บทที่ 32 เรื่องวุ่นวายในจุดรายงานตัว (4)
บทที่ 32 เรื่องวุ่นวายในจุดรายงานตัว (4)
แม้จะฟังดูค่อนข้างซับซ้อน แต่ความจำของอินจู๋ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จดจำขั้นตอนการแข่งขันทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ อดรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยไม่ได้ ถ้าพูดถึงว่าเราลงแข่งแค่คนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้กลับต้องการตั้งห้าคน นักเทวคีตกระจอกขนาดนั้นจริงๆ เหรอ? เมื่อกี้เชอรีน แลนซี และไห่หยางยินดีสนับสนุนเราเข้าแข่งขัน แต่นอกจากไห่หยาง พลังจิตของเชอรีนกับแลนซีก็ไม่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่านั้นยังขาดอีกหนึ่งคน มิน่าล่ะโรร่าถึงได้ใช้สายตาแบบนั้นมองเรา ที่แท้การลงแข่งประลองนักเรียนใหม่ก็ลำบากอย่างนี้นี่เอง
ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องลงแข่งขัน ต่อให้มีแค่เราคนเดียวก็ต้องไป พอคิดถึงตรงนี้เขาจึงเอ่ยถามว่า “ฟิซเชลลา ถ้าอย่างนั้นกติกาเวลาแข่งเป็นยังไงล่ะ? ชนะสามในห้าเหรอ?”
ฟิซเชลลาตอบว่า “อันนี้สามารถเลือกได้ มีวิธีอยู่สามแบบ เลือกตามแต่ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองฝ่ายจะตกลงกัน ชนะสามในห้าคือแบบหนึ่ง แล้วก็มีแบบทั้งสองฝ่ายแข่งขันพร้อมกันทั้งทีม ห้าต่อห้า สำหรับแบบสุดท้าย คือเริ่มตั้งแต่รอบแรก ฝ่ายที่ชนะสามารถแข่งต่อไปได้เรื่อยๆ จนแพ้ค่อยจบ ถ้ามีความสามารถ ถึงขนาดผลัดกันรับการท้าประลองของอีกฝ่ายได้ แต่ก็ต้องเอาชนะนักเรียนทุกคนฝั่งตรงข้ามทั้งหมดถึงจะชนะ”
“เยี่ยม แบบนี้ดีที่สุดเลย” พอฟังวิธีสุดท้าย เย่อินจู๋ก็อดมั่นใจขึ้นมาไม่ได้ งานนี้เราลุยเอง ปล่อยเป็นหน้าที่เราคนเดียวก็พอ อย่างมากก็แค่เอาชนะคู่ต่อสู้ทีละคน เขาในตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวว่าคู่ต่อสู้ที่ตัวเองกำลังจะเผชิญหน้ามีความสามารถอะไรบ้าง
โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานใหญ่มากจริงๆ จากจุดรายงานตัวมาถึงหอพักในเขตรวม ทั้งสองคนใช้เวลาวิ่งครึ่งชั่วโมงกว่าเต็มๆ สิ่งที่ทำให้ฟิซเชลลาประหลาดใจคือแม้แต่เขาเองยังหอบเล็กน้อย แต่พอเห็นท่าทางของอินจู๋กลับดูเหมือนคนปกติ แม้กระทั่งสีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสักนิดเดียว
“ที่นี่แหละ ห้องหกสองสาม” ฟิซเชลลาชี้ห้องห้องหนึ่งในแถบบ้านชั้นเดียว ข้างบนแขวนป้ายเขียนไว้ว่าห้องหกสองสามจริงๆ
“ขอบใจเจ้ามาก ฟิซเชลลา” อินจู๋กล่าวอย่างซาบซึ้งใจ
ฟิซเชลลาหัวเราะหึๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ถ้าเจ้าอยากจะขอบคุณจริงๆ คราวหลังเหล่าสาวสวยในเอกเจ้ามีกิจกรรมอะไรกันก็ต้องเรียกข้าด้วยนะ! ท่านวีรบุรุษ”
“อ้อ ได้เลย” เย่อินจู๋ฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของฟิซเชลลาไม่ออก แค่รู้สึกว่าเขาเป็นคนดี จึงรับปากไปโดยไม่รู้ตัว
ฟิซเชลลาจากไปแล้ว อินจู๋เดินมาถึงห้องหกสองสามคนเดียวก่อนจะใช้กุญแจเปิดประตู ขณะที่เขาเพิ่งก้าวเข้ามาในหอพักที่จะอาศัยอยู่ตั้งแต่นี้ไป ก็มองเห็นร่างผอมบางร่างหนึ่งกำลังวุ่นอยู่ในหอ
ในฐานะหอพักนักเรียนรับจ้าง ที่นี่ช่างเล็กจนน่าเวทนาจริงๆ ภายในห้องมีห้องน้ำที่ฝืนเบียดเข้าไปได้คนเดียวเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่าห้องรับแขกสามารถให้คนสองคนนั่งลงไปได้ก็ไม่เลวแล้ว สำหรับห้องนอนด้านในสุด หลังจากวางเตียงสองตัวและเก้าอี้ตัวหนึ่งก็แทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง ตอนนี้ร่างผอมบางนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการปัดกวาด การเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วมาก สวมชุดกางเกงสีเทาดูเรียบง่าย แต่กลับสะอาดสะอ้าน ส่วนสูงถึงแค่ประมาณระดับอกของอินจู๋ ชุดกางเกงสีเทาของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่ได้สั่งตัด จึงหลวมโพรกเล็กน้อย มือของเขาเล็กจุ๋มจิ๋ม แต่กลับว่องไวอย่างยิ่ง แม้ห้องหกสองสามจะเล็กมาก แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เขากวาดจนสะอาดหมดแล้ว
“สวัสดี” อินจู๋ทักทายร่างผอมบางนั้น
พอได้ยินว่ามีคนเข้ามา คนคนนั้นก็หันหลังมาหา ใบหน้าหล่อเหลาแต่ค่อนข้างซีดเซียวปรากฏอยู่ตรงหน้าอินจู๋ ผมยาวสีน้ำตาลปรกอยู่บนบ่า ดวงตากลมโตเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แต่รูปร่างผอมบางกับสีหน้าไม่ค่อยแข็งแรงของเขาทำไมถึงแลดูขาดสารอาหาร ตอนที่เขาเพิ่งจะเห็นอินจู๋ ร่างทั้งร่างก็นิ่งค้างไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น แม้แต่ผ้าขี้ริ้วในมือร่วงก็ยังไม่สังเกตเห็น
อินจู๋นึกว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายตกใจ จึงรีบร้อนกล่าวว่า “ข้าก็อยู่หอพักนี้เหมือนกัน พวกเราเป็นเพื่อนร่วมห้องกันใช่ไหม?”
“หา?” ตอนนี้นักเรียนตัวผอมบางคนนั้นเพิ่งจะได้สติกลับมา ก่อนรีบกล่าวว่า “ใช่! พื้นที่น้อย เชิญเข้ามาก่อนเถอะ” ขณะที่เขาก้มลงเก็บผ้าขี้ริ้วที่ร่วงลงบนพื้น นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาคู่นั้นก็ฉายแววประหลาดใจ
อินจู๋เดินมาถึงห้องนอนด้านใน เขาไม่มีสัมภาระอะไรเลย จึงวางชุดนักเรียนที่เพิ่งรับแจกมาลงบนเตียงที่ว่างอยู่ “สวัสดี ข้าชื่อเย่อินจู๋” เขาพูดพลางยื่นมือตัวเองออกไปหานักเรียนตัวผอมบางคนนั้น
“สวัสดี เรียกข้าว่าชูร่าก็ได้ โอ๊ะ! มือของเจ้า” พอชูร่าจับมือเย่อินจู๋ก็รู้สึกทันทีว่าเขามีแค่สี่นิ้ว
อินจู๋กล่าวอย่างไม่สนใจว่า “ไม่เป็นไร ข้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด มีนิ้วแค่แปดนิ้ว” ระหว่างที่พูดเขาก็ยื่นอีกมือหนึ่งของตัวเองออกมา สะบัดไปมาอยู่ตรงหน้าชูร่า
“ยังดีว่าแค่นิ้วก้อย เลยไม่ส่งผลอะไร” ชูร่าเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าอยู่เอกอะไร?”
เย่อินจู๋เอ่ยตอบว่า “ข้าอยู่เอกเทวคีต”
“เอกเทวคีต? เจ้าเป็นนักเทวคีต?” ชูร่ามองอินจู๋พลางปากอ้าตาค้าง
อินจู๋ยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวว่า “ทำไมพอได้ยินข้าบอกว่าอยู่เอกเทวคีตพวกเจ้าถึงตกใจอย่างนี้กันหมดล่ะ?”
ชูร่าหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เกรงว่าใครเห็นผู้ชายเรียนอาชีพอย่างนักเทวคีตก็คงตกใจทุกคน ถึงยังไงนี่ก็เป็นอาชีพที่คนไม่นิยมกัน”
อินจู๋หัวเราะ “เจ้ายังถือว่าถนอมน้ำใจ พวกเขาพูดว่านักเทวคีตเป็นเวทมนตร์กระจอกกันหมดแหละ เอ้อ เจ้าขยันจริงๆ กวาดหอจนสะอาดหมดแล้ว ยังมีอะไรต้องการให้ข้าช่วยอีกไหม?”
ชูร่าส่ายหน้ารัวแล้วกล่าวว่า “ไม่มีหรอก ข้าทำเองก็ได้ เจ้าดูสิที่นี่เล็กแค่นี้เอง แต่ว่าตอนข้ามาที่นี่สกปรกมาก เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าให้ข้าหนึ่งเหรียญเงินก็พอ”
“หนึ่งเหรียญเงิน?” เย่อินจู๋ตะลึงงัน
ชูร่าหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ใช่! บนโลกนี้ไม่ว่าอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด เจ้าดูสิ ข้าเสียเวลาไม่น้อยกว่าจะกวาดที่นี่จนสะอาด”
เย่อินจู๋เพิ่งจะเข้าใจกระจ่างขึ้นมา พอมองชูร่าที่ดูท่าทางขาดสารอาหารก็ไม่พูดอะไรมาก ก่อนหยิบทรัพย์สินหนึ่งในสิบของตัวเองออกมาแล้วยื่นเหรียญทองเหรียญหนึ่งให้กับชูร่า “ข้ามีแค่อันนี้ ไม่มีเหรียญทอง”
ชูร่าคว้าเหรียญทองจากฝ่ามือของอินจู๋ สายตาที่เขามองเหรียญทองเต็มไปด้วยความลุ่มหลงและความละโมบ “เหรียญทองย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน เรื่องสุขอนามัยในหอพักเราข้าจัดการให้เอง นี่ก็ถือว่าเจ้าจ่ายค่าแรงสามเดือนให้ข้าแล้วตกลงไหม? แล้วก็...ในเมื่อเจ้าเป็นนักเรียนรับจ้างเหมือนกัน ต่อไปไม่ต้องไปโรงอาหารจะดีกว่า ทำอะไรกินเองอยู่ในหอนี่แหละ ข้าทำกับข้าวเก่งนะจะบอกให้ หนึ่งเดือนเจ้าแค่ต้องให้ข้าสามเหรียญทองก็ได้แล้ว โรงอาหารของโรงเรียนเดือนหนึ่งไม่มีเหรียญทองสิบเหรียญย่อมไม่พอแน่นอน” ระหว่างที่พูดเขาก็ชูสามนิ้วไปทางอินจู๋ด้วย สีหน้าดูท่าทางตื่นเต้น
“อ้อ เอาสิ” เย่อินจู๋ควักเหรียญทองสามเหรียญยื่นให้ชูร่าอีกครั้ง “ชูร่า เจ้าทำอาชีพอะไร?”
“ข้า? ข้าอยู่เอกลอบสังหาร ถือว่าเป็นสาขาที่ไม่นิยมเหมือนกัน เจ้าดูสิ ข้ารูปร่างอย่างนี้ เหมาะจะเป็นมือลอบสังหารที่สุดไม่ใช่เหรอ?”
“มือลอบสังหาร!” อินจู๋อดอิจฉาชูร่าเล็กน้อยไม่ได้ เขาเคยฟังปู่ของตัวเองบอกว่ามือลอบสังหารเป็นอาชีพที่ฝึกฝนได้ยากยิ่ง เวลาฝึกฝนไม่เคยป้องกันตัว โจมตีอย่างเดียวเท่านั้น อาศัยพลังพิเศษเช่นอำพรางตัวเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง เมื่อลงมือ ถ้าไม่สังหารคู่ต่อสู้ในการจู่โจมครั้งเดียว ตัวเองก็จบเห่ ชูร่าที่รูปร่างผอมบางปราดเปรียวเหมาะสมกับอาชีพนี้มากจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นเอกลอบสังหารของเจ้าลงแข่งศึกประลองนักเรียนใหม่หรือเปล่า?”
ชูร่ามองอินจู๋อย่างประหลาดใจ “เจ้าล้อเล่นอะไร มือลอบสังหารที่ไหนแข่งกับคนอื่นบนเวทีประลองแบบเปิดเผยบ้าง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่มือลอบสังหารแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้าจะลงแข่ง”
เย่อินจู๋พยักหน้า “ใช่! ข้าตัดสินใจลงแข่งแล้ว”
……………………………………….