เล่มที่ 1 บทที่ 5
พรึ่บ!พรึ่บ! พรึ่บ!
ห่าวเทียนตบเท้าทะยานร่างของเขาขึ้นไปยังเวทีอย่างรวดเร็ว ด้านหลังเขายังมีชายวัยกลางคนตามมาด้วยอีกสองคนก่อนจะเร่งตรวจสอบชีพจรของบุตรชายทันที
อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่ตอนนี้เส้นชีพจรของห่าวเฉินแตกซ่านรวมถึงกระดูกทั่วทั้งร่างแตกละเอียดอย่างเลวร้าย จนเรียกได้ว่าการที่เขายังมีชีวิตรอดอยู่นั้นนับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว ใบหน้าของห่าวเทียนพลันบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด จิตสังหารพวยพุ่งออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังหยางอี้ที่นั่งหอบหายใจรวยรินอยู่กลางลานประลอง
“เดรัจฉาน! ข้าจะเอาวิญญาณเจ้าเซ่นสังเวยให้กับเฉินเอ๋อร์”
ห่าวเทียนปลดปล่อยพลังปราณออกมาแล้วพุ่งเข้าหาหยางอี้ด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง หยางอี้ในตอนนี้นั้นไม่มีแม้แต่พลังปราณสักนิดหลงเหลืออยู่ในร่างกาย อย่าว่าแต่จะป้องกันตัวเลย เพียงจะฝืนลุกยืนเขายังทำมิได้เลยด้วยซ้ำ สติของเขาเริ่มเลือนลางก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆบิดลง ทว่าก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะมืดบอด สายตาของเขาพลันมีเงาของคนๆหนึ่งปรากฏขึ้นมา มันเป็นเงาของชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมยืนอยู่อย่างองอาจ
“ท่านพ่อ”
หยางจื่อส้งที่บัดนี้ยืนอยู่บนลานประลองหันมามองร่างหมดสติของหยางอี้ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยนกับร่างไร้สติของบุตรชาย
“เจ้าจงพักผ่อนเสียเถิดบุตรข้า...ต่อจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของบิดาเจ้าเอง!”
เมื่อสิ้นคำ หยางจื่อส้งหันกลับไปมองห่าวเทียนที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยสายตาเย็นชา
“ดี ดี! วันนี้ข้าจะส่งเจ้าพ่อลูกไปเฝ้าบรรพบุรุษเจ้าในนรก!”
ห่าวเทียนร้องตะโกนออกมาก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าหาหยางจื่อส้ง พลังปราณระดับก่อตั้งจิตพวยพุ่งออกมาจนทำให้พื้นเวทีเต็มไปด้วยรอยปริร้าว
5 จั้ง
4 จั้ง
จนกระทั่ง...ระยะห่างทั้งสองคนเหลือเพียง 1 ชุ่น!
อย่างไรก็ตามราวกับบทละครฉากเดิมในขณะที่ห่าวเทียนเข้ามาประชิดตัวของหยางจื่อส้งฉับพลันพลังปราณที่เข้มข้นสายหนึ่งกลับระเบิดออกมา
ปัง!
บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นน่าอึดอัดขึ้นทันที พลังปราณสายนี้มีความเข้มข้นกว่าของห่าวเทียนอย่างน้อยก็เป็นสิบเท่า! ราวกับสวรรค์และโลก ผู้คนโดยรอบลานประลองต่างสั่นเทาไปทั้งตัว ด้วยแรงกดดันมหาศาลที่หยางจื่อส้งปลดปล่อยออกมาจากพลังปราณสายนั้น มากพอที่จะทำให้บางคนถึงกับหมดสติไปทันที
“ป ป ปราณปฐพี? ผู้ฝึกยุทธ์ลมปราณปฐพี? แท้จริงแล้วเก็บซ่อนความแข็งแกร่งไว้!”
ใบหน้าของห่าวเทียนซีดเผือดลงทันทีเพราะเพียงแค่แรงกดดันอันหนักอึ้งที่หยางจื่อส้งปลดปล่อยออกมานั้นก็สามารถสะกดการเคลื่อนไหวของเขาได้แล้วอย่างสมบูรณ์!
หยางจื่อส้งมองไปยังเบื้องหน้าของเขาที่ตอนนี้มีร่างของห่าวเทียนทรุดตัวเข่าสองข้างแตะพื้นด้วยสายตาเย็นชา สองมือของเขาต้องใช้ค้ำยันลานประลองเพื่อมิให้ร่างนั้นกระแทกกับพื้นลานประลอง แต่ภาพนี้ก็มิต่างอะไรไปจากการหมอบกราบ!
“สามหาวยิ่งนัก! ทหารรับคำสั่ง! ผู้นำตระกูลห่าวคิดทรยศไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ลอบสังหารนายน้อยและเจ้าเมืองธาราสวรรค์ต่อหน้าผู้คนมากมาย ข้า หยางจื่อส้งในฐานะเจ้าเมืองธาราสวรรค์แห่งนี้ขอตัดสินให้ลงโทษโดยการ...ฆ่าล้างตระกูล! จงสังหารทุกคนที่มีแซ่‘ห่าว’ส่วนคนรับใช้ให้เนรเทศออกจากเมือง!”
เสียงของหยางจื่อส้งดังก้องไปทั่วลานประลอง แม้ทุกคนจะรู้ว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างในการกำจัดตระกูลห่าวออกจากเมืองธาราสวรรค์ แต่จะมีผู้ใดกล้าคัดค้าน? อย่าลืมว่าผู้ที่กล่าวอยู่นั้นคือท่านเจ้าเมือง และที่สำคัญคือเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนเดียวในเมืองแห่งนี้ที่บรรลุถึงลมปราณปฐพี!
บัดนี้ใบหน้าของห่าวเทียนซีดจนเหมือนศพ เขานั้นมิอาจทำสิ่งใดได้เลย อย่าว่าแต่จะต่อสู้แตกหักเป็นตาย เพียงจะลุกขึ้นยืนเขายังทำมิได้เลยด้วยซ้ำ!
“ท ท่านเจ้าเมือง ข้านั้นผิดไปแล้ว โปรดเมตตาด้วย โปรดเมตตาด้วย”
“ห่าวเทียนเอ๋ย แม้เราสองตระกูลจะไม่ถูกกันแต่ตระกูลหยางของข้านั้นมิเคยไปรุกรานตระกูลห่าว เป็นเจ้าเองที่คิดจะครองอำนาจในเมืองแห่งนี้ หากจะโทษใครก็จงโทษตัวเจ้าเองและไปสำนึกผิดในนรกเสียเถิด”
สิ้นคำหยางจื่อส้งสะบัดมือไปเบื้องหน้าราวกับประกายแสงวูบหนึ่ง หัวของห่าวเทียนพลันหลุดออกจากบ่าทันทีก่อนที่สายเลือดพุ่งกระฉูดขึ้นฟ้าราวกับน้ำพุภาพนี้ทำให้เหล่าชาวเมืองต่างเบือนหน้าหนี
เมื่อสังหารห่าวเทียนแล้ว หยางจื่อส้งก็รีบตรงไปยังร่างของหยางอี้ทันที เมื่อตรวจสอบชีพจรแล้ว พบว่าหยางอี้เพียงหมดสติไปเท่านั้น จึงทำให้เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะอุ้มร่างของหยางอี้กลับตระกูลทันที
ภายในวันนั้นตระกูลห่าวได้ถูกลบออกจากเมืองธาราสวรรค์โดยสมบูรณ์ กิจการทุกอย่างต่างถูกยึดโดยตระกูลหยาง แต่เดิมรากฐานของตระกูลห่าวก็มาจากกองกำลังภายนอกที่ควบคุมโดยห่าวเทียนอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อห่าวเทียนตายไป จึงทำให้คนเหล่านั้นแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ โดยไม่ต้องกล่าวถึงว่าอีกฝ่ายคือผู้ฝึกยุทธ์ลมปราณปฐพี! ด้วยเหตุนี้การเสียห่าวเทียนไปจึงทำให้ตระกูลห่าวพังทะลายลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเกิดความวุ่นวายอยู่บ้างที่ตระกูลใหญ่ของเมืองหายไป แต่เพียงไม่นานเมืองธาราสวรรค์ก็กลับสู่สภาพปกติราวกับว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
กลับมายังจวนเจ้าเมือง หยางจื่อส้งเร่งให้คนตามหมอมาดูอาการหยางอี้ทันที ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ด้วยความที่เป็นบิดาเมื่อต้องเห็นบุตรชายในสภาพนี้จึงทำให้หยางจื่อส้งร้อนใจเป็นอย่างมาก
“ท่านหมอลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เรียนท่านเจ้าเมือง แขนขวาของนายน้อยนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนักกระดูกแตกหักหลายส่วน แต่นับว่าโชคยังดีที่เส้นชีพจรนั้นเพียงบอบช้ำเล็กน้อย ส่วนบาดแผลภายนอกรวมทั้งกระดูกนั้นต้องใช้เวลาหลายเดือนในการรักษา แต่ว่าหากให้นายน้อยกินยาสมานกระดูกทุกสามวัน คาดว่าจะใช้เวลารักษาไม่เกินหนึ่งเดือน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของหยางจื่อส้งก็สลดลงเล็กน้อย
“ยาสมานกระดูกนั้นนับว่าหายากยิ่งนักในเมืองธาราสวรรค์ การจะหามันให้ได้ถึง 10 เม็ดนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย”
หยางจื่อส้งกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา สายตายังคงจ้องมองไปยังบุตรชายอย่างเป็นห่วง เขาเหลือบมองไปยังหยางจงที่ทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะถามออกมา
“หยางจง เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่? เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าจะมีความคิดดีๆ?”
“ใช่ ใช่ ใช่ ใช่แล้ว ข้าจำได้ว่าเมื่อ 2 เดือนก่อนนั้น ตระกูลห่าวได้ประมูล ยาสมานกระดูกมาถึง 2 ขวด หากโชคดีอาจจะยังพอมีเหลือ!”
“เจ้ามั่นใจรึ? ดี! เช่นนั้นเจ้าจงเร่งไปยังตระกูลห่าวแล้วนำยาสมานกระดูกกลับมา!”
หยางจื่อส้ง พลันมีใบหน้ายิ้มแย้มทันที และไม่นานหลังจากหยางจงออกไปท่านหมอก็ขอตัวกลับ หยางจื่อส้งมองมายังหยางอี้คราหนึ่งด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ณ จวนเจ้าเมืองธาราสวรรค์
ในสวนน้อยของจวนเจ้าเมืองปรากฏร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ รอบกายของเขามีไอความร้อนแผ่ออกมาราวกับเตาอบ ที่เบื้องหน้ามีก้อนหินขนาดเท่าสองคนโอบตั้งอยู่ ชายหนุ่มค่อยๆยกมือขึ้นก่อนจะซัดฝ่ามือไปยังหินก้อนนั้น
ปัง!
ตรงจุดที่ฝ่ามือปะทะเข้ากับก้อนหินค่อยๆเริ่มเกิดรอยร้าว ก่อนจะลามไปทั่วทั้งก้อน จนไม่นานก้อนหินขนาดใหญ่ก็พลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
“ดูเหมือนว่าแขนขวาของข้าจะหายดีแล้ว...ถือว่าผลของยาสมานกระดูกเป็นไปตามที่คาดไว้ ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาข้ากินยาสมานกระดูกไปกว่า 10 เม็ด!”
จากวันประลองยุทธ์ประจำปี ตอนนี้เวลาผ่านมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ผู้คนภายในเมืองธาราสวรรค์นั้นต่างใช้ชีวิตกันอย่างปกติ และดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่ตระกูลห่าวถูกล้างตระกูลนั้นจะไม่มีผลกระทบต่อชาวเมืองสักเท่าไหร่นัก
“อี้เอ๋อร์ แขนของเจ้าหายดีแล้วหรือ?”
เสียงอันอ่อนโยนดังมาจากด้านหลัง เรียกให้หยางอี้หันกลับไปมองก่อนจะพบว่าเป็นบิดาของเขาหยางจื่อส้ง
“ลูกหายดีแล้วท่านพ่อ”
หยางอี้ยิ้มตอบกลับไปภายในหัวใจเต็มไปด้วยความอบอุ่น หยางจื่อส้งเดินผ่านหยางอี้ไปช้าๆก่อนจะเงยหน้ามองไปยังขอบฟ้าอันกว้างใหญ่พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“อี้เอ๋อร์เจ้าเติบโตขึ้นมากจริงๆ...แม่ของเจ้าจะต้องภูมิใจในตัวเจ้าเป็นแน่”
หยางอี้หันไปมองหน้าบิดาของเขาด้วยสายตาประหลาดใจ ตัวเขานั้นหลังจากเกิดมาได้ไม่นาน มารดาก็สิ้นใจ จึงทำให้เขาไม่เคยได้พบหน้าผู้เป็นมารดาเลยสักครั้ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหยางจื่อส้งนั้นเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เกิด และไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องของนางเลยสักครั้ง หยางอี้นั้นเข้าใจดีว่าหยางจื่อส้งต้องเสียใจกับเรื่องนี้มากเพียงใด และเพื่อไม่ต้องการสะกิดแผลใจของบิดา เขาจึงไม่เคยเอ่ยถามเรื่องของนางเช่นกัน
ทั้งสองต่างมองไปยังท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไปเนิ่นนาน หยางจื่อส้งจึงจากไป
หลังจากแยกกับหยางจื่อส้ง หยางอี้ก็ได้กลับห้องของตนทันที ด้วยที่หมอสั่งห้ามไม่ให้โคจรพลังปราณ ทำให้ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้นเขายังคงติดอยู่ที่รวบรวมลมปราณขั้นที่ 8 เช่นเดิม
วูบ
ภายในมิติพิเศษ หยางอี้เริ่มนั่งโคจรลมปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายเพื่อฝึกฝนโดยไม่หยุดพัก เวลาผันผ่านดำเนินไปเรื่อยวันแล้ววันเล่าจนกระทั่งผ่านไปถึง 15 วันสัญญาณแห่งการทะลวงระดับก็มาถึง
ปัง!
รวบรวมลมปราณขั้นที่ 9!
15 วันที่ผ่านมานอกจากเวลากินและเวลานอน หยางอี้ใช้เวลาทั้งหมดในการบ่มเพาะพลังในมิติพิเศษ และหลังจากนั้นเขายังคงโหมฝึกโดยใช้เวลาอีก 5 วันในการไต่ไปสู่จุดสูงสุดของขอบเขตรวบรวมลมปราณ และอีกเพียงครึ่งก้าวเท่านั้นเขาจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดลมปราณ!
“ตอนนี้ข้ามาถึงคอขวดของขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้ว! แต่การจะทะลวงสู่ขอบเขตก่อกำเนิดนั้น...มิใช่เรื่องง่าย!”
หยางอี้ลุกออกจากเตียงหินอ่อนเดินไปยังอ่างน้ำเพื่อชำระสิ่งสกปรกที่ร่างกายขับออกมา ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องโถงของจวนเจ้าเมือง
ภายในห้องโถงนั้น หยางจื่อส้งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ร่างกายทรุดโทรม เบื้องหน้าเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษจำนวนมาก หลังจากที่ยึดกิจการของตระกูลห่าวมานั้น เหล่าผู้อาวุโสตระกูลหยางนั้นแทบจะไม่ได้หยุดพักเลย เพราะต้องคอยจัดการงานที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“คารวะท่านพ่อ”
เมื่อเห็นบุตรชายมา หยางจื่อส้งจึงละจากงานที่ทำอยู่แล้วเดินออกมายังกลางห้องโถง ถึงแม้ว่าตัวเองจะยุ่งจนแทบไม่มีเวลา แต่กับบุตรชายแล้วหยางจื่อส้งวางเขาไว้เป็นอันดับหนึ่ง!
“อ่า...อี้เอ๋อร์เจ้ามีอะไร เรื่องอันใด?”
สายตาของหยางอี้ปรากฏแววจริงจังขึ้นมาก่อนจะบอกกล่าวกับบิดาในสิ่งที่เขาต้องการ
“ข้าจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงขอรับ”
หยางจื่อส้งชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกลับมาเป็นเหมือนเดิม ตัวเขานั้นรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง หยางอี้นั้นนับเป็นอัจฉริยะที่รอวันข้ามผ่านประตูมังกร โลกนี้เองก็กว้างใหญ่ไพศาล การจะให้บุตรชายของเขามาอยู่ในกรอบเมืองเล็กๆแห่งนี้นับว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลา!
“เฮ้อ...หากเจ้าต้องการจะเดินทางไปยังเมืองหลวงนั้นข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า แต่ตอนนี้เจ้านั้นยังถือว่าอ่อนแอยิ่งนักสำหรับโลกภายนอก อย่างน้อยเจ้าควรจะไปถึงขอบเขตปราณก่อกำเนิดเสียก่อน!”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ ตอนนี้ข้ามาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปยังป่าธาราสวรรค์!”
หยางจื่อส้งชะงักไปอีกครั้ง เขาไม่เคยคาดคิดว่าการบ่มเพาะของหยางอี้จะรวดเร็วถึงเพียงนี้! อย่างไรก็ตามเขามิได้ถามออกไปว่าเขาทำได้อย่างไร แต่กลับหัวเราะออกมาแทน
“ดี! ป่าธาราสวรรค์นั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับไม่สูงมากนัก เจ้าในตอนนี้นับว่าสามารถรับมือกับพวกมันได้ แต่จงจำไว้ว่าอย่าได้เข้าไปลึกมากนัก”
“ขอรับท่านพ่อ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เมื่อออกจากห้องโถงหยางอี้ก็เดินออกจากจวนเจ้าเมืองทันทีและจุดหมายของเขาครั้งนี้ก็คือตระกูลหวัง!
ใช้เวลาไม่นานด้วยระยะทางไม่ไกลนักเขาก็มาถึงตึกตระกูลหวัง หลังจากเข้าไปกล่าวทักทายหวังเสี่ยวป้อแล้วหยางอี้ก็ขอพบกับหวังจือทันที แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้หวังเสี่ยวป้อประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็มิได้กล่าวห้ามอันใดออกมา เขาให้หยางอี้ไปรอที่สวนน้อยภายในตระกูล ก่อนให้คนไปตามหวังจือเพื่อออกไปพบหยางอี้
ภายในสวนน้อยของตระกูลหวังนั้นถูกตกแต่งไปด้วยดอกไม้นานาชนิด ทิวทัศน์นั้นแตกต่างจากตระกูลหยางเป็นอย่างมาก หยางอี้เพียงมองไปยังต้นไม้เหล่านั้นก็สามารถบอกได้เลยว่าพวกมันถูกดูแลเป็นอย่างดี
ตึก ตึก ตึก
ที่ด้านหลังหยางอี้มีเสียงคนเดินเข้ามา ปลุกให้เขาหันกลับมามองไปยังผู้มาใหม่ เบื้องหน้านั้นปรากฏเป็นร่างหญิงสาวสวมชุดสีฟ้าผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าของนางเรียบเนียนสวยงามราวเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ ดวงตากลมโตมองแล้วทำให้หลงใหลราวกับต้องมนต์สะกด หยางอี้จ้องมองอยู่นานก่อนจะตั้งสติจากเสียงอันไพเราะของหญิงสาวเบื้องหน้า
“หวังจือ คารวะนายน้อยหยาง”
หยางอี้พลันได้สติด้วยท่าทีเก้กัง ก่อนกล่าวทักทายตอบด้วยรอยยิ้ม
“มิต้องมากพิธีเช่นนั้นแม่นางหวัง”
“ได้ยินว่าท่านต้องการพบข้า? มีเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ?”
หวังจือกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย ตัวนางนั้นก็แปลกใจมิใช่น้อยที่หยางอี้มาขอพบนาง ต้องรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาจนกระทั่งบัดนี้ ชายหนุ่มเบื้องหน้านางนั้นไม่เคยมีความต้องการที่จะพบนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ข้าจะมากล่าวลาท่าน”
“ลา? ท่านจะไปไหน?”
ใบหน้าของนางแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความสงสัย
“พรุ่งนี้ข้าจะเข้าสู่ป่าธาราสวรรค์ และเมื่อกลับออกมาข้าจะเดินทางไปยังเมืองหลวง...บางทีคงอีกหลายปีจึงจะได้กลับมา...ข้าคิดว่าอย่างน้อยข้าก็สมควรมาบอกท่านก่อนจะจากไป”
หยางอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตัวเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการหันหน้าไปทางอื่น สตรีเบื้องหน้านั้นมีอำนาจแห่งมนตร์สะกดอย่างแท้จริง!
“เมืองหลวง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวังจือก็อุทานออกมา นางยกมือขึ้นมาป้องไว้ที่ปากก่อนพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเหมือนการพูดคนเดียว
หยางอี้ที่บังเอิญเหลือบมาเห็นท่าทีของนางพลันใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที สำหรับเรื่องสตรีแล้วตัวเขานับว่าไร้ประสบการณ์อย่างแท้จริง!
‘บัดซบ เหตุใดนางจึงงดงามเช่นนี้ ยิ่งด้วยท่าทีไร้เดียงสานั่นอีก!’
แม้เมื่อก่อนหยางอี้จะมิได้สนใจในตัวนาง แต่นั่นมันก็เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นนางเป็นเพียงดรุณีน้อยยามแรกแย้มเท่านั้น แม้จะงดงามแต่นางก็ยังเด็กนัก แต่บัดนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่! นางได้เติบโตเป็นหญิงสาวแล้ว เปรียบดั่งดอกไม้ที่เบ่งบาน และความงามของนางนั้นเทียบกับแต่ก่อนมิได้เลย
“อืม! ใช่แล้ว ข้าจะเดินทางไปยังเมืองหลวง แม้เราจะมิได้สนิทกันนัก แต่ท่านและข้าก็เป็นคู่หมั้นกัน และนั่นคือเหตุผลที่ข้ามาในวันนี้”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างจริงจังเพื่อปกปิดอาการของเขา
“หวังจือเข้าใจแล้ว ข้าขอให้นายน้อยหยางเดินทางปลอดภัย”
หวังจือนั้นตอนนี้นางกลับมาอยู่ในสภาพปกติแล้ว สายตาของนางยังคงแน่นิ่งขณะที่กล่าวออกมา
“เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”
เมื่อกล่าวจบหยางอี้ก็เดินไปยังทางออก เขาเหลือบมองมายังหวังจืออีกครั้งที่ตอนนี้กำลังยืนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
หวังจือนั้นนางอยู่แต่ภายในตึกของตระกูล ด้วยความที่นางนั้นเปรียบดังหัวแก้วหัวแหวนของหวังเสี่ยวป้อและคนในตระกูลหวัง นางจึงมิค่อยได้ออกไปสัมผัสโลกภายนอกสักเท่าไหร่นัก ตัวนางนั้นมีความฝันว่าสักวันหนึ่งนางจะได้เดินทางออกไปสู่โลกภายนอก นางอยากจะได้เจอธรรมชาติ ภูเขา ทิวทัศน์ต่างๆที่นางยังมิเคยได้สัมผัสมัน
หยางอี้แม้จะทำเป็นมิสนใจนาง แต่ก็ยังคอยลอบสังเกตท่าทีของนางอยู่ตลอดเวลา การที่หวังจือมีท่าทีเช่นนั้นประกอบกับการที่นางแทบจะมิเคยออกจากตึกของตระกูลเลย เขาก็เข้าใจได้ไม่ยากว่านางคิดสิ่งใดอยู่ ก่อนจะเดินพ้นซุ้มประตูไป เขาพลันหยุดนิ่งลงและกล่าวออกมา
“ตัวข้าในตอนนี้นั้นยังอ่อนแอนัก ข้าจึงต้องออกเดินทางเพื่อแสวงหาความแข็งแกร่ง...ก่อนจะถึงกำหนดวันแต่งงานในอีก 3 ปี ข้าสัญญาว่าข้าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใด เพื่อที่จะสามารถปกป้องท่านได้ และเมื่อเวลานั้นมาถึงหากท่านต้องการจะไปที่ใด...ข้าจะเป็นคนพาท่านไปทุกที่บนโลกแห่งนี้!”
เมื่อพูดจบ หยางอี้ก็เดินออกจากตระกูลหวังไปทันทีโดยมิได้หันกลับมามองนางแม้แต่น้อย
ทางด้านหวังจือ เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็ได้จ้องมองไปยังแผ่นหลังของหยางอี้ที่กำลังเดินจากไปทางทิศตะวันตก ประกอบกับแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า ทำให้ภาพเบื้องหน้านางช่างเป็นทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งนัก
“สัญญาว่าจะปกป้องข้าเช่นนั้นหรือ?”
นางกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาภายในใจเต้นสั่นระรัว ก่อนที่ใบหน้าที่งดงามของนางจะปรากฏรอยยิ้มที่มิได้มีผู้ใดพบเห็นมาเป็นเวลานานแล้ว...