ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 บทที่ 9
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 บทที่ 11

เล่มที่ 1 บทที่ 10


  

ยามเช้า หยางอี้ตื่นขึ้นมาชำระกายก่อนจะแต่งตัวเดินออกจากห้องไป ชายหนุ่มเดินออกไปยังสวนน้อยของจวนเพื่อรับบรรยากาศยามเช้า แสงตะวันสาดส่องเข้ามาภายในสวนประกอบกับการจัดวางต้นไม้และสวนดอกไม้ช่างเข้ากันอย่างลงตัว เขาเดินเข้าไปภายในสวนก่อนจะมองไปยังเก๋งหลังหนึ่งกลางสวนที่มีร่างดรุณีนางหนึ่งกำลังนั่งเล่นกับเหล่าผีเสื้อที่โบยบินอยู่รอบตัวนาง เมื่อรวมกับบรรยากาศแล้วยิ่งเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

“อรุณสวัสดิ์เพ่ยเพ่ย” หยางอี้กล่าวทักทายออกไป

“อ๊ะ! ท่านพี่หยางอี้ อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ” เพ่ยเพ่ยยิ้มหวานกล่าวออกไป

“เพ่ยเพ่ย วันนี้อาจมีการต่อสู้เกิดขึ้น เจ้าต้องระวังตัวให้ดี”

“เพ่ยเพ่ยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

หลังจากพูดคุยกันสักพัก ทั้งสองก็เดินไปยังห้องโถงเพื่อรับประทานอาหารเช้า ที่ห้องโถงมีเฟยหลงและฮูหยินรออยู่ก่อนแล้ว ตามนัดหมายเช้าวันนี้ ทุกคนจะไปรวมตัวกันที่จวนเจ้าเมือง เพื่อเตรียมรับมือกับตระกูลเจี่ย หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทั้ง 4 ก็ออกเดินทางไปยังจวนเจ้าเมือง ที่ทางเข้าจวนวันนี้แปลกตาไปไม่น้อย ลานหน้าประตูเต็มไปด้วยทหารกว่า 100 คนยืนรักษาการอยู่ ทั้ง 4 เดินเข้ามาภายในจวนยังคงมีทหารอีกเกือบ 200 คนเตรียมพร้อมอยู่ภายในและเฝ้าระวังตามจุดต่างๆ ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันภายในห้องโถง หยางอี้เดินตามเฟยหลงเข้าไป วันนี้มีหลายคนที่หยางอี้นั้นไม่เคยเห็น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างไร เพียงเดินไปนั่งยังที่ของตน

ส่วนเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงนั้นถูกแยกออกไปยังห้องของเสี่ยวปิง โดยมีทั้งคนของจวนเจ้าเมืองและจวนแม่ทัพคอยดูแลตรวจตราอย่างเข้มงวด

ภายในห้องโถงตอนนี้ต่างเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนต่างเสนอความเห็นต่างๆในการรับมือ และยังมีการรายงานจากผู้สังเกตการณ์ตระกูลเจี่ยเข้ามาเรื่อยๆ

“ท่านแม่ทัพ เรื่องชาวเมืองท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่” เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมา

“เรียนท่านเจ้าเมือง ข้าให้คนออกไปประกาศบอกชาวเมืองตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คาดว่าวันนี้ทุกบ้านคงจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน” เฟยหลงรายงานออกมา

“ดี เช่นนั้นเราหวังว่าท่านอาวุโสจะมาทันเวลา” หลังจากหารือกันเวลาก็ผ่านมาถึงเที่ยงตรง ดวงตะวันลอยตระหง่านอยู่เหนือศีรษะก็มีรายงานเข้ามาว่าตอนนี้ตระกูลเจี่ยเคลื่อนไหวแล้ว ทุกคนภายในห้องโถงกลายเป็นตึงเครียด ก่อนจะมีบางคนพูดออกมา

“ในที่สุด เรื่องที่เรากังวลก็เกิดขึ้น”

“อย่างไรเราก็คิดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้น ไปเถอะ ยังไงเราต้องถ่วงเวลาไว้ให้นานที่สุด” เสี่ยวทันหลางพูดออกมาก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป

หลังจากพูดจบ ทุกคนก็ทยอยเดินตามเจ้าเมืองออกไป เมื่ออกมายังหน้าประตูจวนเจ้าเมือง เบื้องหน้าปรากฏผู้คนราว 200 คน ที่ตรงด้านหน้าสุดเป็นชายวัยกลางคนร่างใหญ่ในชุดรัดรูปสีดำ ช่วงแขนเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อนั่นคือเจี่ยฮง ผู้นำตระกูลเจี่ย ที่ด้านข้างของเขาคือเด็กหนุ่มท่าทางหยิ่งยโส นั่นคือเจี่ยลี่ บุตรคนรองของตระกูลเจี่ยที่เพิ่งออกจากการปิดด่านฝึกตน

หยางอี้ที่สังเกตการณ์อยู่เริ่มเคร่งเครียด เพราะด้านหลังเจี่ยฮงนั้นเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์ราว 30 คน ซึ่งรวมเจี่ยฮงนั้นผู้อยู่ในระดับปฐพีมีถึง 3 คน! ยังมีระดับก่อตั้งจิตรขั้นสูงอีก 3 คน นี่ยังไม่นับรวมพวกที่เหลือก็เห็นถึงความต่างของกำลังรบแล้ว! ในขณะทางด้านนี้มีเพียงเสี่ยวทันหลางและเฟยหลงที่อยู่ในระดับปฐพีเท่านั้น ส่วนพวกที่เหลือไม่ต้องพูดถึง สูงสุดคือก่อตั้งจิตขั้นสูงเพียง 2 คนและขั้นกลางอีก 3 คน ทหารที่เหลือล้วนเป็นระดับก่อกำเนิด

หลังจากสังเกตอย่างรอบคอบ หยางอี้พลันตระหนักได้ว่าเจี่ยส้งนั้นไม่อยู่ที่นี่ นั่นทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย

“เจี่ยฮง เราสองตระกูลแม้จะไม่ถูกกัน แต่ก็ไม่เคยมีสถานการณ์รุนแรง แล้วเหตุใดเจ้าจึงได้ทำเช่นนี้?” เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมา

“ฮ่าๆ ท่านเจ้าเมือง ท่านใสซื่อเกินไปแล้ว ที่ผ่านมาเราล้วนปะทะกันมาโดยตลอด แม้จะไม่รุนแรงนัก แต่ข้าเคยกล่าวกับเจ้าแล้วว่าเรื่องในครั้งนั้นสักวันข้าจะเอาคืนเจ้าแน่นอน!” เจี่ยฮงกล่าวออกมาพลันหัวเราะอย่างสะใจ

“เฮ้อ เจี่ยฮง เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยึดติดนัก เมื่อก่อนเราก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน...”

“เหลวไหล! ข้าไม่เคยมีสหายเช่นเจ้า เจ้าตัวบัดซบที่หักหลังได้แม้กระทั่งเพื่อนของตนเอง!” เจี่ยฮงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

หยางอี้ยังคงยืนฟังการต่อปากต่อคำอย่างนิ่งเฉย แม้จะรู้ว่าเสี่ยวทันหลางพยายามถ่วงเวลา แต่ก็ยังคงงุนงงอยู่เช่นกันว่าระหว่างทั้งสองเคยมีเรื่องบาดหมางอันใดกัน

“เจี่ยฮง เรื่องนั้นข้าไม่มีข้อแก้ตัวใด...แต่เจ้าก็รู้ว่าอย่างไรมันก็ไม่สามารถเป็นไปตามที่เจ้าต้องการได้” เสี่ยวทันหลางพยายามกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อน

“เฮอะ! อย่ามาพูดเหลวไหล หากไม่มีเจ้า...ถ้าหากไม่มีเจ้าสักคน เรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้” เจี่ยฮงยังคงคำรามออกมาอย่างดุดัน

“เจ้า...เจี่ยฮง เรื่องมันผ่านมากว่า 18 ปีแล้ว อีกอย่างหากไม่มีข้านางก็มิได้รักเจ้า!” ในที่สุดเสี่ยวทันหลางก็เริ่มหมดความอดทน

จากคำกล่าวของเสี่ยวทันหลางนั้น เป็นเหมือนดังการกระตุ้นปมในใจของเจี่ยฮงอย่างแรง ตอนนี้ใบหน้ามันเต็มไปด้วยความโกรธจนสีหน้าดำทะมึน  ก่อนที่มันจะสงบลงและเผยรอยยิ้มออกมา

“ฮ่าๆ ดี ดี เจ้ากล้าดูถูกข้า แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าการที่ของรักถูกช่วงชิงไปเป็นอย่างไร!”

หลังจากพูดจบ เจี่ยฮงก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมา ทางด้านเสี่ยวทันหลางเองก็เช่นกัน ทั้งสองต่างพุ่งเข้าปะทะกันด้วยพลังปราณระดับปฐพีขั้นต้นที่ทั้งสองปลดปล่อยออกมาปะทะกัน ทำให้เกิดคลื่นพลังปราณแผ่กระจายไปโดยรอบ เหล่าผู้คนที่อยู่ในขั้นก่อตั้งจิตล้วนรู้สึกกดดัน ยิ่งพวกทหารระดับต่ำไม่ต้องพูดถึง บางคนมีใบหน้าซีดเผือดเลยทีเดียว

หยางอี้นั้นอยู่ใกล้กับเฟยหลงที่คอยแผ่พลังปราณออกมาเพื่อต้านแรงกดดัน ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบ ชายหนุ่มยังคงเฝ้ามองการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อแล้วนึกถึงคำพูดของเจี่ยฮง ตัวเขาเองก็มิเข้าใจว่าเหตุใดจึงรู้สึกแปลกๆ

ทั้งสองปะทะกันได้ 10 กระบวนท่าก็แยกจากกัน ทางด้านเจี่ยฮงนั้นยังคงกระหยิ่มยิ้มมองเสี่ยวทันหลางอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อมองไปยังเสี่ยวทันหลางหยางอี้แปลกใจอยู่บ้างที่เสี่ยวทันหลางมีอาการเหนื่อยหอบ หลังจากเห็นเป็นเช่นนั้น ทำให้เฟยหลงกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด

“เป็นเช่นไรบ้างท่านเจ้าเมือง เหตุใดท่านจึงเหนื่อยเช่นนี้?”

“ฮึ่ม ดูเหมือนข้าจะประมาทมันไปหน่อย เจี่ยฮงนั้นคงใกล้จะเข้าสู่ขั้นกลางของลมปราณปฐพีเต็มที่แล้ว พลังปราณมันจึงหนาแน่นกว่าข้าขั้นหนึ่ง!”

เสี่ยวทันหลางกล่าวออกมา ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนี้สถานการณ์เลยเลวร้ายกว่าที่คิดไว้มากนัก เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าผู้อาวุโสด้านหลังเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดที่ใบหน้า สถานการณ์เดิมนับว่าแย่อยู่แล้วที่ฝั่งนั้นมีระดับปฐพีมากกว่าหนึ่งคน แล้วตอนนี้เป็นไปได้ว่าท่านเจ้าเมืองจะไม่สามารถต้านทานเจี่ยฮงได้ นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปอีก

“ฮ่าๆ เสี่ยวทันหลางดูเหมือนฝีมือเจ้าจะตกลงนะ! เช่นนี้เจ้าจะปกป้องใครได้?”  เจี่ยฮงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย

“เฮอะ! อย่ามัวพูดไร้สาระ วันนี้แม้ตายข้าจะเอาเจ้าไปด้วย!”

“ฮ่าๆ เสี่ยวทันหลางเอ๋ย ข้าได้ยินมาว่า ธิดาของท่านเจ้าเมืองนี้ช่างงดงามยิ่งนัก ลูกชายข้านั้นหลงใหลนางอย่างยิ่งเลยทีเดียว” เจี่ยฮงพูดออกมาพร้อมยิ้มเหี้ยม

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหยางอี้พลันเข้าใจทันที เรื่องราวล้วนปะติดปะต่อกันอย่างรวดเร็ว เหตุใดเจี่ยส้งจึงไม่อยู่ที่นี่ เหตุใดเจี่ยฮงจึงพูดออกมาเช่นนั้น ไม่ต้องรอให้ใครพูดชายหนุ่มใช้ออกด้วยย่างก้าวมายาสวรรค์โดยความเร็วสูงสุดมุ่งหน้าไปยังที่อยู่ของทั้งสองทันที

ผ่านไปเพียงชั่วครู่หยางอี้ก็มาถึงเรือนของเสี่ยวปิง มองไปเบื้องหน้าชายหนุ่มพลันหน้าซีด ที่หน้าทางเข้านั้นมีร่างผู้คุ้มกัน 7 คนกำลังนอนอยู่ตามพื้น ที่หน้าอกของแต่ละคนมีรอยฝ่ามือ อยู่มุมปากมีรอยเลือดไหลออกมา

หยางอี้เร่งตรวจสอบชีพจรทั้ง 7 คนทันที พวกมันอยู่ในสภาพกึ่งตาย 2 คน อวัยวะภายในถูกทำลายไปเสีย 8 ส่วน อีก 5 คนล้วนเสียชีวิตแล้ว หยางอี้นั้นไม่มีวิชาแพทย์แต่อย่างใดเขาจึงได้แต่กล่าวออกมาอย่างเร่งร้อน

“พวกท่านอดทนสักนิด ข้าจะไปตามคนมาช่วย” หยางอี้ต้องการรีบออกไปแจ้งให้เฟยหลงและเสี่ยวทันหลางรู้เรื่องด้วยเช่นกัน

แต่ก่อนหยางอี้จะลุกขึ้นชายคนนั้นรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดจับแขนหยางอี้ไว้และพูดออกมาอย่างอ่อนแรง

“อย่าได้เสียวเวลาคุณชาย ท่าน...ท่านต้องรีบไปช่วยคุณหนูทั้งสอง แค่ก แค่ก...แล้วโปรดแก้แค้นให้พี่น้องข้าด้วย ป เป็นมัน เจ้าคนทรยศ ซูหมิง!”

หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็สิ้นใจทันที ไม่นานชายอีกคนก็สิ้นใจตามพี่น้องไป หยางอี้เดิมทีจะไปรายงานให้เฟยหลงและเสี่ยวทันหลางรู้ แต่ด้วยเวลาไม่คอยท่า อีกทั้งเมื่อคิดทบทวนแล้วจะไม่เป็นผลดีต่อการต่อสู้ของทั้งสองที่ต้องคอยกังวล เขาจึงเร่งทยานออกจากจวนและตรงไปยังตึกตระกูลเจี่ยทันที

ทางหน้าจวนเจ้าเมืองตอนนี้สถานการณ์ยังตึงเครียด เมื่อเสี่ยวทันหลางได้ยินที่เจี่ยฮงพูดแล้ว ในใจยิ่งร้อนรุ่มเหมือนโดนไฟแผดเผา

“เจ้าหมาบัดซบ! หากเจ้ากล้าแตะต้องลูกข้า...ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆชิ้น” เสี่ยวทันหลางคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

“ฮ่าๆ เชิญเลยหากเจ้าสามารถ!” เจี่ยฮงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

ทางเฟยหลงเองก็ไม่แพ้กัน เพราะบุตรของเขาก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่า แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าหยางอี้หายไปเขาก็แปลกใจไม่น้อย เจ้าหนูนี่มีวิชาแบบนี้ได้อย่างไรกัน แม้แต่ชนชั้นปฐพี 4 คนที่ยืนอยู่ยังไม่อาจรับรู้เมื่อเขาหายไป นี่หากเขามิได้แผ่ลมปราณเพื่อคลายแรงกดดันให้หยางอี้ ตัวเขาเองก็คงมิรู้เช่นกัน

เฟยหลงลอบส่งเสียงผ่านลมปราณไปหาเสี่ยวทันหลาง เพราะกลัวว่าเขาจะกังวลจนมิอาจรับมือเจี่ยฮงได้เต็มที่

“ท่านเจ้าเมืองอย่าได้วิตกไป ตอนนี้หยางอี้มุ่งหน้าไปหาทั้งสองแล้ว ท่านและข้าต้องทุ่มสมาธิในการรับมือกับพวกมันจะดีกว่า”

“นั่นสินะ แต่ข้ากลัวว่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงที่พวกมันเชิญมาอยู่ด้วยน่ะสิ” เสี่ยวทันหลางพูดออกมาอย่างกังวล

“เราก็ได้แต่หวังว่าทั้งสามจะปลอดภัย”

“ฮ่าๆ พวกเจ้าวางแผนกันอยู่หรือไง ไม่ต้องห่วงไปข้าจะไม่ไห้เจ้าตายไวแน่ เสี่ยวทันหลาง” เจี่ยฮงคำรามออกมาก่อนจะพุ่งเข้าหาเสี่ยวทันหลาง ทั้งคู่เริ่มเข้าปะทะกันอีกครั้ง

ทางกองกำลังตระกูลเจี่ยนั้นยังคงมิได้ลงมือ พวกมันต่างคิดว่าตนนั้นเหนือกว่า จะบดขยี้ฝั่งตรงข้ามเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับเวลา ส่วนทางด้านเจ้าเมืองก็ยังคงเตรียมพร้อมเข้าปะทะ ยังไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ทุกคนต่างรู้ว่ายิ่งเวลายืดไปได้อีกเท่าไรยิ่งเป็นผลดี

ตึกตระกูลเจี่ย ภายในห้องแห่งหนึ่งเสี่ยวปิงและเพ่ยเพ่ยถูกจับมัดไว้ด้วยเชือกพร้อมกับลมปราณที่ถูกสะกดไว้

“เสี่ยวปิง เราจะทำยังไงดี”

“ใจเย็นไว้เพ่ยเพ่ย ตอนนี้ท่านพ่อและท่านลุงอาจจะรู้แล้วว่าเราถูกจับตัวมา”

“แต่สถานการณ์ก็ยังไม่เปลี่ยนนะเสี่ยวปิง เราต้องหาทางออกไปให้ได้”

แอ๊ด!

เสียงประตูค่อยๆเปิดออกมา เจี่ยส้งเดินเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าของมันยิ้มกว้างจนเกือบถึงใบหู มันมองไปยังทั้งสองสาวด้วยความหื่นกระหาย

“มองอะไรเจ้าตัวบัดซบ! อย่าให้ข้าหลุดไปได้ ข้าจะถลกหนังเจ้าแล้วสับเป็นพันๆชิ้น” เพ่ยเพ่ยก่นด่าออกไปด้วยความโกรธ

“ฮ่าๆ แม่นางเพ่ยเพ่ย เจ้าจะพูดอย่างนี้กับสามีของเจ้าไม่ได้นะ”

“สามีแม่เจ้าสิ ไอ้เดรัจฉาน”

ปัง!

เจี่ยส้งพุ่งเข้ามาคว้าคอเพ่ยเพ่ยก่อนจะผลักนางไปติดกับกำแพง

“อย่าสามหาวให้มากนัก! พวกเจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้วควรจะทำตัวดีๆจะได้ไม่เจ็บตัว”

“แค่กๆ ปล่อยข้านะไอ้...”

“ปล่อยนางเดี๋ยวนี้เจี่ยส้ง เจ้าต้องการตัวข้าไม่ใช่หรือ ปล่อยนางกลับไป” เสี่ยวปิงกล่าวออกมา

“โอ้! เจ้าช่างรักเพื่อนเสียจริง แต่ตอนนี้ข้าต้องการเจ้าทั้งสองคน ฮ่าๆ เอาตัวทั้งสองไปห้องข้า!

ระหว่างถูกคุมตัวไป เสี่ยวปิงยังคงพยายามคิดหาทางออกอยู่ตลอด ถึงแม้นางจะไม่สามารถหนีออกไปได้ แต่อย่างน้อยให้เพ่ยเพ่ยออกไปได้ก็ยังดี

เมื่อเดินมาตามทางระยะหนึ่งนางก็ได้เหลือบไปเห็นสมาชิกตระกูลเจี่ยคนหนึ่งที่ด้านล่างซึ่งกำลังมองมายังนางอยู่ และนั่นทำให้นางเบิกตากว้างทันทีก่อนจะรีบกลับมาเป็นอย่างเดิมและเดินต่อไป ทางหยางอี้นั้นเมื่อลอบเข้ามาภายในตระกูลเจี่ยแล้วได้สังหารสมาชิกตระกูลเจี่ยไปหนึ่งคนก่อนจะเปลี่ยนเอาเสื้อผ้าของมันมาและแอบลอบมายังตึกของเจี่ยส้ง ที่หยางอี้นั้นไม่บุกเข้ามาโดยตรงเพราะเกรงว่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงรั้งอยู่ในตระกูลเจี่ย ชายหนุ่มจึงใช้วิธีนี้ลอบเข้ามาแทนและอาศัยรอจังหวะให้เจี่ยส้งนำทั้งสองเข้าห้องไปจึงจะลงมือ

ภายในห้องของเจี่ยส้ง เสี่ยวปิงและเพ่ยเพ่ยยังถูกมัดอยู่บนเตียง

“เพ่ยเพ่ย ข้าเห็นท่านพี่” เสี่ยวปิงกระซิบออกมาอย่างแผ่วเบาทำให้เพ่ยเพ่ยเบิกตากว้าง

“อะไรนะ ท่านพี่มาที่นี่หรือ”

“ใช่แล้ว ข้าคิดว่าท่านพี่คงจะรอเวลาลงมือเพราะงั้นเราควรสร้างโอกาสนั้นขึ้นมา...”

“อืม...เอางั้นก็ได้ ถือว่าทำทานให้เจ้าเจี่ยส้งมันก่อนตายแล้วกัน!” ด้านนอกตึก เจี่ยส้งกำลังยืนอยู่กับผู้คุ้มกันที่มันเชิญมาและซูหมิง

“เจ้าทำได้ดีมากซูหมิง” เจี่ยส้งกล่าวออกมา ที่ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างง่ายดายนั้นเป็นเพราะการทำทางของซูหมิงที่รู้รายละเอียดภายในจวนเจ้าเมืองเป็นอย่างดี

“มิได้ๆ ทั้งหมดเป็นเพราะแผนการอันฉลาดของนายน้อย” ซูหมิงกล่าวเยินยอออกมา

“ฮ่าๆ กล่าวได้ดี”

“ข้าว่าท่านคงไม่ลืมสัญญานะขอรับ” ซูหมิงกล่าวออกมาอย่างยิ้มแย้ม

“ฮี่ๆ ซูหมิง คนทำงานย่อมต้องมีรางวัล!” เมื่อกล่าวจบเจี่ยส้งหันไปส่งสัญญาณให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยืนอยู่อีกคน

ฉึก!

เสียงใบมีดเสียบทะลุอกของซูหมิงมาจากด้านหลังจนละทุหน้าอกออกมา

“อ้าก! ทะ ทำไม?” ซูหมิงที่เลือดเต็มปากกล่าวออกมา ตัวมันเองยังมิรู้เลยเหตุใดเจี่ยส้งจึงสั่งให้สังหารมัน

“เฮอะ! คนเยี่ยงเจ้าที่กล้าทรยศเจ้าเมืองที่เลี้ยงเจ้ามานานหลายปี แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะเลี้ยงงูพิษเช่นเจ้าอย่างนั้นรึ?” เจี่ยส้งกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย

“ท่านจอมยุทธ์ ข้าฝากจัดการให้เรียบร้อยด้วย และสั่งห้ามให้ใครเข้ามาภายในบริเวณตึกเด็ดขาด ฮี่ๆ...หลังจากข้าพอใจแล้วจะเป็นคิวของท่านกับนังเพ่ยเพ่ย!”

“ฮ่าๆ ได้เลยนายน้อย ข้าจะจัดการตามคำท่านอย่างเคร่งครัด” หลังจากกล่าวจบเจี่ยส้งก็เดินเข้าตึกไป

“เจ้าตัวบัดซบ! ด้วยความโง่ของเจ้าหากไม่มีผู้คุ้มกันภายในตึกจะเป็นงานง่ายสำหรับข้า” หยางอี้ที่แอบอยู่ด้านหลังกำแพงกล่าวออกมาหลังจากที่เขาได้ยินบทสนทนาของเจี่ยส้ง

เจี่ยส้งเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีเข้ามาภายในห้อง เมื่อเข้ามามันมองไปยังสองสาวด้วยความหื่นกระหายจนแทบจะอดใจไม่ไหว มันคลี่ยิ้มเดินเข้ามานั่งบนเตียง

“แม่นางทั้งสองเจ้าคิดดูให้ดีๆ ข้ามิอยากทำรุนแรงกับพวกเจ้า ฮ่าๆ” เสี่ยวปิงกับเพ่ยเพ่ยมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าให้กัน เสี่ยวปิงก็พูดขึ้นว่า

“นายน้อยเจี่ย หากเรายินยอมท่านจะบอกให้พ่อท่านหยุดสงครามนี้ได้หรือไม่” เมื่อเจี่ยส้งได้ยินมันพลันประหลาดใจ

“หืม...เรื่องนี้ข้าไม่อาจรับปากได้ ฮี่ๆ แต่ถ้าเจ้าทั้งสองทำให้ข้าพอใจได้ละก็...”

“น นายน้อยท่านพูดอะไรอย่างนี้ ข ข้าทั้งสองยังไม่เคยทำเรื่องแบบนี้นะ” เพ่ยเพ่ยพูดออกมาด้วยท่าทีเขินอาย เมื่อเห็นท่าทางของเพ่ยเพ่ยเจี่ยส้งพลันเลือดลมสูบฉีดมันอยากจะกระโจนเข้าฟัดเสียตอนนี้เลย

“ฮ่าๆ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลข้าจะทำอย่างนิ่มนวล” เมื่อพูดจบมันพลันลุกขึ้นเดินเข้าหาทั้งสอง

ด้านนอกตึกตอนนี้ทุกคนถูกสั่งห้ามเข้ามาบริเวณตึกโดยเด็ดขาด  เมื่อเห็นคนอื่นเริ่มทยอยออกไปแล้วหยางอี้ยังคงใจเย็นอยู่ เขากังวลเพียงคนเดียวคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อตั้งจิตขั้นกลางเท่านั้น หากจะเอาชนะเขาคงต้องใช้ทุกสิ่งที่มี แต่สภาพเขาก็คงไม่อาจนำตัวเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงออกจากที่นี่ได้ เขาจึงเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด

รอไม่นานภายในบริเวณตึกก็เหลือเพียงหยางอี้คนเดียว ชายหนุ่มค่อยๆย่องออกจากที่ซ่อนและเดินสำรวจให้แน่ใจอีกครั้ง เมื่อแน่ใจหยางอี้ก็มุ่งหน้าไปยังห้องเจี่ยส้งทันที เดินหาไม่นานด้วยเสียงพูดคุยหยางอี้ก็รู้ตำแหน่ง หยางอี้เดินไปยังหน้าห้องก่อนจะค่อยๆรวมปราณไว้ที่นิ้วแล้วเจาะผ่านประตูเข้าไป

มองไปยังภายในห้อง ภาพที่เห็นหยางอี้นั้นประหลาดใจไม่น้อย ทั้งเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงกำลังบีบนวดให้เจี่ยส้งที่กำลังนั่งยิ้มอย่างสบายใจ

‘ฮ่าๆ เสี่ยวปิงนั้นยังพอว่าแต่ข้าไม่คิดว่าเพ่ยเพ่ยจะยอมทำอะไรแบบนี้’

เจี่ยส้งนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ฝั่งซ้ายของห้องโดยมีสองสาวกำลังบีบนวดให้

“ฮ่าๆ ดียิ่งนัก ข้าไม่คิดว่าจะมีความสุขเช่นนี้ หากเจ้าหยางอี้มาเห็นมันคงกระอักเลือดตายเป็นแน่  โอ้ย..!” เมื่อได้ยินเจี่ยส้งกล่าวเช่นนั้นเพ่ยเพ่ยพลันลืมตัวบีบแขนมันอย่างแรง

“อ๊ะ ขอโทษนายน้อยเจี่ย” เพ่ยเพ่ยกล่าวออกมา

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ตอนนี้ได้เวลาแห่งความสุขของพวกเจ้าแล้ว” เจี่ยส้งพูดจบมันลุกขึ้นและจับแขนเพ่ยเพ่ยเพื่อจะดึงไปยังเตียงนอน

เมื่อเห็นว่าแผนการถ่วงเวลาใช้ไม่ได้แล้วจังหวะที่เจี่ยส้งหันหลังเพ่ยเพ่ยโคจรลมปราณของนางแล้วซัดไปยังหลังของเจี่ยส้ง แต่ไหนเลยเจี่ยส้งที่คอยระวังตัวอยู่แล้วจะพลาดท่า มันหันกลับมาคว้าจับข้อมือของนางและบีบอย่างแรง

อ้า!

เพ่ยเพ่ยร้องออกมาเมื่อเห็นดังนั้นเสี่ยวปิงก็พุ่งเข้ามาอย่างเร็ว แต่ก็ไม่พ้นเจี่ยส้งกวาดมือแผ่ลมปราณระดับก่อกำเนิดออกไปทำให้เสี่ยวปิงกระเด็นไปกระแทกกับเก้าอี้อย่างจัง

โครม!

“ฮ่าๆ นางแพศยา! วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าทั้งสองจดจำมิลืมเลือน” เมื่อพูดจบมันยกมือขึ้นเตรียมจะตบไปยังหน้าของเพ่ยเพ่ย ทันใดนั้นก็มีเสียงประตูเปิดขึ้น

ปัง!

เจี่ยส้งพลันมองไปยังผู้มาใหม่ที่หน้าประตู มันขมวดคิ้วคำรามออกมาอย่างเกี้ยวกราด

“สารเลว ข้าสั่งแล้วมิใช่รึว่าห้ามใครเข้ามากวน ข  น นี่เจ้า!” เมื่อมองไปยังใบหน้าของผู้มาใหม่ชัดๆมันจดจำได้ทันทีศัตรูหัวใจของมัน...หยางอี้นั่นเอง!

เมื่อปรากฏตัว หยางอี้ไม่รอช้าพุ่งเข้าหาทันทีและต่อยเข้าไปยังหน้าของเจี่ยส้งทำให้มันกระเด็นไปกระแทกกับเตียง

ปัง!

ไม่รอช้าหยางอี้พุ่งเข้าไปแล้วบีบคอมันไว้ก่อนจะลากมันขึ้นมา

“ท่านพี่/ท่านพี่” ทั้งเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวปิงกล่าวออกมาอย่างดีใจ

“พวกเจ้าทั้งสองออกไปรอข้าข้างนอก หากมีใครเข้ามาบริเวณตึกให้รีบมาบอกข้า” หยางอี้พูดออกมา เพราะฉากต่อไปนี้เขาไม่ต้องการให้สตรีมาเห็นสักเท่าไหร่

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ..เพ่ยเพ่ยไปเร็ว” เสี่ยวปิงกล่าวออกมา แต่เพ่ยเพ่ยมิได้ฟัง นางเดินไปยังเจี่ยส้งที่ถูกหยางอี้ยกขึ้นมาด้วยการบีบคออยู่

ปัง!

นางบรรจงต่อยเข้าไปที่หน้าเจี่ยส้งด้วยแรงทั้งหมดที่มีก่อนจะเดินตามเสี่ยวปิงออกไป

แค่ก แค่ก

“จ เจ้ามาได้อย่างไร? ปล ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

“ฮี่ๆ ข้าปล่อยเจ้าแน่...แต่หลังจากที่ข้าทำให้เจ้าจดจำวันนี้จนมิอาจลืมเสียก่อน!”

หยางอี้พูดออกมาก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่มีมีดปอกผลไม้ หยิบขึ้นมาแล้วชายหนุ่มก็แทงไปยังจุดตันเถียนของมันทันที

อ้าก!

เจี่ยส้งร้องออกมาอย่างโหยหวน หยางอี้ปล่อยให้มันนอนทุรนทุรายอยู่บนพื้นก่อนจะลากมันขึ้นไปบนเตียง ตอนนี้ชายหนุ่มไม่ต้องกังวลใจแล้ว เนื่องด้วยเจ้าโง่งมตัวนี้ต้องการเสพสุขกับน้องสาวทั้งสองของเขา อีกทั้งยังสั่งไม่ให้มีคนเข้ามาบริเวณนี้ ต่อให้มันร้องยังไงก็ไม่มีผู้ใดมาช่วยมันได้

“ตัวบัดซบเช่นเจ้าบังอาจมาปองร้ายน้องสาวข้า”

เจี่ยส้งมองไปยังหยางอี้ด้วยความหวาดกลัว ตัวมันตอนนี้ไม่มีแม้แรงจะพูดได้ เมื่อเห็นสายตาหยางอี้มองไปที่จุดหนึ่งบนร่างกายมัน มันพลันขนลุกซู่ไปทั่วตัว มันพยายามพูดออกมา

“อย อย่า ด ได้โปรด”

ฉับ! อ้าก!

เจี่ยส้งร้องออกมาน้ำหูน้ำตาไหลพราก ที่เป้ากางเกงของมันมีโลหิตหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย

“เจ้านี่เสียงดังเสียจริง ข้าคงต้องทำให้เงียบเสียหน่อย”หยางอี้ยื่นมือไปจับลิ้นของมันก่อนจะกระชากออกมาอย่างแรง

อ้าก!

บัดนี้เจี่ยส้งเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มันนอนดิ้นทุรนทุรายอยากจะตายเสียให้ได้ มันมองไปยังหยางอี้ด้วยสายตาอ้อนวอนน้ำตาไหลพราก พูดออกมาเสียง อู้อี้อู้อี้

“อะไร? เจ้าด่าข้างั้นหรือ?” หยางอี้ยิ้มเหี้ยมออกมาขณะมองไปยังเจี่ยส้ง

“ดวงตานี้ใช่หรือไม่ที่เจ้าทำหยาบคายใส่น้องสาวข้า?”

ฉึก ฉึก!

ชายหนุ่มแทงมีดไปยังดวงตาทั้งสองข้างของมัน

อ้าก!

“มือนี้ใช่หรือไม่ ที่เจ้าลวนลามน้องสาวข้า”

ฉับ!

หยางอี้ตัดมือทั้งสองข้างของมัน และเมื่อทนความเจ็บปวดไม่ไหว เจี่ยส้งก็สลบไป หยางอี้มองไปยังเจี่ยส้งอย่างสมเพศก่อนจะพูดออกมาว่า

“ใครอนุญาตให้เจ้าสลบ?”

ฉับ!! อ้ากก !!

หยางอี้เฉียดมีดตัดเส้นเอ็นที่ข้อเท้าของมัน ด้วยความเจ็บปวดเจี่ยส้งได้สติขึ้นมาอีกครั้ง มันนอนหายใจพะงาบๆ ร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือดแม้จะดิ้นมันยังไม่มีเรี่ยวแรง

“นี่คือโทษฐานที่เจ้ามายุ่งกับน้องสาวทั้งสองของข้า! แต่ไม่ต้องห่วงไป ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก” หยางอี้นำยาสมานกระดูกออกมาเม็ดหนึ่งแล้วโยนเข้าปากเจี่ยส้งไปก่อนจะเดินออกมา

ที่หน้าประตูเสี่ยวปิงนั้นยืนมองต้นทางอยู่ ส่วนเพ่ยเพ่ยนั้นแอบดูผ่านรูที่หยางอี้เจาะไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ

“เพ่ยเพ่ย มันน่าดูตรงไหน? เจ้านี่โรคจิตเสียจริง” เสี่ยวปิงนั้นดูอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ด้วยหยางอี้กระทำรุนแรงเกินไป นางจึงออกมาดูต้นทางแทน

“ฮี่ๆ เสี่ยวปิง คนชั่วอย่างมันสมควรโดนแล้ว ข้าสะใจสุดๆ” เพ่ยเพ่ยแค่นเสียงกล่าวออกมาอย่างคนอารมณ์ดี

ไม่นานหยางอี้ก็เดินออกมา และก่อนจะออกจากห้องนั้นชายหนุ่มก็ได้เปลี่ยนชุดเดิมที่เต็มไปด้วยเลือดของเจี่ยส้งทิ้ง แล้วนำชุดสำรองที่มีในแหวนออกมาเปลี่ยน เขามองไปยังเพ่ยเพ่ยที่ยืนอยู่ตรงรูที่ถูกเจาะก็ได้แต่ส่ายหัว นางหันมายิ้มให้หยางอี้

“ฮี่ๆ ท่านพี่ ท่านสุดยอดจริงๆ สมใจข้าสุดๆ” เมื่อได้ยินหยางอี้พลันคิ้วกระตุก แม่สาวน้อยนี่น่ากลัวจริงๆ

“เอาล่ะ เรารีบกลับไปจวนท่านเจ้าเมืองเถอะ”

“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด