนึ่งจะต้องมีหมาป่าทมิฬ 5 ตัว นั่นคือสาเหตุที่ทำให้หยางอี้จำต้องเร่งไปให้ถึงระดับหลอมนภา

การจัดการหมาป่าทมิฬนั้นต้องรวดเร็วและเฉียบขาด มิเช่นนั้นหากปล่อยให้มันรอดไปได้หรือต่อสู้นานเกินไป มันจะเรียกฝูงหมาป่าบริเวณนั้นมาช่วย และนั่นถือเป็นปัญหาที่หยางอี้จะต้องคิดให้รอบครอบ เพราะจำนวนหมาป่าทมิฬภายในป่าธาราสวรรค์นั้นมีมากกว่า 500 ตัว!

“ท่านพ่อ ข้าจะรีบออกกลับมาก่อน 10 วัน”

“อืม...เจ้าอย่าได้ฝืนมากนัก หากไม่ไหวก็จงรีบถอยกลับมา”

ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อย และหลังจากนั้นไม่นานหยางอี้ก็ออกจากเมืองเพื่อมุ่งตรงสู่ป่าธาราสวรรค์ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามด้วยระยะทางเช่นนี้เขาก็มาปรากฏตัวที่ชายป่า  เมื่อมองโดยรอบนั้นมีสัตว์อสูรระดับต่ำปรากฏตัวให้เห็นบ้างเป็นบางครั้ง

ชายหนุ่มมิได้สนใจเหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำเลยแม้แต่น้อย เขาดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เร่งมุ่งหน้าเข้าสู่กลางป่าเพื่อหาที่พักโดยเร็ว เพื่อป้องกันสถานการณ์เลวร้ายที่จะเกิดขึ้น เพราะเมื่อตกกลางคืนเข้าจะเป็นเวลาหาอาหารของเหล่าสัตว์อสูร ดังนั้นการจะอยู่ในที่โล่งแจ้งนั้นมิใช่เรื่องที่ดีนัก

ไม่นานหยางอี้ก็พบถ้ำเล็กๆที่ด้านหนึ่งของป่า ภายในถ้ำเต็มไปด้วยซากโครงกระดูกวางเกลื่อนกลาด ดูเหมือนว่าถ้ำแห่งนี้จะเคยเป็นที่อยู่ของสัตว์อสูรมาก่อน ชายหนุ่มเข้าไปสำรวจภายในถ้ำด้วยความระมัดระวัง จนมั่นใจแล้วจึงนั่งลงบนแท่นหินและเริ่มโคจรลมปราณ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด!

ภายในป่าธาราสวรรค์มีบรรยากาศที่สงบเป็นอย่างมาก ราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า...

โบร๋ว ......

หยางอี้ที่นั่งอยู่ภายในถ้ำพลันลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเย็นชาราวกับนี่คือสิ่งที่เขากำลังรออยู่เช่นกัน...เสียงระฆังแห่งการออกล่าได้ดังขึ้นแล้ว!

หยางอี้เดินออกจากถ้ำก่อนจะจ้องมองไปยังเบื้องหน้าที่มีหมาป่าตัวขนาดเท่าวัวโตเต็มวัยกลุ่มหนึ่งยืนแยกเขี้ยวใส่เขาอยู่ ขนของมันมีสีดำสนิท กรงเล็บแหลมคมยิ่งกว่าใบมีด ดวงตาที่มีสีแดงเลือดของพวกมันจ้องมองมายังชายหนุ่มที่เป็นเหยื่อของมันอย่างไม่ละสายตา

“สามตัวอย่างนั้นหรือ...ดูเหมือนจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลว”

แผนของหยางอี้นั้นคือการเลือกสถานที่ที่ไม่เปิดโล่ง เพราะหมาป่าทมิฬนั้นมักจะออกล่าเป็นกลุ่มและด้วยเหตุนี้หยางอี้จึงเลือกถ้ำเป็นที่ปักหลัก เพราะจะได้ทุ่มสมาธิไปยังเบื้องหน้าเท่านั้น มิต้องมาคอยกังวลด้านหลัง และก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตกดิน ชายหนุ่มได้ออกมาเทเลือดไก่ที่ได้เตรียมไว้ก่อนออกจากเมืองที่หน้าถ้ำ เพื่อเป็นการล่อหมาป่าทมิฬที่มีความสามารถในการตามรอยกลิ่นเป็นเลิศ

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะเห็นข้าเป็นอาหารชั้นเลิศเลยสินะ?  มาดูกันว่าภายใน 10 วันนี้ข้าจะสังหารพวกเจ้าได้กี่ตัว!”

เวลานี้คำพูดเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ สัญญาณแห่งการต่อสู้เริ่มขึ้น หมาป่าทมิฬทั้งสามตัวพุ่งเข้าหาชายหนุ่มทันที หยางอี้เร่งโคจรพลังปราณใช้ออกด้วยหัตถ์หลอมนภาต้านรับการโจมตีของพวกมัน

ปัง! ปัง! ปัง!

หมาป่าทมิฬทั้ง 3 ตัวกระเด็นออกไปกว่า 5 เมตร ก่อนที่ร่างของมันจะกระตุกได้ไม่นานก็นอนแน่นิ่งไป ด้วยการโจมตีเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น!

“พลังทำลายของระดับหลอมนภานั้นช่างรุนแรงยิ่งนัก เพียงหนึ่งฝ่ามือก็สามารถสังหารพวกมันได้อย่างง่ายดาย!”

แกรก แกรก

เสียงเดินของสัตว์อสูรดังมาจากโพรงหญ้าเบื้องหน้าถ้ำที่หยางอี้อยู่ ที่ผ่านมาเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ด้วยจำนวนหมาป่าทมิฬเพียงสามตัวที่หยางอี้สังหารไปนั้นไม่นับเป็นอะไรได้! ร่างหมาป่าทมิฬกว่า 10 ตัวค่อยๆเดินออกมาให้เห็น  ด้วยกลิ่นคาวเลือดของศพหมาป่าทมิฬก่อนหน้านี้นับเป็นตัวล่อชั้นดี...มันดีจนหยางอี้คิดว่ามันมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ

วันเวลาผ่านไปราวกับสายน้ำ ในขณะที่การต่อสู้ระหว่างคนและหมาป่า คราบโลหิตและเศษซากศพกองพะเนินกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณหน้าถ้ำ ใช้เวลาเก้าวันในสถานที่แห่งนี้ หยางอี้ไม่รู้ว่าเขาสังหารหมาป่าทมิฬไปมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามผลประโยชน์ที่เขาได้รับนั้นเรียกได้ว่ามหาศาล!

นับตั้งแต่ที่หยางอี้เข้ามาในป่าธาราสวรรค์จนถึงตอนนี้ผ่านไปสิบวันแล้วภายในถ้ำร่างของเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนแท่นหิน ทั่วทั้งตัวเขานั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด เสื้อผ้าขาดรุ่ยเสียจนไม่สามารถปกปิดรอยแผลบนร่างกายได้มิด ที่เบื้องหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยดวงจิตสัตว์อสูรกองอยู่มากมาย พลังปราณภายในดวงจิตสัตว์อสูรเหล่านี้หลั่งไหลเข้าไปยังร่างของชายหนุ่มอย่างต่อเนื่องผ่านการดูดซับ!

ปัง!

ก่อกำเนิดลมปราณขั้นที่ 1!

เปลือกตาของหยางอี้ค่อยๆเปิดออกก่อนจะเผยแววยินดีออกมา ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกมา

“ข้าใช้ดวงจิตสัตว์อสูรไปกว่า 50 ชิ้นในการทะลวงมาสู่ระดับก่อกำเนิด อาจเป็นเพราะมันมีระดับไม่สูงมากนักจึงต้องใช้จำนวนมากขนาดนี้”

หยางอี้มองไปยังกองดวงจิตของหมาป่าทมิฬด้านหน้า ใน 9 วันที่ผ่านมาเขาได้สังหารหมาป่าทมิฬไปกว่า 300 ตัว โดยใช้เวลาทั้งคืนในการต่อสู้กับหมาป่าทมิฬที่หลั่งไหลเข้ามาเสียจนแทบจะไม่มีเวลาพัก!

หยางอี้ลุกขึ้นก่อนจะสะบัดมือหนึ่งเบาๆทำให้คราบเลือดและสิ่งสกปรกพลันหายไป  บัดนี้เขาอยู่ในระดับก่อกำเนิดแล้ว จึงสามารถใช้พลังปราณภายในร่างกำจัดสิ่งแปลกปลอมบนร่างกายออกไปได้ และยังสามารถอยู่ได้โดยมิต้องกินต้องนอนเป็นเวลาหลายวัน

“ใกล้จะได้เวลาตัดสินกับเจ้านั่นแล้ว”

เขากล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเดินออกมายังหน้าถ้ำ  ภาพเบื้องหน้าของชายหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยซากศพของเหล่าหมาป่าทมิฬกว่า 300 ตัว และใช้เวลายืนรอไม่นานก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

พรึ่บ!

ชายหนุ่มมองไปยังเบื้องหน้า ปรากฏร่างหมาป่าขนสีดำสนิท ดวงตาแดงฉาน ขนาดของมันนั้นใหญ่กว่าหมาป่าทมิฬตัวอื่นๆถึง 3 เท่า ทั่วทั้งร่างของมันต่างเต็มไปด้วยบาดแผลที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักหน่วง และมันคือ...ราชาของเหล่าหมาป่าทมิฬ!

ราชาหมาป่าทมิฬนั้นต่อสู้กับหยางอี้มากว่า 3 วันแล้ว ตัวมันนั้นอาศัยอยู่ในส่วนลึกสุดของป่าธาราสวรรค์ และเมื่อหยางอี้เข้ามาภายในป่าได้ 6 วัน จำนวนหมาป่าทมิฬต่างลดลงเป็นอย่างมาก และด้วยความสงสัยมันจึงออกมาดู ซึ่งภาพที่มันเห็นนั้นคือเหล่าลูกหลานของมันถูกหยางอี้สังหารอย่างโหดเหี้ยม การกระทำนี้ทำให้มันโกรธเป็นอย่างมากก่อนที่มันจะกระโจนเข้าต่อสู้กับหยางอี้หมายจะสังหารชายหนุ่มให้ตกตายไปสิ้น ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของหยางอี้ ทำให้การต่อสู้จบลงด้วยทั้งสองต่างบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า

เหล่าสัตว์อสูรนั้นยิ่งมีระดับสูงนั่นหมายถึงมันมีอายุมากด้วยเช่นกัน ยิ่งอยู่มานานพวกมันยิ่งมีสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น และเมื่อมันเห็นว่าไม่สามารถสังหารชายหนุ่มได้ อีกทั้งตัวมันก็บาดเจ็บ มันจึงเลือกถอยกลับไปแทนที่จะต่อสู้เป็นตายกับศัตรู ส่วนด้านหยางอี้นั้นก็บาดเจ็บไม่น้อยไปกว่ามัน เขาจึงมิได้ไล่ตามเพื่อไปสังหารมันเช่นกัน

แม้ตัวราชาหมาป่าทมิฬจะไม่สามารถสังหารหยางอี้ได้ แต่ด้วยความคั่งแค้นที่หยางอี้สังหารลูกหลานมันไปเป็นจำนวนมากนั้น ทำให้มันกลับมายังถ้ำแห่งนี้ทุกวันเพื่อต่อสู้กับหยางอี้ และทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อมากว่า 3 วันแล้ว และนั่นทำให้บัดนี้ทั่วทั้งป่าธาราสวรรค์เหลือหมาป่าทมิฬเพียงตัวเดียว!

เมื่อเผชิญหน้ากันกับศัตรูคู่อาฆาต ทั้งสองต่างจ้องมองกันและกันอย่างไม่วางตา จนกระทั่งแสงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้าอันเป็นสัญญาณว่า...เวลาของการตัดสินมาถึงแล้ว!

โฮก!

เสียงคำรามดังสนั่นไปทั่วทั้งป่า ทั้งสองพลันกลายเป็นเงาดำสองสายพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง

ปัง! ปัง! ปัง!

การต่อสู้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงอีกครั้ง เพื่อบ่งบอกว่าเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่!

แฮ่ก ๆ

“สัตว์อสูรระดับปราณตั้งจิตช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก หากมันตัดสินใจต่อสู้เป็นตายกับข้าก่อนที่ข้าจะทะลวงระดับ ไม่แน่ว่าจะเป็นข้าที่เป็นฝ่าย...ตกตายเสียเอง!”

หยางอี้พูดขึ้นขณะมองไปยังร่างของราชาหมาป่าทมิฬที่นอนหายใจรวยรินอยู่ แม้มันใกล้จะถึงจุดจบของชีวิตแล้ว แต่สายตาของมันยังคงจ้องมองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยความเกลียดชัง ชายหนุ่มผู้นี้สังหารเหล่าลูกหลานของมันจนหมด และบัดนี้ตัวมันก็กำลังจะถูกสังหารด้วยเช่นกัน!

หยางอี้เดินไปยังร่างของมันอย่างช้าๆก่อนที่เขาจะเริ่มโคจรลมปราณเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่และซัดเข้าไปยังลำตัวของราชาหมาป่าทมิฬอย่างสุดกำลัง

ปัง!

***

ณ จวนเจ้าเมือง ที่หน้าทางเข้ามีทหารยามยืนอยู่สองคน ทั้งสองต่างยืนคุยกันตามปกติ ตั้งแต่ตระกูลห่าวถูกกำจัดไป ภายในเมืองธาราสวรรค์ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงหรือการกระทบกระทั่งกันของตระกูลใหญ่อีกเลย ทำให้เขาทั้งสองที่มีหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้าจวนเจ้าเมืองนั้นว่างงานไปโดยทันที

ยืนคุยกันได้ไม่นาน ทหารยามคนหนึ่งก็สังเกตเห็นเงาบุรุษผู้หนึ่งกำลังมุ่งตรงมาทางจวน บุรุษผู้นั้นแต่งตัวมอซอเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย เมื่อเข้ามาใกล้ในระยะสายตา มันทั้งสองก็จดจำได้ทันทีว่าคือผู้ใด

“นายน้อยกลับมาแล้ว เจ้ารีบไปรายงานท่านเจ้าเมือง”

ทหารยามคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น ก่อนที่อีกคนจะเร่งก้าวเข้าไปในจวน ไม่นานหยางอี้ก็เดินมาถึง เบื้องหน้าเขานั้นเต็มไปด้วยผู้คนตระกูลหยางมารอต้อนรับ ที่ด้านหน้าสุดนั้นจะเป็นใครไปเสียมิได้นอกจากหยางจื่อส้งที่กำลังยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นพลันทำให้ภายในหัวใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอบอุ่น

“ข้ากลับมาแล้วท่านพ่อ”

หยางจื่อส้งมองไปยังร่างบุตรชายของเขา แม้ภายนอกจะดูไม่ดีนัก แต่ร่างกายของหยางอี้ที่มองเห็นได้จากการที่เสื้อผ้าขาดวิ่นนั้นช่างดูเปล่งปลั่งสมบูรณ์ยิ่งนัก ซึ่งแน่นอนว่าหยางอี้ต้องประสบความสำเร็จจากป่าธาราสวรรค์!

“ฮ่าๆๆ อี้เอ๋อร์ ดูเหมือนป่าธาราสวรรค์นั้นจะมิเพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว เจ้ารีบกลับไปชำระกายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ข้าจะให้คนทำอาหารรอเจ้าที่ห้องโถง”

เมื่อแยกจากกัน หยางอี้ก็เดินกลับห้องเพื่อชำระกายเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แม้ร่างกายจะสามารถใช้ลมปราณในการชำระได้ แต่ความรู้สึกยามนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่นนั้นไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย

หลังจากออกมาจากห้อง หยางอี้ก็มุ่งหน้าไปยังห้องโถงทันที ที่โต๊ะอาหารภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยอาหารมากมายส่งกลิ่นหอมออกมา มันทำให้หยางอี้ที่ 10 วันมานี้กินแต่อาหารแห้งที่เตรียมไปเห็นแล้วต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว ทั้งสองพ่อลูกต่างนั่งกินอาหารและพูดคุยกันอย่างมีความสุข

“เจ้านั้นจะออกเดินทางเมื่อไหร่?”

“อีก 2 วันขอรับท่านพ่อ”

“อืม...นี่เป็นของขวัญที่พ่อเตรียมไว้ให้เจ้า”

หยางจื่อส้งพูดขึ้นพร้อมหยิบกล่องไม้สีดำออกมาแล้วส่งให้กับหยางอี้ เมื่อเปิดออก ภายในกล่องนั้นมีแหวนอยู่วงหนึ่งที่ดูเรียบง่าย ทว่าเมื่อเห็นมันหยางอี้พลันหัวใจสั่นสะท้านทันที

“แหวนมิติระดับต่ำ!”

แหวนมิติระดับต่ำนั้นเป็นสิ่งของที่คนธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึง ด้านในของมันนั้นมีขนาดพอๆกับห้องห้องหนึ่ง! และถึงแม้มันจะเป็นแหวนระดับต่ำ แต่ราคาของมันนั้นมิได้ต่ำตามชื่อเลยแม้แต่น้อย ราคาของมันแพงถึง 100,000 เหรียญทอง และนั่นแทบจะเป็นทรัพย์สินของจวนเจ้าเมืองเลยก็ว่าได้

หยางอี้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้เขาจะดีใจแต่หากต้องใช้ทรัพย์สมบัติของตระกูลทั้งหมดในการซื้อแหวนวงนี้มา เขาก็คิดว่ามันไม่สมควรนัก เมื่อเห็นใบหน้าของบุตรชาย หยางจื่อส้งพลันหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ อี้เอ๋อร์ อย่าได้คิดมาก นั่นมิใช่ซื้อมาจากเงินของตระกูลเรา แต่มันเป็นของขวัญที่มอบให้เจ้าจากตระกูลห่าว!”

หยางอี้พลันเข้าใจได้ทันทีว่าที่มาของแหวนวงนี้เป็นอย่างไร ตระกูลห่าวนั้นร่ำรวยพอๆกับกับตระกูลหยาง และการที่ตระกูลห่าวโดนกำจัดไปทำให้ทรัพย์สินทุกอย่างตกเป็นของตระกูลหยาง

“ขอบคุณท่านพ่อ”

“ฮ่าๆ อย่าได้ใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ นี่เป็นจดหมายจากหวังจือส่งมาถึงเจ้าเพราะตัวนางนั้นมิอาจมาส่งเจ้าได้”

หยางจื่อส้งส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้กับหยางอี้ ชายหนุ่มรับมาแต่ยังมิได้รีบเปิดอ่านเขาเก็บใส่ไว้ในแหวนมิติที่บัดนี้ถูกสวมไว้ที่นิ้วมือของเขาแล้ว และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จก่อนจะแยกจากกัน หยางจื่อส้งนั้นบอกให้อยางอี้ตามเขาไปที่ห้องนอน เพราะมีบางสิ่งที่ต้องการจะมอบให้

แม้หยางอี้จะรู้สึกสงสัย แต่ก็มิกล่าวอันใดก่อนจะเดินตามบิดากลับไปที่ห้องนอน เมื่อเข้ามาถึงหยางจื่อส้งเดินไปยังชั้นหนังสือก่อนจะดันหนังสือเล่มหนึ่งเข้าไป

ครื่น ครื่น ครื่น

ชั้นหนังสือพลันแยกออกจากกัน ปรากฏเป็นทางเดินลึกลงไปยังใต้ดิน ทำให้หยางอี้ตกตะลึงไม่น้อยที่ภายในจวนเจ้าเมืองแห่งนี้นั้นมีห้องลับอยู่ด้วย เมื่อเห็นบิดาเดินลงไป ชายหนุ่มก็ติดตามลงไปทันที

ภายในห้องลับนั้นเป็นห้องโล่งๆไม่มีสิ่งใดอยู่เลย หยางอี้มองไปยังบิดาของเขาที่เบื้องหน้าด้วยความสงสัย เหตุใดจึงมีห้องลับ? แล้วเหตุใดห้องลับจึงไม่มีสิ่งใดเลย?

หยางจื่อส้งหันกลับมาแล้วกล่าวกับหยางอี้ด้วยท่าทางจริงจัง

“อี้เอ๋อร์ เรื่องที่ข้าจะบอกเจ้าต่อไปนี้จงตั้งใจฟังแล้วเก็บไว้เป็นความลับถึงตายก็อย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ มิเช่นนั้นตัวเจ้าจะมีอันตราย!”

“ลูกเข้าใจแล้วท่านพ่อ”

หยางจื่อส้งเดินเข้ามาหาหยางอี้ก่อนจะถอดสร้อยเส้นหนึ่งที่เขาสวมไว้ตลอดเวลามิเคยห่างตัว  หยางอี้นั้นรู้ว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของดูต่างหน้าของมารดา

“แม่ของเจ้านั้นก่อนจะแต่งเข้ามาในตระกูลหยางนางมีนามว่า เจียงลั่ว ในปีนั้นข้าได้เดินทางไปยังเมืองหลวง และในขณะที่กำลังเดินทางกลับมายังเมืองธาราสวรรค์นั้น ข้าพบนางนอนหมดสติอยู่กลางป่า ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล..ข้าจึงพานางกลับมาพักที่ตระกูลหยาง แม่ของเจ้านั้นเป็นสตรีที่งดงาม นาง... เป็นคนที่อ่อนโยนอย่างมาก ข้านั้นตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น และหลังจากนั้นไม่นานเราก็แต่งงานกัน...3 ปีหลังจากนั้นนางก็ให้กำเนิดเจ้า! นางนั้นไม่เคยพูดถึงอดีตของนางเลย แต่ก่อนที่นางจะสิ้นใจนางได้มอบสร้อยเส้นนี้ให้กับข้า และบอกว่ามันเป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่ตัวนางนั้นก็มิรู้เช่นกัน แต่มีผู้คนจำนวนมากต่างตามล่านางเพราะมัน! และนั่นทำให้ตระกูลนางนั้น...ล่มสลาย! และนางเป็นเพียงผู้เหลือรอดคนสุดท้ายของตระกูลเจียง! ในลมหายใจสุดท้ายของนางนั้น นางบอกให้ข้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับและอย่าได้ให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”

ในตอนสุดท้ายนั้น ใบหน้าของหยางจื่อส้งพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง หยางอี้เห็นดังนั้นจึงกล่าวออกมาเพื่อปลอบโยนบิดา

“ท่านพ่ออย่าได้เศร้าไป ตอนนี้ท่านแม่คงจะกำลังเฝ้ามองเราอยู่บนสวรรค์เป็นแน่”

หยางจื่อส้งยิ้มออกมาก่อนจะส่งสร้อยให้กับหยางอี้

“เจ้าลองถ่ายพลังปราณลงไปยังสร้อยดูสิ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหยางอี้ก็โคจรพลังปราณเข้าไปยังสร้อยทันที

แกร่ก แกร่ก

ที่จี้หยกรูปดอกไม้สีขาวกลางสร้อยนั้นเริ่มสั่นไหว ไม่นานมันก็แตกออกจากกันกลายเป็นแสงสีขาววิ่งวนอยู่กลางอากาศ ก่อนจะร้อยเรียงกันเป็นตัวอักษรสีทอง!

“นี่คือ...”

หยางอี้มองไปยังเบื้องหน้าที่ปรากฏตัวอักษรสีทองร้อยเรียงเป็นข้อความ 4 วรรค ตัวอักษรเหล่านี้ดูเก่าแก่โบราณอย่างมาก

“จากอดีต สู่ปัจจุบัน เพื่อบรรจบ”

“จากพิภพ สู่แผ่นฟ้า เพื่อทดสอบ”

“จงรวบรวม 5 ศิลา ให้เพียบพร้อม”

“สลัดกลอน ปรากฏทาง สู่ประตู”

หลังจากอ่านจบ หยางอี้มองไปยังบิดาของเขาก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

“ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่มันหมายความว่าอะไร?”

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ในวันนั้นข้าคิดถึงแม่เจ้าจึงนำมันออกมาดูและบังเอิญถ่ายพลังปราณเข้าไปจึงได้รู้ความลับนี้”

หยางจื่อส้งเอ่ยตอบไปตามตรงเพราะตนก็มิรู้เช่นกัน

“จากที่ข้าคิด จี้หยกขาวอันนี้น่าจะเป็นของที่มาจากยุคโบราณ และจะต้องรวบรวมมันให้ครบ 5 อัน...จึงจะไขความลับได้!”

“เฮ้อ...ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่อะไรคือการทดสอบ และประตูที่หมายถึงคืออะไรนั้นข้าก็มิอาจรู้ได้”

หยางจื่อส้งถอนหายใจเอ่ยออกมาอย่างหมดหนทาง ในอดีตเขาใช้เวลาอยู่หลายปีกับความลับนี้จนกระทั่งยอมแพ้ไปในที่สุด

“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ก็มีเพียง 2 สิ่งที่จะนำไปสู่ความจริงได้”

หยางอี้เอ่ยออกมานั้นทำให้หยางจื่อส้งขมวดคิ้ว แล้วถามออกมาด้วยความสงสัย

“อี้เอ๋อร์ อะไรคือ 2 สิ่งที่เจ้าว่า?”

“ท่านพ่อ จากที่ท่านกล่าวมา ท่านได้หยกชิ้นนี้มาจากท่านแม่ และตระกูลเจียงเป็นผู้ดูแลหยกชิ้นนี้ แสดงว่าที่ตระกูลเจียงนั้นจะต้องมีความลับอยู่”

“แต่ตระกูลเจียงนั้นล่มสลายไปแล้ว”

หยางจื่อส้งเอ่ยออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับมองไปยังบุตรชาย

“ใช่แล้วท่านพ่อ ตระกูลเจียงนั้นล่มสลายไปแล้ว และสาเหตุที่ทำให้ตระกูลเจียงล่มสลายนั่นก็คือ...เบาะแสที่ 2!”

“อี้เอ๋อร์ นี่เจ้า...เฮ้อ อย่าได้ทำเช่นนั้นแม่ของเจ้านั้นได้เตือนไว้แล้วว่ามันจะนำอันตรายมาสู่เจ้า!”

“อย่าได้กังวลไปท่านพ่อ ข้านั้นรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี...ข้าจะสืบหาความจริงเมื่อข้านั้นมีกำลังพอจะปกป้องตนเองได้”

หยางอี้เอ่ยกล่าวออกมาเพื่อให้บิดาสบายใจ

“เช่นนั้นก็ดี! เจ้าอย่าได้เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเป็นอันขาด”

หยางจื่อส้งกล่าวเตือนออกมา เขารู้นิสัยของบุตรชายดี หยางอี้นั้นมีความฉลาดเฉลียวอีกทั้งความอดทนยังเป็นเลิศ มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถกลับมายังจุดนี้ได้!

“ขอรับท่านพ่อ แต่อย่างไรเสียในตัวข้านั้นก็มีสายเลือดตระกูลเจียงไหลเวียนอยู่ ในวันหน้าข้าจะให้พวกมันได้สำนึกว่าการที่มาหาเรื่องตระกูลเจียงนั้นพวกมันคิดผิด!”

หยางอี้กล่าวออกมาอย่าจริงจัง ในขณะที่เขากล่าวนั้นแววตาล้วนเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเฉียบคมที่ได้จากการต่อสู้และสังหารหมาป่าทมิฬ!

เมื่อเห็นเช่นนั้นหยางจื่อส้งก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ที่เขาเลือกจะมอบจี้หยกให้หยางอี้และบอกความลับไปนั้นเพียงเพราะต้องการให้หยางอี้รับรู้เรื่องราวของหยางลั่วมารดาของตน แต่ในใจลึกๆนั้นเขาก็หวังให้หยางอี้โชคดีได้พบกับ ศิลาชิ้นอื่นๆด้วยเช่นกัน ตัวเขานั้นอยู่แต่ภายในเมืองธาราสวรรค์มิได้ออกไปไหน ทำไมมิสู้มอบให้หยางอี้ที่กำลังจะออกเดินทางไปเสียดีกว่าเล่า? แม้ว่ามันจะเป็นเพียงของชิ้นเดียวที่ได้จากคนรักของเขาทิ้งไว้ให้ก็ตาม

“เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว เจ้ากลับไปพักเสียเถิด”

“ขอรับท่านพ่อ”

เมื่อกล่าวจบ หยางอี้ก็เดินไปด้านบนและออกจากห้องไป ทิ้งไว้ให้ภายในห้องเหลือเพียงหยางจื่อส้งคนเดียว

‘ลั่วเอ๋อร์...บัดนี้ลูกของเราเติบโตขึ้นมากแล้ว หวังว่าเจ้าจะเฝ้าดูแลคอยชี้ทางให้แก่เขาด้วย’

หลังจากกลับมาห้อง หยางอี้ก็เริ่มบ่มเพาะพลังปราณในมิติพิเศษ ในขอบเขตลมปราณก่อกำเนิดนั้น จะต้องดูดซับพลังปราณเป็นจำนวนมากจึงจะสามารถเลื่อนระดับได้!

ในสองวันนี้หยางอี้มิได้ออกจากห้องเลยแม้แต่ก้าวเดียว สิ่งของจำเป็นที่ต้องใช้ในการเดินทางล้วนเป็นหยางจื่อส้งจัดเตรียมให้ทั้งหมด

เมืองธาราสวรรค์นั้นตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจักรวรรดิเมฆาหวน และในการเดินทางไปเมืองหลวงนั้นจะต้องผ่านเมืองถึง 3 เมือง ซึ่งมันมีระยะทางกว่าหลายพันลี้หากเดินตามเส้นทางที่พวกพ่อค้าใช้สัญจรขนถ่ายสินค้า

แต่ในการเดินทางครั้งนี้นั้น หยางอี้ตั้งใจจะเดินตามเส้นทางหลักเพียงแค่ผ่านเมืองที่ 2 เท่านั้นก่อนจะเข้าเมืองหลวง หยางอี้ตั้งใจจะใช้เส้นทางตัดป่าดับดารา ซึ่งเป็นป่าที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสัตว์อสูรระดับสูงและสมุนไพรหายาก แต่ถึงแม้มันจะเต็มไปด้วยทรัพยากรก็ต้องแลกมาด้วยความอันตรายเช่นกัน

เวลาสองวันผ่านไปเมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมก็ถึงเวลาออกเดินทาง บัดนี้ที่ประตูเมืองธาราสวรรค์เต็มไปด้วยผู้คนจากตระกูลหยางที่มายืนรอส่งชายหนุ่มเพื่อออกไปเผชิญโลกกว้าง

“ท่านพ่อ ได้เวลาที่ลูกจะต้องไปแล้วขอให้ท่านรักษาตัวด้วย”

“อี้เอ๋อร์ เจ้าต้องรักษาตัวให้ดีและอย่าลืมเรื่องที่พ่อได้เตือนเจ้าเป็นอันขาด เมื่อถึงเมืองหลวงแล้วจงส่งจดหมายกลับมาที่ตระกูลด้วย”

หยางจื่อส้งเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง ตัวเขานั้นดูแลหยางอี้มากว่า 15 ปี การที่จะต้องจากกันทำให้เขาใจหายอยู่ไม่น้อย

“ลูกเข้าใจแล้ว เช่นนั้น...ลาก่อนท่านพ่อ...ลาก่อนทุกคน”

หยางอี้กล่าวลาบิดาและคนในตระกูลก่อนจะหันหลังมุ่งหน้าออกเดินทางโดยไร้ความลังเลใดๆที่จะหันกลับมา  หยางจื่อส้งเฝ้ามองแผ่นหลังของบุตรชายจนกระทั่งหายลับตาไป จึงได้เริ่มนำผู้คนกลับตระกูล

ในการเดินทางครั้งนี้หยางอี้เลือกที่จะเดินตัดป่าธาราสวรรค์เพราะจะทำให้ประหยัดเวลาได้มาก และที่สำคัญตอนนี้ป่าธาราสวรรค์นับเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นสำหรับเขาไปแล้ว

ชายหนุ่มใช้เส้นทางเดิมของการที่มาในครั้งที่แล้ว ไม่นานก็มาถึงถ้ำที่เขาเคยใช้เป็นที่พัก เขามองดูเศษซากโครงกระดูกของเหล่าหมาป่าทมิฬด้วยความรู้สึกแปลกๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงราวกับระลึกถึงบางอย่างและไม่นานก็เดินจากไป

หยางอี้มิได้หยุดพักแต่อย่างใด ชายหนุ่มยังคงเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่องในการเดินทาง เพราะเขานั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็เป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่เขาหมกตัวอยู่แต่ในตึกตระกูลหยาง และการเดินทางครั้งนี้นับเป็นการออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพของเขา!

“โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก...ยังมีสิ่งต่างๆอีกมากที่รอให้ข้าไปพบเจอ แต่ก่อนหน้านั้นข้าจะต้องรีบไปให้ถึงเสียก่อนยังจุดหมายแรกของข้า...เมืองพยัคฆ์เมฆาพิสุทธิ์!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด