เล่มที่ 1 บทที่ 1
กึก กึก กึก
เสียงล้อของรถลากกระแทกกับพื้นไปมาท่ามกลางป่าเขาอันกว้างใหญ่ ด้านนอกเป็นม้าชั้นดีสองตัววิ่งเหยาะๆ ไปตามเส้นทางอย่างช้าๆ หากมองจากด้านนอกสามารถเห็นทหารหลายสิบคนห้อมล้อมขบวนรถลากนี้เพื่ออารักขาบุคคลสำคัญที่อยู่ด้านใน
เส้นทางนี้คือถนนที่ทอดยาวระหว่างเมืองธาราสวรรค์และเมืองเมฆาพยัคฆ์ เมืองทั้งสองนั้นตั้งอยู่ทางใต้ของจักรวรรดิเมฆาหวน หนึ่งในห้าจักรวรรดิของทวีปจันทร์กระจ่าง
“หยุด! ตั้งค่าย”
เสียงผู้นำกองกำลังคุ้มกันสั่งหยุดเดินทาง พร้อมกับจัดแจงสั่งการให้ตั้งค่ายพักบริเวณนี้ ก่อนจะเดินตรงมายังรถลากประสานมือทำความเคารพพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
“เรียนท่านเจ้าเมือง ข้าได้สั่งตั้งค่ายบริเวณนี้แล้ว คาดว่าพรุ่งนี้ก่อนถึงเวลาตะวันตกดินเราจะเดินทางถึงเมืองธาราสวรรค์”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปพักเถิด”
เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนดังออกมาจากด้านในเพื่อตอบรับหัวหน้าผู้นำกลุ่มอารักขา
“ขอรับ หากต้องการสิ่งใดโปรดเรียกข้าน้อย”
ชายที่อยู่ด้านในรถลากเพียงยื่นมือออกมาโบกเล็กน้อยก่อนที่ชายในชุดรัดรูปด้านนอกจะค้อมตัวอีกครั้งและจากไป
ด้านในรถม้าปรากฏเป็นคนสองคน หนึ่งคือชายที่ถูกเรียกว่าท่านเจ้าเมืองเมื่อครู่นี้ ร่างท้วมสมบูรณ์ในชุดปักลายสีม่วงมีนามว่าหยางจื่อส้ง ใบหน้าของหยางจื่อส้งเต็มไปด้วยความเมตตาแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจถึงขีดสุดเมื่อมองไปยังเด็กชายด้านหน้าที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่
เด็กชายลืมตาขึ้นมา มองไปยังชายวัยกลางคนเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้นมา
“ท่านพ่อ เราตั้งค่ายพักแล้ว?”
“อืม อี้เอ๋อร์เจ้าฝึกฝนต่อไปเถิด พ่อจะออกไปตรวจดูด้านนอกเสียหน่อย”
หยางจื่อส้งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวออกมา เด็กชายตรงหน้านามว่าหยางอี้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาและเป็นบุตรชายที่ทำให้เขาภาคภูมิใจ!
“ไม่เป็นไรท่านพ่อ ฝึกฝนมาตลอดทางข้าอยากออกไปสูดอากาศบ้าง”
“เช่นนั้นก็อย่าไปไกลมากนัก อีกครึ่งชั่วยามค่อยกลับมาทานมื้อค่ำกัน”
“ขอรับ”
หยางอี้ลุกขึ้นจากท่าทำสมาธิก่อนจะเปิดม่านลงจากรถไป ใบหน้าของเด็กชายแม้จะอายุเพียงสิบสองปี แต่ก็เต็มไปด้วยความเงียบสงบ ถึงจะไม่จัดว่าหล่อเหลาแต่ก็คมเข้มสมชายชาตรี
หยางอี้เดินย่างก้าวไปตามทางเบื้องหน้า ระหว่างทางยังได้ยินเสียงคารวะนายน้อยเป็นระยะ แม้จะยังเด็กนักสูงเพียงช่วงอกของชายเต็มวัย ด้วยชุดรัดรูปของผู้ฝึกตนสองมือไพล่หลังเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ หากเป็นคนอื่นมาเห็นคงหลุดหัวเราะออกมา เพราะการแสดงออกเช่นนี้ของเด็กวัยสิบสองปีช่างน่าขำไม่น้อย แต่ภายในกลุ่มทหารกล้าเหล่านี้กลับไม่มีผู้ใดหัวเราะออกมาแม้แต่น้อย
ทหารรักษาการณ์ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นผู้ฝึกตนฝึกวิทยายุทธโลก ตามระดับลมปราณนั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ ทหารส่วนใหญ่นั้นล้วนอยู่ในระดับแรกเริ่มหรือก็คือ ‘รวบรวมลมปราณ’ ในแต่ระดับนั้นยังคงแบ่งออกเป็นเก้าขั้นย่อย อย่างไรก็ตามเด็กชายผู้เดินอาดๆในมาดชาวยุทธ์นั้นอายุเพียงสิบสองปีกลับฝึกฝนจนก้าวไปถึงระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่เก้าแล้ว! ซึ่งเทียบได้กับผู้นำหน่วยเลยทีเดียว
หากกล่าวว่าผู้คนในจวนเจ้าเมืองภาคภูมิใจกับเด็กชายผู้นี้มากเพียงไหน เจ้าเมืองหยางจื่อส้งนั้นยิ่งภาคภูมิใจมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า! หยางอี้นั้นนับเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองอย่างแท้จริง! สำหรับรุ่นเยาว์ภายในเมืองธาราสวรรค์นั้นจะก้าวไปให้ถึงระดับเดียวกับเด็กชายอย่างน้อยที่สุดก็อายุสิบห้าสิบหกปี
หยางอี้เดินไปยังทางที่ตัดผ่านระหว่างเมืองอย่างช้าๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ของป่าสองข้างทาง ตรงไปด้านหน้าเป็นลำธารสายหนึ่งที่มีน้ำใสราวกับกระจก
เด็กชายก้าวเดินช้าๆไปยังโขดหินริมลำธารยืนทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ภายในใจยังคงคิดทบทวนถึงตำรายุทธ์ที่ฝึกฝน ยืนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นราวหนึ่งเค่อจึงถอนสายตาออกจากเส้นขอบฟ้าเตรียมตัวหันหลังกลับที่พัก
ระหว่างนั้นสายตาพลันกวาดผ่านมองเห็นแสงสะท้อนระยิบระยับจากริมลำธาร ด้วยความประหลาดใจหยางอี้พลิ้วกายวูบไหวไปยังทิศทางนั้นทันที แม้จะเป็นร่างกายของเด็กอายุสิบสองปี แต่ความเร็วกลับไม่ช้าเลยแม้แต่น้อย
“นี่คืออะไร? ไข่มุก? ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีไข่มุกสีดำ ช่างน่าแปลกนัก”
มองไปยังไข่มุกสีดำสนิทที่ส่องประกายแวววับอยู่ริมลำธาร สายตาของเด็กชายตัวน้อยหรี่เล็กลงก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“กระแสปราณ! แม้จะเล็กน้อยแต่มันต้องเป็นสมบัติอย่างแน่นอน!”
กลับมาที่ด้านค่ายพัก หยางจื่อส้งและผู้คุ้มกันต่างพูดคุยกันอย่างสนุกปาก แม้จะมีฐานะเป็นเจ้าเมืองแต่ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้เย่อหยิ่งและถือตัวเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทหารเหล่านี้ล้วนเป็นคนข้างกายติดตามหยางจื่อส้งคอยคุ้มกันมานานหลายปี ยิ่งนานยิ่งสนิทใจ ภายนอกแม้ต้องแสดงออกอย่างเคารพแต่ภายในกลับแน่นแฟ้นเหมือนพี่น้อง
กองไฟถูกก่อขึ้นเตรียมรับกับแสงตะวันที่ใกล้จะจางลับขอบฟ้าอีกไม่นาน ขบวนเดินทางครั้งนี้ออกจากเมืองธาราสวรรค์ตั้งแต่สองเดือนที่แล้วด้วยกิจการบางอย่างระหว่างเจ้าเมืองธาราสวรรค์และเจ้าเมืองเมฆาพยัคฆ์
จากสีหน้าของแต่ละคนแสดงออกถึงความตื่นเต้นและผ่อนคลาย ตอนนี้ก็ผ่านมาสองเดือนแล้วที่จากครอบครัวมา ทอดสายตาไปยังดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันตก บรรยากาศพาหวนรำลึกถึงคนที่บ้าน ยามตะวันตกดินอีกครั้งพวกเขาก็จะกลับถึงเมืองธาราสวรรค์แล้ว
ความผ่อนคลายตลอดการเดินทางดำเนินมาได้ไม่นาน ไกลออกไปทิศทางหนึ่งพลันบังเกิดเสียงอันคุ้นเคยร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด คนทั้งหมดชะงักค้างไม่พูดพล่ามทำเพลงทะยานร่างออกไปทันที อย่างรวดเร็วที่สุดคงไม่พ้นชายร่างท้วมที่ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด
“อี้เอ๋อร์!”
สีหน้าของทุกคนล้วนบังเกิดเป็นความตื่นตระหนก เพียงพริบตาเดียวด้วยระยะทางไม่ไกลนักทั้งหมดก็มาถึงริมลำธารที่หยางอี้เคยอยู่ สายตาแต่ละคนเบิกกว้างมองไปยังร่างเล็กๆที่นอนกองอยู่กับพื้นเสื้อผ้าส่วนบนขาดออกเป็นชิ้นๆเผยให้เห็นรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ
หยางจื่อส้งทะยานร่างอย่างรวดเร็วเข้าไปตรวจดูอาการบุตรชาย ก่อนจะถอนหายใจออกเมื่อชีพจรยังเต้นอย่างปกติ แต่ไม่นานเขาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสความผิดปกติของลมปราณภายในร่างของหยางอี้ หัวใจพลันสั่นสะท้านใบหน้าซีดขาวราวกับแก่ขึ้นอีกสิบปีพร้อมกับสายตาเลื่อนมองไปยังบางอย่างที่ผิดแปลก มันคือ รอยสักสีดำรูปอสรพิษแปลกๆที่มีหกปีก!
สามปีต่อมา
ณ เมืองธาราสวรรค์
ใจกลางเมือง ณ ที่ตั้งของจวนเจ้าเมืองตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายของพ่อบ้านประจำจวนที่คอยสั่งงานข้ารับใช้ภายในจวน เหล่าทหารยามและข้ารับใช้ต่างวิ่งวุ่นจัดสรรสถานที่กันวุ่นวาย โคมไฟถูกประดับประดาอย่างสวยงาม พรุ่งนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของนายน้อย บุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าเมืองธาราสวรรค์หยางจื่อส้ง
"อี้เอ๋อร์ พรุ่งนี้เจ้าก็อายุ 15 ปีเต็มแล้ว กาลเวลาช่างเดินเร็วเสียจริง"
เสียงชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมหน้าตาสะอาดสะอ้านเปี่ยมไปด้วยความเมตตากล่าวขึ้นมาพร้อมกับมองไปยังบุตรชายเพียงคนเดียวด้วยสายตาที่อ่อนโยนปนเปกับความเศร้าและหวนรำลึก
ในวันนี้เมื่อสิบห้าปีก่อน ทารกน้อยหยางอี้ลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ชั่วยามมารดาของเขาหยางลั่วก็ได้เสียชีวิตลงทำให้หยางจื่อส้งเสียใจเป็นอย่างมาก โชคดีที่การมีทารกน้อยหยางอี้เกิดมานั้นได้ช่วยบรรเทาความเสียใจให้กับหยางจื่อส้งได้ไม่น้อยเช่นกัน และหลังจากนั้นมาหยางจื่อส้งก็ทุ่มเททุกอย่างให้กับหยางอี้
การดูแลฟูมฟักบุตรชายมานานหลายปีนั้นมิได้ทำให้หยางจื่อส้งผิดหวัง หยางอี้ถือเป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีเพียงหนึ่ง ทั้งพรสวรรค์ทั้งความสามารถ
ความเข้าใจนับว่าเป็นลูกรักของสวรรค์โดยแท้ สามารถบรรลุถึงขอบเขตรวบรวมลมปราณระดับ 9 ด้วยวัยเพียง 12ปีเท่านั้น สร้างเสียงฮือฮาไปทั่วทั้งเมืองธาราสวรรค์และเมืองใกล้เคียงจนได้รับฉายาดาวรุ่งอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์
หลังจากได้รับการยกย่องเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อับดับหนึ่งของเมือง หยางอี้ก็ได้หมั้นหมายกับหวังจือ บุตรสาวคนรองของตระกูลหวัง หนึ่งในสามตระกูลหลักของเมืองธาราสวรรค์แห่งนี้
"ท่านพ่อ อย่าได้ทำหน้าเศร้าเช่นนั้นเลย ตัวข้านั้นยังไม่ยอมแพ้ แม้สวรรค์จะกลั่นแกล้งแต่ข้าหยางอี้ผู้นี้จะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของข้าเอง!"
เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคมเข้มรูปร่างสมชายชาตรีเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจากการฝึกฝนอย่างหนักตลอดหลายปีพูดขึ้นมา ในแววตาของเขาล้วนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
"ดี ดี ดีมาก เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป แม้เจ้าจะไม่สามารถเดินในเส้นทางของผู้ฝึกตนได้ แต่ตระกูลเรายังมีกิจการมากมายนักที่ยังต้องการคนดูแล อย่าได้หักโหมมากเกินไป"
หยางจื่อส้งพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขารู้ดีที่สุดว่าบุตรชายเขาอดทนมากเพียงใดกับการฝึกฝนและยิ่งตลอดสามปีมานี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความยากลำบากที่หยางอี้ได้รับ!
"ขอรับท่านพ่อ"
หยางอี้ตอบรับคำบิดา ภายในใจล้วนเต็มไปด้วยความอิ่มเอม แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็มิได้ยอมแพ้ในเส้นทางของผู้ฝึกตนแม้แต่น้อย
หลายปีมานี้ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นในครานั้นตัวเขาเองแม้จะทอดถอนใจอยู่บ่อยครั้งทว่ากลับไม่เคยมีความคิดที่จะยอมแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกวันต่างเฝ้าฝึกฝนบ่มเพาะพลังปราณไม่ขาดสาย ด้วยความอดทนรวมกับความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ในที่สุดตัวเขาก็กลับมาบรรลุถึงระดับรวบรวมลมปราณอีกครั้ง!
การสนทนายังคงดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ก่อนที่หยางอี้จะขอตัวกลับห้องพักของตน
ณ ห้องๆหนึ่งในจวนเจ้าเมือง หยางอี้นั่งขัดสมาธิบนเตียงนอน มือทั้งสองวางอยู่บนตัก บนใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า ทั่วทั้งตัวถูกชโลมไปด้วยเหงื่อจากการฝืนเค้นพลังปราณภายในร่างเพื่อบ่มเพาะฝึกฝน
ครั้งแล้วครั้งเล่าภายในตันเถียนสายธารลำน้อยถูกโคจรชักนำให้หมุนวนตามจุดชีพจรต่างๆของร่างกายเพื่อเปิดช่องทางในการบ่มเพาะระดับที่สูงขึ้น ทุกครั้งที่ฝืนทำเช่นนั้นความเจ็บปวดราวกับมีมดนับพันแทะเล็มกระดูกทำให้ชายหนุ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่ไม่ว่าจะเจ็บปวดสักเพียงใดด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อมุมานะไม่เคยหยุดพัก ในที่สุดความพยายามของเขาก็บรรลุผล
ปัง!
ภายในห้วงสมาธิบังเกิดเสียงดังสนั่น แอ่งทะเลอันเหือดแห้งถูกเติมเต็มทีละน้อยจากสายธารลำเล็ก แม้จะยังห่างไกลจากคำว่าเต็มสมบูรณ์อยู่มากมาย แต่ก็นับเป็นการเพิ่มขึ้นที่ไม่น้อย สิ่งนี้แน่นอนว่าคือสัญญานของการเลื่อนระดับทะลวงลมปราณ
หยางอี้ลืมตาขึ้นบนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะยินดีทว่ากลับดูแล้วขมขื่นใจเสียมากกว่า จะมีสักกี่คนที่รับได้เมื่อประสบเหตุการณ์เช่นตัวเขา
"ในที่สุดข้าก็มาถึงรวบรวมลมปราณขั้นที่ 3 เสียที หลังจากฝืนร่างกายมานานหลายวัน"
หยางอี้ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกเผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ที่ไหล่ข้างซ้ายมีรอยสักสีดำสนิทรูปอสรพิษพันรอบแขนลงมาถึงข้อศอกที่แปลกประหลาดคือกลางหลังของอสรพิษนั้นมีปีกอยู่สามคู่ หยางอี้เดินไปที่ริมหน้าต่างก่อนจะมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สว่างไสวไปด้วยแสงจันทร์
"นี่ก็ผ่านมา3ปีแล้วหลังจากที่ข้าสูญเสียพลังปราณไปเพราะมุกสีดำเม็ดนั้นที่เข้ามาภายในร่างกายข้า แล้วยังมีเจ้ารอยสักประหลาดนี่อีก…โชคชะตาช่างโหดร้ายกับข้ายิ่งนัก"
หยางอี้บ่นพึมพำเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่แววตาของชายหนุ่มยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ก่อนสายตาจะแปรเปลี่ยนเป็นคมกล้าดุร้ายของผู้ที่ตั้งปณิธานให้บรรลุในเป้าหมายของตนโดยไม่ท้อแท้
"ต่อให้อุปสรรคมากมายเพียงใด ข้าก็จะไม่มีทางยอมแพ้ ข้าจะฟันฝ่ามัน และก้าวข้ามชะตากรรมนี้ไปให้จงได้"
รุ่งเช้าดวงตะวันสาดส่องทอแสงไปทั่วทั้งเมือง บริเวณใจกลางเมืองเต็มไปด้วยเสียงบรรเลงครึกครื้นอย่างสนุกสนาน
ณ จวนเจ้าเมืองธาราสวรรค์
ตั้งแต่จวนเปิด บรรดาแขกเหรื่อมากมายนำของขวัญติดตัวเข้ามาร่วมยินดีกันอย่างไม่ขาดสาย อำนาจของเจ้าเมืองธาราสวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถนิ่งดูดายได้
ภายในห้องโถงที่ถูกประดับไปด้วยโคมลอยและผ้าไหมสีสันสวยงาม มีผู้คนเดินเข้าออกกันขวักไขว่เพื่อแสดงความยินดีแก่นายน้อยของจวนเจ้าเมือง ในพิธีฉลองอายุครบสิบห้าปี อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้นั้นด้วยฐานะเป็นเพียงแค่พ่อบ้าน หรือไม่ก็ผู้ดูแลของตระกูลต่างๆเท่านั้น หากเป็นเมื่อ 3 ปีก่อนผู้คนที่พบเห็นในงานฉลองอายุของบุตรชายเจ้าเมืองธาราสวรรค์คงหนีไม่พ้นเหล่าผู้นำตระกูลและผู้มีอำนาจในเมืองแห่งนี้ที่ต้องมาด้วยตัวเองไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย
"ยินดีด้วยนายน้อยหยาง"
"ยินดีด้วยนายน้อยหยาง"
เสียงอวยพรให้กับหยางอี้ยังคงดังอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นคำอวยพรเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย พวกเขาแต่ละคนล้วนมิได้เต็มใจนักที่จะมาในครั้งนี้ มองไปยังคนเหล่าผู้เป็นตัวแทนแต่ละตระกูล หยางอี้ยังคงไว้ซึ่งใบหน้ายิ้มแย้มอย่างสุภาพมิได้แสดงอาการไม่พอใจแต่อย่างใด
"ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่าน"
ชายหนุ่มกล่าวขึ้นมาพร้อมกับโค้งให้แขกทุกคนอย่างสุภาพ
"ฮ่าๆ อย่าได้เกรงใจ อย่างไรนายน้อยเป็นถึงบุตรของท่านเจ้าเมือง นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย"
เหล่าชายวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามมารยาท แต่แววตาของพวกเขาแน่นอนว่าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน คนเหล่านี้คบหาเพียงผลประโยชน์เท่านั้น หยางอี้เห็นการแสดงออกเหล่านี้ก็มิได้เก็บมาคิดใส่ใจมากนัก
ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวพวกเขานั้นมิได้สนใจตัวเขาเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้เมื่อก่อนหยางอี้จะเป็นอัจฉริยะของเมืองธาราสวรรค์รวมไปถึงละแวกใกล้เคียง แต่ตอนนี้นั้นสถานการณ์ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ในสายตาพวกนั้นหยางอี้มิต่างจากขยะเลยสักนิด ที่พวกเขาต้องมางานฉลองนั้นเป็นเพราะอิทธิพลของเจ้าเมืองธาราสวรรค์บิดาของเขา หยางจื่อส้ง!
หลังจากแขกเหรื่อส่วนใหญ่ทยอยเข้ามาอวยพรกันเกือบจะหมดแล้ว ที่ประตูทางเข้าห้องโถงก็ปรากฏชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมสีแดงเพลิงใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสเหลือคณา มันเดินหน้าเชิดเข้ามาภายในห้องโถงราวกับสถานที่แห่งนี้เป็นสวนหลังบ้านของมัน ด้านหลังของชายหนุ่มชุดแดงยังมีผู้ติดตามเป็นชายวัยกลางคน2 คนตามเข้ามาด้วย
"ฮ่าๆ ช่างเป็นงานที่ดูยิ่งใหญ่เหมาะกับเจ้าเสียจริง"
ทันทีที่เสียงดังขึ้นชายหนุ่มชุดแดงก็ตกเป็นที่สนใจทันที ผู้คนภายในห้องโถงต่างหันมามองกลุ่มของเขาก็จะเผยแววตาตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย เมื่อหยางอี้และหยางจื่อส้งเห็นผู้ที่กล่าวออกมา สีหน้าก็พลันกลายเป็นบิดเบี้ยวในทันที ทั้งสองไม่คิดว่าตัวบัดซบผู้นี้จะกล้าโผล่มาในงานฉลองอายุของหยางอี้
มองไปยังผู้มาเยือนหยางอี้กล่าวออกมาอย่างเย็นชาโดยไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
"ที่นี่จวนเจ้าเมืองไม่ใช่ตระกูลห่าว! และอีกอย่าง…ที่นี่ไม่ต้อนรับคนจากตระกูลห่าว! มาทางไหนกลับไปทางนั้น เชิญ!"
เพียงสิ้นเสียงของหยางอี้ก็สามารถได้ยินเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยโทสะดังขึ้นมาทันที
"บัดซบ เจ้าขยะ นายน้อยข้ามีน้ำใจให้เกียรติมามอบของขวัญวันเกิดให้เจ้า ยังกล้ากล่าววาจาสามหาวเช่นนี้"
ผู้กล่าวคือหนึ่งในสองชายวัยกลางคนของตระกูลห่าว มันกล่าวออกมาโดยมิได้มีความเกรงใจไว้หน้าท่านเจ้าเมืองเลยแม้แต่น้อย! โดยไม่สนใจการแสดงออกของผู้คนด้วยความถือดีบุรุษชุดแดงเบื้องหน้าได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้งอย่างอารมณ์ดี
"ฮ่าๆ ห่าวจง อย่าได้เสียมารยาท ผู้น้อยต้องขออภัยท่านเจ้าเมืองด้วยที่คนของข้าเสียมารยาท"
"มิเป็นไร เมื่อเจ้าเสร็จธุระแล้วก็จงกลับไปเสีย"
หยางจื่อส้งกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ที่เขายังคงอดทนอยู่นั้นเพียงเพราะไม่ต้องการให้เกิดสงครามระหว่างตระกูลและหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับเข้าทางตระกูลห่าว!
"ฮี่ฮี่ เหตุใดท่านเจ้าเมืองถึงได้เร่งรีบไล่ข้ากลับไปนัก อย่างน้อยก็ขอให้ข้านั้นได้มอบของขวัญให้แก่นายน้อยหยางเสียก่อน"
แท้จริงแล้วบุรุษชุดแดงผู้นี้เขาคือห่าวหวางบุตรชายคนที่ 2 ของตระกูลห่าว ตระกูลห่าวนั้นเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองธาราสวรรค์ ทั้งตระกูลหยางและตระกูลห่าวนั้นไม่กินเส้นกันมาตั้งแต่อดีต ด้วยเหตุผลทางธุรกิจและการชิงอำนาจภายในเมือง ทำให้ทั้งสองตระกูลนั้นปะทะกันอยู่บ่อยครั้ง
หลังจากกล่าวจบห่าวหวางโบกมืออย่างสบายๆ ชายวัยกลางคนผู้ถูกเรียกว่าห่าวจงจึงเดินถือกล่องไม้สีดำสนิทเงาแวววาวราคาแพงออกไปวางยังกลางห้องโถง ห่าวจงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเปิดฝากกล่องออกเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
ใบหน้าทุกคนภายในห้องโถงต่างแสดงออกถึงความตกใจอย่างช่วยไม่ได้กระทั่งบางคนยังมีใบหน้าแดงก่ำเพราะพยายามกลั้นหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ ยังมีบางคนสีหน้าตื่นเต้นเหมือนกำลังจะได้เห็นเรื่องสนุก
"บัดซบ! นั่นมันโสม 100 ปี? ราคาของมันยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของกล่องหยกดำนั่นเลยด้วยซ้ำ!"
ตอนนี้ใบหน้าของหยางจื่อส้งแดงก่ำเต็มที่จากการพยายามจะกลั้นโทสะไว้ถึงขีดสุด ผิดกับหยางอี้ที่ใบหน้ายังคงเรียบเฉยมีเพียงสายตาที่จ้องมองไปยังห่าวหวางอย่างเย็นเยียบ หากเป็นเมื่อสามปีก่อนเจ้าลูกสุนัขตัวนี้คงทำได้เพียงร้องไห้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
ด้วยความลำพองใจห่าวหวางยังคงมิพอเท่านี้ ที่มันมาวันนี้ก็เพื่อสร้างความอับอายให้กับหยางอี้! สำหรับห่าวหวางในอดีตนั้นได้แต่อิจฉาหยางอี้ที่มากไปด้วยพรสวรรค์ ทั้งยังมีเรื่องธิดาตระกูลหวังที่มันหลงใหลมาตั้งแต่เด็ก ทว่าตอนนั้นหยางอี้ได้ชื่อว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของเมือง ความแข็งแกร่งเกินเด็กวัยเดียวกันไปไกลโข มีหรือที่มันจะกล้าปริปาก? แต่เมื่อตอนนี้หยางอี้ตกอับกลายเป็นขยะที่เหมือนเพิ่งเริ่มฝึกฝนตอนอายุสิบสามปี มีหรือที่มันจะนิ่งเฉยอยู่ได้? แน่นอน! หลังจากแน่ใจเกี่ยวกับข่าวที่หยางอี้ประสบอุบัติเหตุเมื่อปีนั้น ห่าวหวางก็ใช้เวลาสองปีที่ผ่านมานี้กลั่นแกล้ง เยาะเย้ยถากถาง…ต้องเรียกว่าทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับความอัปยศอย่างต่อเนื่อง!
"อะไร? สายตาเช่นนั้น? สำหรับขยะเช่นเจ้าเพียงโสมร้อยปีก็คงพอแล้วกระมัง? ท่านยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ฮ่าๆๆ"
ทันใดนั้นดูเหมือนบรรยากาศภายในห้องโถงจะเริ่มบิดเบี้ยว ผู้คนต่างรู้สึกถึงแรงกดดันจนใบหน้าขาวซีด เวลานี้ดูเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของหยางจื่อส้งได้ขาดลงแล้ว! กระแสพลังปราณระดับก่อตั้งจิตขั้นสูงสุดแผ่พุ่งออกมาจากร่างท้วมๆของเขาในทันที ด้วยตำแหน่งที่นั่งสูงสุดรวมกับอำนาจที่ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้ ทำให้หยางจื่อส้งดูราวกับเป็นจักรพรรดิของสถานที่แห่งนี้!
ปัง!
ห่าวจงที่ยืนถือกล่องหยกดำบรรจุโสมร้อยปีอยู่นั้นพลันสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย โดยไม่สามารถมองเห็นร่างของมันที่ถูกแรงกระแทกบางอย่างจนกระเด็นกลับไปอยู่เบื้องหน้าของห่าวหวางก่อนจะสำลักโลหิตสดๆออกมาคำโต
หยางจื่อส้งบัดนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมค่อยๆลุกยืนขึ้น เขาสะบัดชายเสื้อคลุมเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด
"เจ้าพวกสุนัขตระกูลห่าว ไสหัวกลับไปให้กับข้าเดี๋ยวนี้! วันนี้เป็นวันดีของอี้เอ๋อร์ข้าจึงไม่เอาความ แต่หากยังไม่ยอมจากไปอย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!"
หยางจื่อส้งในตอนนี้ดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก นอกจากหยางอี้ผู้คนในห้องโถงต่างไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง ผู้ติดตามของห่าวหวางนั้นยิ่งสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะห่าวจง สำหรับห่าวหวางนั้นแม้มันจะกลัวแต่มันกลับไม่คิดว่าหยางจื่อส้งจะกล้าทำร้ายมัน! อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นหยางจื่อส้งบังเกิดโทสะ มันเองก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป เพราะภายในเมืองธาราสวรรค์แห่งนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับหยางจื่อส้งได้!
"ท่านเจ้าเมืองโปรดระงับโทสะ ในเมื่อจวนเจ้าเมืองนั้นมิต้อนรับข้าน้อยก็คงต้องขอตัว"
ห่าวหวางกล่าวออกมาพร้อมหันหลังเดินจากไปทันที อย่างไรก็ตามก่อนที่มันจะก้าวพ้นประตูไปมันได้หันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกล่าวคำท้าทายถึงหยางอี้ด้วยใบหน้าเย้ยหยันถึงขีดสุด
"งานประลองยุทธ์รุ่นเยาว์ประจำปีนี้ ข้าหวังว่าจะได้เห็นนายน้อยหยางแสดงฝีมือบนเวทีประลอง…..หากว่าเจ้ามีความกล้าพอล่ะนะ ฮ่าๆ"