เล่มที่ 1 บทที่ 2
ณ ห้องของของหยางอี้
เด็กหนุ่มกำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อรวบรวมลมปราณอยู่บนเตียงนอน ร่างกายของเขาถูกชโลมไปด้วยเหงื่อ หลังจากงานฉลองอายุ ตอนนี้วันเวลาก็ได้ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ในงานฉลองอายุหลังจากที่ห่าวหวางกลับไป หยางจื่อส้งก็โกรธเป็นอย่างมาก ถึงขั้นต้องการประกาศสงครามกับตระกูลห่าว โชคดีที่ทุกคนช่วยกันห้ามไว้โดยยกเหตุผลต่างๆขึ้นมาจนสุดท้ายเขาถึงได้ใจเย็นลง อย่างไรเสียตระกูลหยางก็เป็นตระกูลเจ้าเมือง การก่อสงครามนั้นย่อมทำให้เมืองเกิดความวุ่นวายและสิ่งที่จะตามมาคือความเสียหายที่ไม่อาจจินตนาการได้
หยางจื่อส้งนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมือง แน่นอนว่าต้องคิดถึงชาวเมืองเป็นหลัก สำหรับหยางอี้นั้นเขาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงรอบข้างมากนัก ตัวเขาแม้จะถูกผู้คนทั้งเมืองเรียกว่าขยะก็ตาม แต่สำหรับหยางอี้แล้วไม่นับเป็นอะไรได้ อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพียงแค่เรื่องลับหลังเท่านั้น ต่อหน้าเขาและบิดาของเขานั้นก็คงจะมีเพียงพวกสุนัขตระกูลห่าวเท่านั้นที่กล้าเรียกเขาว่าขยะและกล่าววาจาน่ารังเกียจเหล่านั้นออกมา
ที่ผ่านมานั้นตระกูลห่าวพยายามจะยั่วยุตระกูลหยางเพื่อก่อสงครามมาเป็นเวลานาน ถึงแม้ 3 ตระกูลใหญ่นั้น จะมีอำนาจค้ำยันกันในเมืองธาราสวรรค์ แต่นั่นมาจากฐานอำนาจที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตระกูลหยางนั้นเป็นเจ้าเมืองมาหลายชั่วอายุคน ฐานอำนาจมาจากประชาชนในเมืองเป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมานั้นตระกูลหยางได้ฝังรากลึกลงไปและมีความเชื่อที่เจ้าเมืองจะมาจากตระกูลหยางเท่านั้น ต่างจากตระกูลห่าวที่รวบรวมผู้ฝึกยุทธ์มากมายจนไต่เต้าขึ้นมามีอำนาจในเมืองเมื่อไม่นานมานี้ทว่ากลับมีอำนาจเทียบเท่ากับจวนเจ้าเมือง ส่วนหนึ่งคือตระกูลหวัง ตระกูลนี้เป็นตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวย มีเส้นสายมากมายในเมืองธาราสวรรค์แห่งนี้ แต่หากจะพูดว่าทั้งสามตระกูลมีอำนาจเท่าเทียมกันนั่นก็เพียงแค่เหล่าผู้นำตระกูลทั้งสามที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปราณตั้งจิตขั้นสูงสุดเพียงเท่านั้น หากจะนับรวมกองกำลังทั้งตระกูลจริงๆ อีกสองตระกูลไม่สามารถเทียบกับตระกูลห่าวได้เลยและนั่นก็เป็นเหตุให้ตระกูลห่าวพยายามจะก่อสงครามเพื่อรวบรวมอำนาจทั้งหมดภายในเมืองไว้แต่เพียงผู้เดียว!
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ตลอดทั้งคืนหยางอี้นั่งสมาธิรวบรวมลมปราณเพื่อดูดซับเข้าสู่ตันเถียน ความจริงการฝึกฝนเช่นนี้จะไม่ลำบากมากนักมันเป็นเพียงการสัมผัสกับปราณธรรมชาติและชักนำเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางอย่างทุกครั้งที่หยางอี้ดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายเขาจะได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมากด้วยเส้นลมปราณที่หดตัวลงเมื่อสามปีก่อนและกลายเป็นตีบตันในที่สุด
"หลังจากที่ข้าตัดผ่านเข้าสู่รวบรวมปราณขั้นที่ 3 ปริมาณพลังปราณภายในตันเถียนของข้าก็ไม่ขยับอีกเลย ไม่ว่าจะดูดซับปราณธรรมชาติมากเท่าไหร่ นี่ถือเป็นคอขวดของการจะก้าวเข้าสู่ขั้นกลางของการรวบรวมลมปราณ ดูเหมือนข้าจะต้องใช้บางอย่างเพื่อกระตุ้นการทะลวงครั้งนี้!"
ลองพยายามดูอีกระยะเวลาหนึ่งเมื่อผลยังคงเป็นเช่นเดิมหยางอี้จึงลุกขึ้นจากเตียงล้างชำระกาย
"ช่วงนี้ข้ารู้สึกว่ารอยสักนี่มักจะร้อนขึ้นเป็นพักๆเวลาข้าบ่มเพาะพลังปราณ…หรือจะเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อสามปีก่อน? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าคงต้องไปทำงานตามที่ท่านพ่อบอกจริงๆแล้ว"
หยางอี้มองไปที่รอบรอยสักรูปอสรพิษที่มีปีกที่แขนซ้ายอย่างกังวลก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องอดทนแค่ไหนกว่าจะกลับมาถึงจุดนี้ ไม่ต้องพูดถึงความพยายามในการฝืนความเจ็บปวดในการโคจรพลังปราณ แค่เพียงแรงใจอย่างเดียวก็นับว่าไม่มีใครเทียมแล้ว จากอัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้รุ่งโรจน์เต็มไปด้วยเส้นทางอันไร้ขีดจำกัด! วันหนึ่งกลับต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างไปจากขยะเช่นนี้ จะมีสักกี่คนที่สามารถมุ่งมั่นเริ่มฝึกฝนใหม่อีกครั้ง? ยามเช้าแสงอาทิตย์สาดส่องแสดงถึงการเริ่มวันใหม่ หยางอี้เดินออกจากห้องและตรงไปยังทิศทางหนึ่งภายในจวน…คลังสมบัติของตระกูล!
ระยะทางไม่ไกลนักเพียงครู่เดียวเขาก็มายืนอยู่ด้านหน้าสิ่งปลูกสร้างคล้ายโกดังเก็บของ โดยรอบเต็มไปด้วยทหารยามเฝ้าระวังตรวจตราอย่างเข้มงวด ที่ด้านหน้าทางเข้ามีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่งพร้อมกับชายชรานั่งหลับตาอยู่ เสียงฝีเท้าของหยางอี้ปลุกให้เขาลืมตาขึ้นและมองมายังชายหนุ่ม แสงแห่งความประหลาดใจวูบขึ้นภายในดวงตาก่อนที่เขาจะกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
"อ่า นั่นนายน้อย? ท่านต้องการอะไรหรือขอรับ"
ชายชราที่เฝ้าคลังสมบัติเอ่ยถามออกมา อย่างไรก็ตามแม้ว่าหยางอี้จะสูญเสียพลังปราณไปแต่คนภายในจวนเจ้าเมืองยังคงเคารพในตัวเขาเช่นเดิม ย้อนกลับไปในคราวที่รุ่งโรจน์หยางอี้ไม่เคยวางตัวหยิ่งยโสหรือกดขี่ผู้ใดแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้เขากลายเป็นที่เอ็นดูและเคารพของทุกคนภายในจวนแห่งนี้
"ท่านลุง กงกง ข้าต้องการดวงจิตอสูรก่อกำเนิดระดับกลาง…ในคลังสมบัติตระกูลมีหรือไม่?"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น กงกง ขมวดคิ้วทันทีเป็นไปได้ว่านายน้อยต้องการทะลวงระดับ?
"นายน้อยท่านต้องการจะทะลวงสู่ขั้นกลางรวบรวมลมปราณ? แต่การฝืนใช้ดวงจิตอสูรมันจะอันตรายเกินไปนะขอรับ ท่านควรคิดให้รอบคอบ!"
การจะใช้ดวงจิตอสูรทะลวงข้ามขั้นนั้น จำเป็นจะต้องไปถึงจุดสูงสุดของระดับนั้นเสียก่อนเพื่อให้เส้นลมปราณในร่างกายมีขนาดใหญ่เพียงพอต่อการรองรับลมปราณที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามหากเป็นผู้ที่เส้นลมปราณยังอ่อนแอฝืนใช้มันก็ไม่ต่างอะไรจากแก้วชั้นเลวที่ใส่น้ำเดือดผลสุดท้ายมันก็จะแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ คำเตือนของกงกงแน่นอนว่าคือความหวังดี อย่างไรก็ตามหยางอี้เพียงยิ้มจางๆ ในแววตาแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจอันเด็ดขาด
"ท่านลุงกงกงอย่าได้เป็นห่วงไป ท่านคงมิลืมว่าข้านั้นเคยไปถึงจุดสูงสุดของรวบรวมลมปราณมาแล้ว?"
หยางอี้นั้นได้เคยก้าวเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวลมปราณก่อกำเนิดมาแล้วและด้วยเหตุผลนั้นทำให้เส้นลมปราณของเขานั้นมีขนาดใหญ่กว่าหากเทียบกับคนทั่วไปในระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่สาม! แต่นั่นก็เป็นเหตุให้ตัวเขานั้นบ่มเพาะพลังลมปราณได้ช้ากว่าผู้อื่นเช่นกันเพราะด้วยเส้นลมปราณที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น
"เข้าใจแล้ว ข้าขอเวลาสัก 1 ชั่วยาม จะให้คนไปส่งให้ที่ห้องของท่าน"
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยทั้งสองก็แยกจากกัน หยางอี้กลับไปรอที่ห้องของตนและเริ่มทำสมาธิอีกครั้งระหว่างรอกงกงนำของมาส่ง
"แม้ขนาดเส้นลมปราณของข้าจะสามารถรองรับพลังปราณจากดวงจิตรอสูรได้แต่เนื่องจากลมปราณในร่างกายข้านั้นตีบเล็กลงเหมือนลูกโป่งขนาดใหญ่แต่ภายในกลับไม่มีลม ? การจะทะลวงขั้นโดยการดูดซับดวงจิตรอสูรนั้นยังมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรข้าก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว อีกเพียงสองเดือนจะถึงงานประลองแล้ว!"
รออยู่ไม่นานดวงจิตอสูรก่อกำเนิดระดับกลางก็มาถึง ภายในห้องหยางอี้นั่งจ้องมองมาที่มันด้วยท่าทีครุ่นคิดอย่างหนัก เขาเองก็ไม่ได้มั่นใจเต็มสิบส่วนกับการใช้วิธีนี้
"แม้จะมีความเสี่ยงในการถูกธาตุไฟเข้าแทรก แต่การจะใช้ทักษะของตระกูลหยางนั้นต้องมีระดับปราณฝึกหัดขั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น หากข้าสามารถใช้ทักษะหัตถ์หลอมตะวันได้ก็คงจะพอมีโอกาสอยู่บ้างที่จะไม่พ่ายแพ้ตั้งแต่รอบแรก!"
หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยหยางอี้ก็ตัดสินใจเริ่มดูดซับพลังปราณจากดวงจิตรอสูรในที่สุด ภายในห้องบรรยากาศพลันเริ่มเกิดการบิดเบี้ยว พลังปราณก่อกำเนิดระดับกลาง จากดวงจิตรอสูรเริ่มไหลเข้าสู่ร่างกายของหยางอี้อย่างช้าๆด้วยความระมัดระวังหยางอี้โคจรลมปราณผ่านจุดชีพจรของร่างกายและหยุดลงเมื่อเข้าสู่ตันเถียนอย่างมั่นคง เส้นลมปราณเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากเส้นที่ตีบเล็กเริ่มโป่งพองขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของหยางอี้ก็เริ่มซีดขาว เม็ดเหงื่อปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ความเจ็บปวดราวถูกเข็มทิ่มแทงแล่นผ่านไปทั่วร่างกายจากหัวลงแขนสู่ปลายนิ้ว จากปลายนิ้ววิ่งลงสู่ขา…จากขาซ้ายมาขาขวา ผ่านแขนแล้วสุดท้ายหวนกลับมาสู่จุดตันเถียน! ทุกกระบวนการเป็นไปอย่างช้าๆ และมั่นคง
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป แม้ทุกอย่างจะดูเหมือนเรียบง่าย แต่ทุกรอบการโคจรความเจ็บปวดจากการขยายเส้นลมปราณจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นเท่าทวี!
อั้ก! ก้อนเลือดสีคล้ำพลันทะลักออกจากปากของชายหนุ่ม ร่างกายสั่นเทิ้มราวกับถูกบดขยี้ด้วยค้อนยักษ์
"อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นข้าจะต้องผ่านมันไปให้ได้!"
กัดฟันทนข่มความเจ็บปวดไว้ภายใน ฝืนเริ่มโคจรพลังปราณอีกครั้ง จุดตันเถียนของหยางอี้เริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว เร็วขึ้นเร็วขึ้น...
ปัง!
เสียงกระหึ่มราวฟ้าร้องปะทุดังขึ้นในตันเถียนของหยางอี้ มันคล้ายกับอัสนีฟาดผ่านสวรรค์ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าบัดนี้เขาก้าวเข้าสู่รวบรวมลมปราณขั้นที่ 4 เรียบร้อยแล้ว!
"แฮ่กๆฮ่าๆๆ ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ!"
เสียงหัวเราะดังออกมาอย่างบ้าคลั่ง ความอัดอั้นตลอดหลายปีได้รับการปลดปล่อย แม้จะยังห่างไกลจากเมื่อสามปีก่อนมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี! การทะลวงลมปราณเช่นนี้หากมีผู้อื่นมาเห็นจะต้องบอกว่าเขาบ้าหรือไม่ก็โง่จนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วแน่นอน
เวลาผ่านไปเสียงหัวเราะของหยางอี้ยังคงไม่หยุดลง อย่างไรก็ตามทันใดนั้นบางสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นขัดจังหวะความยินดีของเขา มัน…จะว่าคลับคล้ายคลับคลาก็ไม่เชิง…เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แขนซ้ายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ตรงรอยสักสีดำรูปอสรพิษ 6 ปีก มีแสงเรืองรองและความร้อนที่เพิ่มมากขึ้น และมันยังคงร้อนขึ้นเรื่อยๆ
"อ้าก! นี่มันอะไรกัน? เหตุใดมันถึงเป็นแบบนี้?"
หยางอี้ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงไม่นานก็เริ่มรู้สึกว่าพลังลมปราณในตันเถียนเริ่มไหลเข้าสู่รอยสักอสรพิษ 6 ปีก! ลางสังหรณ์อันเลวร้ายเริ่มปรากฏขึ้นในสมองของเขาทันที มิใช่ว่าเมื่อสามปีก่อนก็เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?
"บัดซบ !นี่ข้าจะต้องสูญเสียลมปราณอีกแล้วอย่างนั้นหรือ? สวรรค์เหตุใดจึงกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้? อ้ากก!"
ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด สติของเขาเริ่มเลือนราง ความอดทนและมุ่งมั่นพยายามตลอดสามปีที่ผ่านมาทำให้หยางอี้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น หรือสวรรค์ไม่ต้องการให้เขาเดินบนเส้นทางสายนี้จริงๆ ? ไม่ทันได้หาคำตอบสติของหยางอี้ก็ดับไปในที่สุด
เวลาล่วงเลยผ่านไปหยางอี้เริ่มรู้สึกตัว เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆขับไล่ความมึนงงออกไปและมองรอบๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องนอน? เบื้องหน้าปรากฏเป็นพื้นที่สีดำสนิทมองดูไม่รู้ว่ากว้างใหญ่สักเพียงไหน
"ตื่นแล้วรึเจ้าหนู?" เสียงของบางอย่างที่ดูเก่าแก่และทรงพลังดังก้องกังวานขึ้น
"เป็นผู้ใดกัน? แล้วตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน?" หยางอี้มิได้ตอบคำถามของเสียงนั้น แต่กลับลุกขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
"ฮ่าๆ ไม่ต้องตกใจไป ข้าเป็นใครนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือบัดนี้ด้วยความพยายามและอดทนของเจ้า…สมบัติสวรรค์ได้ตื่นขึ้นแล้ว!"
หยางอี้ตอนนี้สับสนไปหมดแล้ว เขาไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ภายในหัวหมุนเคว้ง พยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้!
"สมบัติสวรรค์อันใดกัน?"
เสียงเก่าแก่ลึกลับนั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องกังวานเช่นเดิม
"สมบัติสวรรค์ลำดับที่ 4 มุกมิติราชันย์!"
"มุกมิติราชันย์?" หยางอี้ยังคงสับสนอยู่
"ใช่แล้วเจ้าหนูที่นี่คือมิติพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจของมุกมิติราชันย์ สมบัติสวรรค์ลำดับที่ 4 สมบัติสวรรค์ที่มีไว้เพื่อให้กำเนิด ราชันย์!"
"ให้กำเนิดราชันย์?" หยางอี้อุทานออกมาอย่างตกตะลึงภายในหัวยังคงพยายามอย่างมากในการซึมซับข้อมูลและทำความเข้าใจกับคำพูดของเสียงโบราณนี้
"เวลาข้ามีไม่มากนัก ข้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณและหน้าที่ของข้ามีเพียงการมอบของขวัญบางอย่างให้แก่ผู้ครอบครองมุกมิติราชันย์เท่านั้น แต่เห็นแก่ความอดทนและพยายามของเจ้า ข้าจะตอบคำถามเจ้าสามข้อ!”
เสียงเก่าแก่โบราณนั้นอ่อนลงเล็กน้อย ทว่าเมื่อหยางอี้ได้ยินคำพูดนี้คิ้วของเขาพลันกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับความอัดอั้นบางอย่างได้จุดประกายขึ้นในหัวใจ
"ท่านพูดว่าความอดทนและความพยายาม? ท่านกำลังจะบอกข้าว่าที่พลังปราณของข้าอยู่ๆก็หายไปเป็นเพราะ...บัดซบเอ้ย!" หยางอี้กล่าวอย่างฉุนเฉียว นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตกระกำลำบากมาถึงสามปี?
"ใช้แล้วเจ้าหนู การจะปลุกพลังของสมบัติสวรรค์ให้ตื่นขึ้นนั้นจำเป็นต้องใช้พลังปราณจำนวนหนึ่ง แต่เพราะเมื่อสามปีก่อนที่เจ้าบังเอิญประสบวาสนาพบเจอมุกมิติราชันย์นั้นพลังของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะปลุกมันให้ตื่นขึ้น พลังปราณของเจ้าทั้งหมดจึงถูกมุกมิติราชันดูดซับมา"
"บัดซบ! นี่หมายความว่าข้าจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง?"
ใบหน้าของเขาดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ ในใจนึกร่ำร้องไม่หยุด เขานึกไม่ออกจริงๆว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ได้เจอกับเจ้าสมบัติสวรรค์ชิ้นนี้?
"อย่าได้กังวลไป ในครั้งนี้มุกมิติราชันย์นั้นถูกปลุกขึ้นก่อนที่พลังปราณของเจ้าจะเหือดแห้งลงอย่างแท้จริง ตัวเจ้าในตอนนี้เพียงตกอยู่ในสภาพใช้พลังปราณจนหมดเพียงเท่านั้น พักฟื้นสักหนึ่งวันพลังปราณของเจ้าก็จะฟื้นกลับมาเป็นปกติ อย่างไรก็ตามเจ้าจะไม่เสียใจแน่นอนที่ได้รับมรดกสมบัติสวรรค์ชิ้นนี้ ภายในมิติพิเศษนี้เวลาจะเดินช้ากว่าโลกภายนอกถึง 10 เท่า! การที่เจ้าจะเดินไปสู่ระดับที่เจ้าสูญเสียไปนั้นง่ายเพียงพลิกผ่ามือ"
'อะไร? 10 เท่า? หากข้าบ่มเพาะพลังปราณในมิตินี้ 10 ปี โลกภายนอกก็จะผ่านไปเพียงแค่ 1 ปี เท่านั้น' หยางอี้ตกตะลึงเป็นอย่างมากกับความสามารถของมุกมิติราชันย์ เรื่องนี้ทำให้เขามิรู้ว่าตอนนี้ตื่นหรือฝันอยู่? นี่เป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์แบบใดกัน?
"เอาล่ะ คำถามสุดท้าย จงกล่าวถามมา"
"อะไรนะ? ข้ายังมิได้ถามเลย เหตุใดจึงเป็นคำถามสุดท้าย?"
หยางอี้ไม่เข้าใจกับคำพูดของเสียงโบราณนี้และกล่าวถามอย่างงุนงง
"แล้วที่ผ่านมานั่น มิใช่เจ้ากล่าวถามข้าไปแล้วสองคำถามอย่างนั้นรึ?"
เสียงลึกลับกล่าวตอบมาอย่างเจ้าเล่ห์
'บิดาท่าน! เมื่อครู่ข้าเพียงสงสัยมิคาดว่ามันจะนับเป็นคำถามด้วย?'
อย่างไรก็ตามหลังจากครุ่นคิดไม่นานหยางอี้ก็กล่าวออกมา
"แล้วการจะเข้ามายังมิตินี้ข้าจะต้องทำเช่นไร?"
"ฮ่าๆ เจ้าหนู นั่นง่ายมากเพียงเจ้าส่งพลังปราณไปยังรอยสัก ที่ไหล่ซ้ายของเจ้าเท่านั้น "
เสียงลึกลับหัวเราะแล้วตอบออกมาตอกย้ำจิตใจของเขา
'เพ่ย ทำไมมันง่ายดายเช่นนี้? นี่เท่ากับว่าข้าไม่ได้อะไรเลยจาก 3 คำถามนั่น?'
"เอาล่ะ ทีนี้ก็เรื่องสุดท้ายข้าจะได้พักผ่อนเสียที"
วูบ
เมื่อสิ้นเสียงด้านหน้าของหยางอี้ก็ปรากฏเป็นกล่องโบราณใบหนึ่ง มันมีอักขระแปลกๆ อยู่เต็มกล่องและรอบๆกล่องยังเรืองแสงสีขาวนวลลอยอยู่เหนือพื้น
"นี่คือส่วนหนึ่งของ ทักษะระดับจักรพรรดิขั้นสูง แม้ตอนนี้มันจะเป็นทักษะระดับสวรรค์ขั้นต่ำ แต่หากเจ้าสามารถเข้าใจมันได้ถึงแก่นแท้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมาก"
หยางอี้มองไปยังกล่องเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง หัวใจเขาเต้นสั่นระรัวอย่างช่วยไม่ได้ อย่าว่าแต่ทักษะระดับจักรพรรดิเลย ในเมืองธาราสวรรค์การจะหาทักษะระดับปฐพีขั้นต่ำยังเป็นเรื่องยาก! สามตระกูลใหญ่นั้นมีครอบครองเพียงตระกูลละหนึ่งทักษะเท่านั้น!
"เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว สุดท้ายหากเจ้าต้องการส่วนที่เหลือของทักษะนี้ จงไปยัง หุบเขาอสรพิษสวรรค์ที่ตั้งอยู่ในจักรวรรดินภาสวรรค์...หมดเวลาแล้ว หวังว่าจะได้เจอกันอีกครั้งเจ้าหนู"
เสียงลึกลับค่อยๆหายไป หยางอี้เดินเข้าไปหากล่องที่ลอยอยู่ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะมัน
วูบ!
ฝากล่องโบราณแง้มเปิดออกมาช้าๆโดยไม่ทันได้ตั้งตัวลำแสงสีขาวพุ่งเข้าสู่หน้าผากของหยางอี้อย่างรวดเร็วพร้อมกับข้อความมากมายหลั่งไหลเข้าสู่สมองของหยางอี้ก่อนจะใช้เวลาไม่นานที่ลำแสงสีขาวนั้นจะหายไปพร้อมกับกล่องโบราณ
"แฮ่กๆ"
หยางอี้หายใจหอบพร้อมกับใช้มือนวดขมับทันที การรับเอาข้อมูลทักษะเข้าสู่สมองโดยตรงทำให้ร่างกายรับภาระหนักเกินไป เมื่อหวนระลึกถึงข้อความมากมายที่ซึมซับเข้ามานามของทักษะอันสูงส่งก็พลันปรากฏขึ้นมาในความทรงจำของเขา
"ย่างก้าวมายาสวรรค์"