เล่มที่ 1 บทที่ 4
งานประลองยุทธ์รุ่นเยาว์ประจำปีของเมืองธาราสวรรค์ถูกจัดขึ้นทุกปีในเดือน 10 ผู้คนทั่วทั้งเมืองธาราสวรรค์ต่างให้ความสนใจกับงานนี้เป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่เป็นการประลองแสดงฝีมือของเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ แต่มันยังหมายถึงการแสดงอำนาจของเหล่าตระกูลใหญ่อีกด้วยที่จะส่งเหล่าอัจฉริยะของแต่ละฝ่ายเข้าห้ำหั่นกัน และยังถือเป็นโอกาสให้เหล่ารุ่นเยาว์จากตระกูลเล็กๆได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของชาวเมือง
ในการประลองประจำปีนั้นเปิดโอกาสให้เหล่ารุ่นเยาว์ได้มีโอกาสในการแสดงความสามารถอย่างอิสระ! ไม่มีรอบไม่มีการจับคู่ หากผู้ใดมั่นใจในฝีมือของตนเพียงก้าวขึ้นสู่ลานประลองเท่านั้น เมื่อมีผู้ชนะก็จะมีผู้ท้าทายคนใหม่ขึ้นมาประลองและจะเป็นเช่นนี้จนกว่าจะเหลือเพียงผู้เดียวที่สามารถยืนหยัดอยู่บนลานประลองโดยไร้ผู้ท้าทาย! ถึงจะเป็นผู้ที่คู่ควรกับตำแหน่งรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของงานประลองยุทธ์ประจำปีเมืองธาราสวรรค์!
เวลาพ้นผ่านเพียงพริบตา วันประลองก็มาถึง หยางอี้นั่งอยู่ที่ซุ้มของเจ้าเมืองและด้านบนเป็นที่นั่งของหยางจื่อส้งและผู้อาวุโสของตระกูล ซุ้มเจ้าเมืองนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสนามประลอง ทิศตะวันตกเป็นซุ้มของตระกูลห่าว คนในตระกูลห่าวต่างใส่ชุดสีแดงบนใบหน้าแต่ละคนนั้นล้วนประดับไว้ด้วยความหยิ่งผยอง โดยเฉพาะผู้ที่นั่งเก้าอี้ที่ถูกประดับประดาอย่างหรูหราอยู่กลางซุ้ม เขาคือห่าวเทียน ผู้นำตระกูลห่าวคนปัจจุบัน และเป็นศัตรูคู่อาฆาตของหยางจื่อส้ง! ด้านซ้ายของห่าวเทียนคือห่าวเฉิน บุตรคนโตหนึ่งในสองรุ่นเยาว์ที่ก้าวไปถึงก่อกำเนิดลมปราณ! และเขาเป็นผู้ชนะในงานประลองประจำปีมาแล้ว 3 ปีซ้อน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของเมืองมีด้วยกันสามคน และหยางอี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น! สามปีก่อนหยางอี้แม้จะอายุน้อยกว่าแต่ก็ยังอยู่ในระดับเดียวกับห่าวเฉินและบุตรตระกูลหวัง แต่เมื่อหยางอี้ตกต่ำลงจึงทำให้ทั้งสองก้าวหน้าเกินเขาไปมากในขณะนี้ และทำให้ห่าวเฉินสามารถแสดงความหยิ่งยโสได้ถึงเพียงนี้ ส่วนด้านขวานั้นคือห่าวหวางที่กำลังจ้องมองมายังหยางอี้ด้วยสายตาเยาะเย้ยเหยียดหยามอยู่ตลอดตั้งแต่มาถึง
ทางทิศใต้นั้นเป็นซุ้มของตระกูลหวัง ตรงกลางซุ้มที่นั่งเป็นชายร่างอ้วนหน้าตาดูเป็นมิตรยิ้มแย้มตลอดเวลา เขาคือผู้นำตระกูลหวัง หวังเสี่ยวป้อ ด้านขวานั้นคือบุตรชายคนโตหวังเฟย ผู้บรรลุถึงก่อกำเนิดลมปราณเช่นเดียวกับห่าวเฉิน แต่สำหรับหวังเฟยนั้นมิได้สนใจงานประลองสักเท่าใดนัก ในปีก่อนๆ เขาเพียงขึ้นไปแสดงความสามารถเล็กน้อยก่อนจะกลับลงมายังซุ้มตระกูลทันที ส่วนทางด้านซ้าย เป็นเด็กสาวนางหนึ่งผมยาวสีดำขลับ ผิวของนางขาวราวหิมะบริสุทธิ์ แม้อายุยังน้อยแต่ใบหน้าของนางนั้นสวยงามราวรูปปั้นที่ถูกแกะสลักไว้อย่างประณีตเพียงเหล่าบุรุษเห็นนางแว้บเดียวแล้วก็เป็นต้องหลงใหลในความงดงามของนาง
“ลูกจือ ปีนี้ดูเหมือนคู่หมั้นของเจ้าจะเข้าร่วมประลองด้วย ฮ่าๆ” หวังเสี่ยวป้อกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ
“คงเป็นเช่นนั้น ท่านพ่อ”
หวังจือกล่าวตอบบิดาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตัวนางนั้นมิได้รักหรือรังเกียจหยางอี้แต่อย่างใด ไม่ว่าจะในเวลาที่หยางอี้เป็นอัจฉริยะหรือแม้แต่เวลาที่เขาตกต่ำเป็นเพียงขยะ นางเพียงทำตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อที่ตกลงกับหยางจื่อส้งเอาไว้เท่านั้น และเช่นเดียวกันตัวหยางอี้เองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนาง แม้นางจะมีหน้าตาสวยงามราวเทพธิดาก็ตาม แต่เมื่อ 5 ปีก่อนนั้นหยางอี้เรียกได้ว่ายังเยาว์วัยนัก และตัวเขาเองก็สนใจเพียงแต่การฝึกฝนเท่านั้นแม้จะเป็นคู่หมั้นกันแต่ทั้งสองก็พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง เพราะหลังจากที่หยางอี้สูญเสียลมปราณ เขาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวนเจ้าเมือง นานๆทีจึงออกมานอกจวนพร้อมกับหยางจื่อส้งผู้เป็นบิดา
“บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ในฐานะเจ้าเมืองของเมืองธาราสวรรค์แห่งนี้ ข้าหวังว่าจะได้เห็นฝีมือของเหล่าหนุ่มสาวที่จะเติบโตมาเป็นอนาคตของเมืองธาราสวรรค์แห่งนี้ ขอให้พวกเจ้าจงแสดงฝีมือให้เต็มที่ งานประลองยุทธ์รุ่นเยาว์ประจำปีของเมืองธาราสวรรค์เริ่มได้!”
หลังจากหยางจื่อส้งกล่าวเปิดงาน รอบลานประลองต่างเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องของชาวเมือง เสียงพูดคุยมากมายดังออกมาเพื่อแสดงถึงความเห็นของแต่ละคน
“เจ้าว่าปีนี้ผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ?”
“ฮ่าๆ ก็คงจะเป็นห่าวเฉินอีกเช่นเคย”
“เฮอะ ข้าว่าหากหวังเฟยมีใจจะสู้ไม่แน่ว่าปีนี้อาจจะมีการเปลี่ยนผู้ชนะ”
“ใช่แล้ว ข้าล่ะเบื่อใบหน้าที่หยิ่งยโสของมันเสียจริง”
เหล่ารุ่นเยาว์ต่างพูดคุยกันถึงความเป็นไปได้ของลานประลอง สำหรับครั้งนี้ ยังมีอีกหลายคนที่มิได้ตั้งใจจะเข้าร่วม การขึ้นสู่เวทีประลองนั้นเป็นเหมือนดาบสองคม หากแสดงออกมาได้ยอดเยี่ยมก็ดีไปแต่หากเลวร้ายก็ไม่ต่างจากการทำร้ายตัวเอง หลังจากพูดคุยกันไม่นานก็มีผู้กล้าคนแรกกระโดดขึ้นสู่ลานประลอง
พรึ่บ!
“ข้าไห่ตงอยากจะขอคำชี้แนะจากพี่น้อง เชิญ!”
พรึ่บ!
“ข้าถังจวิ้น ขอคำชี้แนะด้วย”
ทั้งคู่ต่างอยู่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่ 6 สำหรับเมืองธาราสวรรค์นั้นยังพอนับว่ามีความสามารถระดับกลางเท่านั้น การต่อสู้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วเพียงแลกเปลี่ยนกันไม่กี่กระบวนท่า ไห่ตงก็เป็นฝ่ายชนะ เมื่อหนึ่งคนชนะก็จะมีอีกหนึ่งคนขึ้นมาท้าทาย การประลองดำเนินไปเรื่อยๆ ทุกคนต่างรู้ว่าช่วงแรกนั้นจะเป็นการแสดงฝีมือของเหล่าหนุ่มสาวตระกูลเล็กๆ ความน่าสนใจของงานจะอยู่ช่วงหลังซึ่งเป็นการแสดงอำนาจของเหล่าตระกูลใหญ่ แม้สามปีที่ผ่านมางานนี้จะเป็นเพียงเวทีของตระกูลห่าวแต่ในใจทุกคนนั้นก็ยังคาดหวังว่าจะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างห่าวเฉินและหวังเฟยไม่นานหลังจากผ่านไป 20 คน ทางที่นั่งตระกูลหวังก็มีการเคลื่อนไหว
พรึ่บ!
“ข้า หวังเฟย ขอคำชี้แนะ”
หวังเฟยกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่กลางลานประลอง เขาประสานมือขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยลมปราณอันอ่อนนุ่มออกมา แน่นอนว่ามันดูสงบและนุ่มนวลแต่มันกลับทำให้ฝั่งตรงข้ามไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว! ก่อกำเนิดลมปราณขั้นที่สอง!
“ข ข้า ขอยอมแพ้”
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่กลางลานประลองกล่าวด้วยเสียงสั่นกลัว ทั้งร่างต่างสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสกับลมปราณที่หวังเฟย สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือลงจากเวทีนี้ให้เร็วที่สุด! เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นลงจากลานประลองโดยไม่รอช้าหวังเฟยก็ก้าวลงจากลานประลองเช่นกัน
“บัดซบ! ปีนี้มันก็ทำเหมือนเดิม?”
“เฮ้อ ข้าอุตส่าห์หวังว่าปีนี้จะได้เห็นมันประลองกับห่าวเฉินแต่มันกลับ…”
“งานประลองปีนี้คงจะจบเพียงเท่านี้ ?”
เหล่าผู้คนต่างพูดคุยกันอย่างเหนื่อยใจ เป็นเช่นเดิมอีกครั้งสำหรับสามปีที่ผ่านมา งานประลองยุทธ์รุ่นเยาว์ธาราสวรรค์กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว? อย่างไรก็ตามบางสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ทันใดนั้นบนลานประลองปรากฏว่ามีหนึ่งคนกระโดดขึ้นไป
พรึ่บ!
“ข้าห่าวหวาง นายน้อยตระกูลห่าวอยากจะขอคำชี้แนะจากนายน้อยหยางอี้อัจฉริยะไม่สิ อดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งสักเล็กน้อย ฮ่าๆ”
ผู้คนฝั่งซุ้มตระกูลห่าว ต่างหัวเราะเยาะเย้ยกันอย่างบ้าคลั่ง ตัวห่าวหวางนั้นได้หลงรักหวังจือตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ แต่หยางอี้กลับได้หมั้นหมายกับหวังจือ ทำให้เขาเดือดดาลเป็นอย่างมาก เมื่อหยางอี้สูญเสียลมปราณไปห่าวหวางจึงคอยตามราวีหยางอี้ไม่เลิก
“หยางอี้งั้นหรือ นั่นมิใช่เจ้าอัจฉริยะตกอับที่ตอนนี้กลายเป็นขยะงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว ข้าว่าตระกูลห่าวต้องการจะฉีกหน้าตระกูลหยางมากกว่า”
“ฮึ่ม เจ้าขยะนั่นคงมิกล้าขึ้นลานประลองเป็นแน่”
“เฮ้อ ข้าหวังว่าการที่ตระกูลห่าวทำเช่นนี้ คงจะไม่ทำให้เกิดสงครามหรอกนะ”
ทั่วทั้งลานประลองเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบกัน
พรึ่บ!
บนลานประลองปรากฏร่างเด็กหนุ่มอีกคนขึ้นมา เขาจ้องมองไปยังห่าวหวางอย่างเย็นชา การปรากฏตัวของชายหนุ่มนั้นสะกดทุกสายตาของทุกคน เสียงซุบซิบพลันเงียบสงบลงในทันใด ก่อนจะมีเสียงหัวเราะดังขึ้น
“ฮ่าๆๆ นั่นมิใช่หยางอี้? มันกินหัวใจเสือมาจากไหนถึงกล้าขึ้นสู่ลานประลอง”
“เห็นทีจวนเจ้าเมืองจะไม่สนใจใบหน้าเสียแล้ว”
เสียงหัวเราะต่างดังไปทั่วลานประลอง ผิดกับซุ้มตระกูลหยางและตระกูลหวัง หวังจือมองไปยังหยางอี้ด้วยแววตาสับสนเพียงครึ่งลมหายใจก่อนจะกลับเป็นเย็นชาเหมือนเดิมทางด้านหวังเสี่ยวป้อและหวังเฟยนั้นรู้อยู่แล้วว่าลมปราณของอยางอี้นั้นได้กลับมาแล้ว เขาได้เจอกับหยางจงในงานประมูลหญ้าดารา1000 ปีและได้พูดคุยกัน ตระกูลหวังจึงหลีกทางให้
“ฮี่ฮี่ หยางอี้ ข้าหวังว่าการที่เจ้าได้หญ้าดาราไปจะไม่เป็นการเสียเปล่าหรอกนะ” ห่าวหวางกล่าวออกมาด้วยสายตาเย้ยหยัน
“เฮอะ สุนัขตระกูลห่าวเก่งเพียงแต่เห่าหรือยังไง เข้ามาได้แล้วอย่าให้บิดาเจ้าต้องเสียเวลา” หยางอี้กล่าวด้วยเสียงยั่วยุ
“บัดซบ! ปากดีนัก มาดูกันว่าวันนี้ข้าจะหักกระดูกเจ้ากี่ชิ้น”
พูดจบห่าวหวางก็ปลดปล่อยพลังปราณฝึกหัดขั้น 9 ออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่หยางอี้ หยางอี้ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับจนห่าวหวางเข้าใกล้จนระยะห่างเหลือเป็น 2 เมตร ก่อนที่ชายหนุ่มจะปลดปล่อยพลังปราณฝึกหัดระดับ 8 ออกมา เมื่อห่าวหวางสัมผัสได้ถึงลมปราณของหยางอี้ เขาพลันชะงักไปครู่หนึ่ง และนั่นทำให้มุมปากของหยางอี้ปรากฏรอยยิ้มก่อนจะใช้ออกด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์
วูบ
พลันร่างของหยางอี้หายไปจากสายตาของห่าวหวาง ก่อนจะมาปรากฏตัวที่ด้านหน้าห่าวหวางในระยะประชิดถึงแม้ว่าห่าวหวางจะรู้ตัวแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว หยางอี้โคจรลมปราณไปที่ฝ่ามือ ใช้ออกด้วยหัตถ์หลอมศิลา ตบเข้าไปที่หน้าของห่าวหวางอย่างจัง
เพี๊ยะ !
เสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งลานประลอง ด้วยน้ำหนักมือถึง 400 จิน ทำให้ห่าวหวางกระเด็นไปไกลกว่าสามเมตรและหมดสติไปทันทีภาพนี้ส่งผลให้ทั่วทั้งลานประลองกลายเป็นเงียบกริบ ตอนนี้หากมีคนทำเหรียญหล่นผู้คนในงานประลองคงจะได้ยินเสียงกันทุกคน หยางอี้มองไปที่พื้นลานประลองและยิ้มอย่างพอใจกับผลงานของตน บนลานประลองปรากฏรอยเลือดและมีฟันของมนุษย์กระจายอยู่ 3 ซี่
“หวางเอ๋อร์!”
เสียงของห่าวเทียนช่วยดึงสติทุกคนกลับคืนมาทันที สายตาทุกคู่ล้วนจดจ้องไปยังลานประลองก่อนจะระเบิดเสียงพูดคุยออกมาอย่างตื่นตะลึง
“บัดซบ! ใครบอกว่าหยางอี้เป็นขยะ”
“นั่นมันรวบรวมปราณขั้นที่ 8 เลยนะ”
“หรือว่าพลังปราณเขาจะไม่ได้หายไป”
“ไม่! เมื่อ 3 ปี ก่อนพลังปราณหยางอี้หายไปอย่างแน่นอน”
เสียงผู้คนต่างฮือฮากันไม่หยุดหย่อน ก่อนที่ไม่นานจะมีคนจากตระกูลห่าวมาหามตัวนายน้อยของพวกเขาลงจากเวทีไป
“หวางเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”
ห่าวเทียนรีบลุกไปดูอาการบุตรชายของเขาทันทีด้วยความรีบร้อน
“นายน้อยเพียงหมดสติไปเท่านั้นขอรับท่านผู้นำ”
ชายผู้ที่นำร่างห่าวหวางลงมารีบตอบกลับไป บรรยากาศในซุ้มตระกูลห่าวเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที เดิมทีตระกูลห่าวตั้งใจจะฉีกหน้าตระกูลหยางในงานประลองครั้งนี้ แต่ผลที่ออกมาดันกลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิง ผิดกับซุ้มท่านเจ้าเมืองตอนนี้ที่ใบหน้าของแต่ละคนเบิกบานไปด้วยความสุขจากการที่ได้ระบายความแค้นที่อัดอั้นมานาน 3 ปี
“ฮ่าๆๆ อี้เอ๋อร์เหตุใดจึงทำรุนแรงถึงเพียงนั้น? จุ๊จุ๊ นายน้อยตระกูลห่าวนั้นมีปากเป็นอาวุธ เจ้าทำเยี่ยงนี้แล้วต่อไปเขาจะกล้าพูดได้อย่างไร”
หยางจื่อส้งกล่าวกับหยางอี้แม้เสียงจะไม่ได้ดังมาก แต่มันก็ถูกขับด้วยลมปราณ ทำให้ทุกคนต่างได้ยินชัดเจน โดยเฉพาะคนจากตระกูลห่าว ทำให้สีหน้าคนตระกูลห่าวต่างบิดเบี้ยว โดยเฉพาะห่าวเทียนสีหน้าของเขาบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวเขียว สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“บัดซบ! เจ้าหมาแก่ส้งมันบังอาจนัก”
ห่าวเทียนคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจงใจขุดหลุมล่อให้พวกเขาเสียหน้าอย่างจัง
“อย่าได้โมโหไปท่านพ่อ ข้าห่าวเฉินผู้นี้จะทำให้พวกมันได้รู้เองว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ปกครองเมืองธาราสวรรค์แห่งนี้!”
ห่าวเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
“ดี ดี เฉินเอ๋อร์ เจ้าจงขึ้นไปแสดงให้พวกมันเห็นและบดขยี้เจ้าสวะนั่นซะ หากมีโอกาสก็จัดการฆ่ามันซะ!”
“ทราบแล้วท่านพ่อ”
เมื่อรับคำบิดา ห่าวเฉินหันไปจ้องมองไปยังหยางอี้ด้วยสายตาดุจดั่งพยัคฆ์ที่จ้องจะขย้ำเหยื่อ เขายกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะทะยานขึ้นสู่ลานประลอง
พรึ่บ!
“ข้าห่าวเฉิน อยากจะขอคำชี้แนะจากนายน้อยหยาง และตอบแทนที่นายน้อยหยางดูแลน้องชายข้าเป็นอย่างดี”
ห่าวเฉินกล่าวขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณก่อกำเนิดออกมาทันทีโดยหวังจะสะกดข่มหยางอี้ให้หวาดกลัว ทว่าหยางอี้ยังคงยืนอย่างนิ่งเฉยบนลานประลองสายตาจ้องมองไปยังห่าวเฉินอย่างเย็นชา ทั่วทั้งร่างกายปลดปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อต้านทานแรงกดดันจากห่าวเฉิน
“มาดูกันว่าเจ้าจะรับมือข้าได้ซักกี่กระบวนท่า”
เมื่อพูดจบห่าวเฉินก็พุ่งเข้าหาหยางอี้ทันที เขาโคจรลมปราณไปยังมือขวาก่อนจะง้างหมัดต่อยเข้าไปที่หน้าอกของหยางอี้
ปัง!
บังเกิดเป็นเสียงโลหะปะทะกัน หยางอี้ใช้ออกด้วยหัตถ์หลอมศิลาเข้ารับมือกับห่าวเฉินได้อย่างไม่เป็นรอง!
ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนบัดนี้ทั้งสองต่อสู้กันผ่านไปกว่า 30 กระบวนท่าแล้ว ภาพที่เห็นทำให้หลายคนต้องประหลาดใจเมื่อรวบรวมลมปราณขั้นที่ 8 สามารถต่อกรกับก่อกำเนิดลมปราณได้อย่างสูสี!
วูป
เมื่อได้โอกาส หยางอี้ไม่รอช้าใช้ออกด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์ทันที เพียงพริบตาร่างของชายหนุ่มก็ไปปรากฏตัวด้านหลังของห่าวเฉินพร้อมกับง้างหมัดต่อยไปอย่างเต็มแรง
ปัง!
ห่าวเฉินพลิกตัวกลับมารับหมัดของหยางอี้ได้อย่างทันท่วงที ห่าวเฉินนับเป็นอย่างไร เขามิใช่ตัวโง่งมอย่างห่าวหวาง อีกทั้งยังมีระดับปราณสูงกว่าหยางอี้ถึง 1 ช่วงชั้น การที่หยางอี้จะเอาชนะเขานั้นย่อมมิใช่เรื่องง่าย
หลังจากปะทะกันมา 40 กระบวนท่า เมื่อไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบทั้งสองจึงผลักออกจากกัน ตอนนี้ทั่วทั้งลานประลองต่างเงียบกริบ คนดูไม่แม้กระทั่งอยากจะกะพริบตา การที่ระดับรวบรวมลมปราณจะต่อสู้กับก่อกำเนิดลมปราณได้อย่างสูสีนั้น หยางอี้นับเป็นอัจฉริยะโดยแท้ ตอนนี้ไม่มีผู้ใดจะสามารถคาดเดาการประลองได้แล้ว
ห่าวเฉินนั้นเมื่อแยกออกจากหยางอี้ เขามองไปที่หยางอี้ด้วยสายตาที่สับสน สมองพลันมีเสียงอื้ออึง ด้วยการที่ตัวเขายืนอยู่เหนือหยางอี้ถึง 1 ช่วงชั้น ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็หาเหตุผลที่อีกฝ่ายสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสีไม่เจอ
‘บัดซบ เหตุใดมันถึงสามารถต่อกรกับข้าได้? อีกทั้งยังทำให้แขนขวาของข้านั้นถึงกับด้านชา!‘
หลังจากปะทะกันมาถึง 40 กระบวนท่า ห่าวเฉินนั้นเริ่มไม่มีความรู้สึกที่แขนขวา ด้วยความยโสของเขา ใช้ออกด้วยลมปราณระดับก่อกำเนิดของเขาในการปะทะเท่านั้น ผิดกับหยางอี้ที่ทุกฝ่ามือนั้นใช้ออกด้วยหมัดหลอมศิลาที่มีน้ำหนักถึง 400 จิน!
หยางอี้จ้องมองไปยังห่าวเฉิน เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นทุกท่วงท่าที่ห่าวเฉินใช้ออกนั้นล้วนเล็งมาที่จุดตายของเขา อีกทั้งยังมีจิตสังหารที่แผ่พุ่งมาหาเขาอยู่ตลอดเวลา
‘ฮึ่ม นี่มันคิดจะสังหารข้าจริงๆ? ดี! หากเป็นเช่นนั้นมาดูกันว่าเจ้าหรือข้าจะยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย!’
“ไม่นึกว่าขยะอย่างเจ้าจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ ดี! วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นทักษะของตระกูลห่าว!”
เมื่อพูดจบห่าวเฉินพลันเร่งพลังปราณถึงขีดสุดทันที รอบตัวเขาบรรยากาศเริ่มปิดเบี้ยวอุณหภูมิภายในลานประลองเริ่มสูงขึ้นจนคนดูเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นกันเต็มหน้าผาก
“นั่น หรือว่าจะเป็นทักษะระดับปฐพีของตระกูลห่าว?”
“ใช่แล้ว เมื่อปีที่แล้วข้าเคยเห็นห่าวหวางใช้ทักษะนี้ แต่นั่นเทียบไม่ได้กับตอนนี้เลยแม้แต่น้อย”
“บัดซับ เจ้าเด็กนั่นมันฝึกหมัดพยัคฆ์โลกันต์ จนถึงขั้น 5 แล้ว?”
หยางจื่อส้งมองไปยังลานประลองด้วยสายตาวิตกกังกล เขาเตรียมตัวจะขึ้นไปหยุดการต่อสู้ทันทีหากหยางอี้มีอันตรายถึงชีวิต บุตรชายของเขาเพิ่งจะได้รับความเมตตาจากสวรรค์หลังจากสูญเสียทุกสิ่งไปเมื่อสามปีก่อน เขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีกเป็นอันขาด!
“ตายซะ เจ้าขยะ!”
ห่าวเฉินคำรามออกมาแล้วพุ่งเข้าหาหยางอี้ด้วยความรวดเร็ว ที่หมัดข้างขวาของเขาปรากฏเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉานห้อหุ้มเอาไว้ เสียงเผาไหม้ของอากาศที่เสียดสีกับแรงลมจากการพุ่งตัวของเขาราวกับพยัคฆ์ร้ายที่กู่ร้องคำราม
โฮก!
หยางอี้เองก็มิได้นิ่งเฉยเริ่มโคจรลมปราณภายในร่างกายไปไว้ที่ฝ่ามือจนบรรยากาศเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความร้อน รอบฝ่ามือของเขาปรากฏเป็นประกายไฟสีส้มอ่อน ก่อนจะพุ่งเข้าหาห่าวเฉินเช่นกัน
หัตถ์หลอมปฐพี!
“หาที่ตาย!”
ห่าวเฉินร้องตะโกนออกมาก่อนที่ทั้งสองจะเข้าปะทะกัน อุณหภูมิรอบลานประลองพลันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังปราณจากทั้งสองแผ่พุ่งออกไปยังรอบข้างจนคนดูต่างรู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลางกองเพลิง
หลังจากปะทะกันหยางอี้เริ่มโดนกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยพลังปราณที่เหนือกว่าของห่าวเฉิน และมันทำให้เสียเปรียบในการปะทะกันตรงๆด้วยพลังปราณ
อึก!
เลือดสดๆพุ่งออกมาจากปากของหยางอี้ เมื่อเห็นเช่นนั้นห่าวเฉินแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ สำหรับเขาแล้วการจัดการหยางอี้นั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!
‘บัดซบ! ข้าคงไม่มีทางเลือกแล้ว มีแต่ต้องใช้มันเท่านั้น‘
หยางอี้เริ่มโคจรลมปราณในร่างไปที่ฝ่ามือเรื่อยๆ จนแขนขวาเริ่มจะรับไม่ไหวทว่าเช่นเดียวกันการต่อต้านของเขาเริ่มมีมากขึ้นทีละน้อย
‘ยัง ยังไม่พอ ข้าจะมาแพ้ที่นี่ไม่ได้เพื่อท่านพ่อเพื่อตระกูลหยาง’
‘ข้าต้องชนะ!‘
ความเจ็บปวดเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ชายหนุ่มยังคงกัดฟันทน โคจรพลังปราณเข้าไปไม่ยอมหยุด จนเริ่มดันหมัดของห่าวเฉินกลับไปได้ทีละน้อย ระหว่างที่เป็นเช่นนี้ห่าวเฉินเริ่มมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ความตื่นตระหนกเริ่มปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
“ป เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เหตุใดอยู่ๆมันจึงมีพลังมากกว่าข้า?”
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นการกระทำของหยางอี้ หยางจื่อส้งพลันหน้าซีดเผือดทันที ตัวเขานั้นฝึกทักษะหัตถ์หลอมตะวันเช่นกันแถมยังอยู่ในขั้น หลอมจันทราแล้ว เพียงมองดูก็รู้ว่าหยางอี้ฝืนโคจรพลังปราณเพื่อใช้ออกด้วยระดับหัตถ์หลอมนภา ทั้งที่ร่างกายยังไม่สามารถรองรับพลังปราณได้
“หยุดนะอี้เอ๋อร์”
หยางจื่อส้งตะโกนออกมาอย่างร้อนใจแต่มีหรือที่หยางอี้จะฟัง? เขายังคงโคจรลมปราณไปยังฝ่ามือขวาไม่ยอมหยุด! สำหรับหยางอี้ศักดิ์ศรีที่ถูกบดขยี้ตลอดสามปีที่ผ่านมาของตระกูลหยางจะต้องถูกแก้ไขในวันนี้!
ปัง!
บังเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วลานประลอง ห่าวเฉินกระเด็นออกไป 5 ก้าวก่อนเขาจะกะอักเลือดออกมาคำโต เขาพึมพำออกมาอย่างกับคนไร้สติ
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ข้าจะแพ้ได้อย่างไร?”
ทางด้านหยางอี้นั้น แขนขวาของเขาห้อยลงมาไร้ความรู้สึกไปเรียบร้อยแล้ว สติเริ่มรางเลือนจนแทบไม่อาจประคองร่างให้ยืนไหวภาพเบื้องหน้าในสายตาเริ่มเอนเอียงไม่มั่นคงเช่นเดิมราวกับจะล้มลงได้ทุกขณะ
“ไม่! ข้าจะหลับไปตอนนี้ไม่ได้ มันยังไม่จบ!”
หยางอี้กัดปากตัวเองเพื่อคงสติไว้ สายตาของเขาเต็มไปด้วยประกายสังหาร ความรู้สึกอัดอั้นตลอดสามปีจะต้องให้พวกมันชดใช้ในวันนี้! เขารวบรวมลมปราณที่เหลือทั้งหมดไปยังมือซ้ายก่อนจะพุ่งเข้าหาห่าวเฉินทันที เมื่อเห็นเช่นนั้นห่าวเทียนเองก็รู้ได้ทันทีเช่นกันว่าหยางอี้ต้องการจะทำอะไร ใบหน้าของเขาซีดเผือดก่อนเขาจะตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“หยุด หยุดได้แล้ว หยุดเดี๋ยวนี้!!”
แต่สายไปเสียแล้ว บัดนี้ฝ่ามือของหยางอี้ได้ประทับอยู่ตรงท้องน้อยของห่าวเฉิน ทำให้ห่าวเฉินกระอักเลือดออกมาอีกครั้งก่อนจะกระเด็ดออกไป นอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ทั่วร่างกายของเขามีพลังปราณหลั่งไหลออกมาไม่หยุด เมื่อทนความเจ็บปวดไม่ไหวเขาก็หมดสติไป
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึง หยางอี้นั้นได้ทำลายการบ่มเพาะของห่าวเฉิน! ชายหนุ่มที่อยู่ระดับรวบรวมปราณสามารถเอาชนะระดับก่อกำเนิดลมปราณได้จริงๆ! นี่นับว่าหยางอี้เป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้ ตอนนี้ภาพลักษณ์ของหยางอี้ที่ทุกคนต่างมองว่าเป็นขยะได้หายไปหมดแล้วอย่างสิ้นเชิง
แต่ถึงอย่างไรการกระทำของหยางอี้ในครั้งนี้รุนแรงเกินไป! เรื่องคงไม่จบเพียงการเจรจาเป็นแน่!