บทที่ 30 กลางกลียุคปรากฏธารน้ำพุใส
บทที่ 30 กลางกลียุคปรากฏธารน้ำพุใส
“ผู้คนชมชอบฟังวาจาเหลวไหลไร้แก่นสารมากนัก พวกเขาไม่สืบหาที่มาที่ไป ไม่สังเกตผลลัพธ์ที่ปรากฏ เพียงรับฟังวาจาอันเหลวไหลนั้น แต่โบราณราษฎรมีเพียงสี่กลุ่ม ทุกวันนี้มีราษฎรถึงหกกลุ่ม แต่โบราณผู้มีภาระหน้าที่สอนสั่งราษฎร มีเพียงหนึ่งจากสี่กลุ่มเท่านั้น ทุกวันนี้กลับมีถึงสามกลุ่ม ราษฎรที่ทำหน้าที่เพาะปลูก ต้องมอบเสบียงอาหารให้คนทั้งหกกลุ่ม ราษฎรที่ทำหน้าที่ผลิตเครื่องมือ ต้องมอบเครื่องมือทั้งหลายให้คนทั้งหกกลุ่ม ราษฎรที่ทำหน้าที่ค้าขาย ผู้ที่ต้องพึ่งพาอาศัยพวกเขามีหกกลุ่ม แล้วจะทำเช่นไรถึงมิให้ราษฎรต้องลักขโมยเพราะความยากแค้นได้เล่า?”
เถี่ยซินหยวนท่องเนื้อหาตอนหนึ่งจากความเรียง ‘รากฐานแห่งมรรคา’ ออกมาอีกครั้ง เขาวางตำราลงแล้วเอ่ยถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ขอรับ ในตำรากล่าวว่าแต่โบราณมามีราษฎรเพียงสี่กลุ่มนั้นหมายถึง ปัญญาชน ชาวนา ช่างฝีมือ และพ่อค้า แต่ตอนนี้ดินแดนเรามีราษฎรอยู่หกกลุ่ม หรือก็คือนอกจากปัญญาชน ชาวนา ช่างฝีมือและพ่อค้า ยังมีหลวงจีนและนักพรตเพิ่มมาด้วย
เป็นเช่นนี้ก็มีคนทำไร่ไถนา คนทำงานฝีมือ คนทำมาค้าขายน้อยลงไป ส่วนคนที่นั่งรอเสพสุขจากผลงานของคนสามกลุ่มนี้ย่อมมีมากขึ้น ช่างฝีมือ พ่อค้าและชาวนาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจยิ่งกว่าในอดีต ถ้าหากวันใดเกิดสถานการณ์เช่นนี้ เท่ากับว่าใต้หล้าจะเกิดกลียุคใช่หรือไม่? ราษฎรก็จะก่อกบฏขึ้นแล้ว?”
เมื่อเห็นว่าบุตรชายของจางต้าฮู่โดนตีอีกแล้ว เสียงร่ำไห้น่าเวทนาจนเถี่ยซินหยวนทนฟังต่อไปไม่ได้อีก เจ้าหนูนี่ไม่ได้ท่องวลีคู่ตรงข้ามส่วนของเมื่อวานมาอีกแล้ว
เพราะเห็นว่าทุกเช้าเขาจะมอบผลไม้ลูกใหญ่แสดงความเคารพที่มีต่อตัวเองมาตลอด จะช่วยสักครั้งก็ย่อมได้
ท่านอาจารย์กัวได้ยินเถี่ยซินหยวนถามถึงประเด็นความรู้ที่เป็นแก่นสารกับตนเอง จึงวางไม้ลงโทษอันใหญ่ไว้ทางหนึ่ง หลังจากปรับลมหายใจให้เข้าที่แล้ว เขาก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“เมื่ออ่านความเรียงของปราชญ์ในกาลก่อน จะต้องคำนึงถึงภาวะที่ปราชญ์ท่านนั้นดำรงอยู่ด้วย ในตอนนั้นเหวินเจิ้งกง(หานอวี้)กำลังเสนอข้อคิดเห็นเพื่อควบคุมหลวงจีนและนักพรตอย่างเต็มกำลัง ความคิดที่สะท้อนออกมาจึงมุ่งเน้นไปทิศทางหนึ่งอย่างเด่นชัด สิ่งที่กล่าวไว้ในความเรียงเป็นผลลัพธ์เลวร้ายที่สุด แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดในทันทีทันใด
แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี กฎหมายบ้านเมืองต้องธำรงสมดุลสี่ประการเอาไว้อย่างเป็นระบบ ไม่อาจละทิ้งหรือลดทอนโดยง่าย ชาวนามีมาก บ้านเมืองไร้เงินทอง พ่อค้ามีมาก บ้านเมืองไร้เสบียง ช่างฝีมือมีมาก บ้านเมืองจะต้องสร้างสิ่งใหญ่โตอีกมากมาย ช่างฝีมือมีน้อย เครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องใช้ก็มีไม่พอ
ปัญหาที่เจ้าถามมาเมื่อครู่นี้เป็นสิ่งที่เกิดวนเวียนไปไม่รู้จบ เมื่อคำนึงถึงปัญหาของราษฎรกลุ่มหนึ่ง จำต้องคำนึงถึงราษฎรอีกสี่กลุ่มไปในเวลาเดียวกัน มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่แน่
และปัญหานี้เองทำให้เกิดโจรผู้ร้ายไปทั่วหล้า”
เถี่ยซินหยวนเห็นว่าบุตรชายของจางต้าฮู่ส่งสายตาวิงวอนมาทางตน จึงเอ่ยปากถามต่ออย่างช้าๆ ว่า “อาจารย์ขอรับ ถ้าหากคนผู้หนึ่งมีสันดานโจรโดยกำเนิดเล่า?”
“สังหารสิ้น!”
ท่านอาจารย์เริ่มมีสีหน้าไม่ชวนมองแล้ว เถี่ยซินหยวนจึงรีบพยักหน้าน้อมรับคำสั่งสอน แล้วหยิบความเรียง ‘รากฐานแห่งมรรคา’ ของตนขึ้นมาท่องต่อไป
หนึ่งใจแยกสองเป็นความสามารถที่เถี่ยซินหยวนพัฒนาขึ้นมาด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงท่องความเรียงเจื้อยแจ้วได้ไม่ขาดปาก แต่ในใจกลับใคร่ครวญว่าอีกประเดี๋ยวจะเผชิญหน้ากับพวกโอวหยางซิวอย่างไร
สำหรับนักต้มตุ๋น การรั้งตัวคนผู้หนึ่งไว้แล้วหลอกลวงจนถึงที่ตายนั้นเป็นวิธีการต่ำช้าที่สุด
ถ้าหากนักต้มตุ๋นคนหนึ่งหลอกเอาเงินมาได้หนึ่งร้อยพวง และเงินหนึ่งร้อยพวงนี้มาจากคนนับร้อยคนก็ไม่ใช่ปัญหา เพียงแค่กระจายรับความมั่งคั่งอย่างทั่วถึงเท่านั้น
แต่ถ้าหากรั้งตัวคนผู้หนึ่งไว้แล้วหลอกลวงจนถึงที่ตาย เพื่อกอบโกยเงินหนึ่งร้อยพวง เป็นไปได้มากว่าเรื่องนี้คงลุกลามเป็นคดีความใหญ่โตแน่ ถ้าเกิดหน่วยงานของทางการเริ่มสืบหาต้นสายปลายเหตุเมื่อไร นักต้มตุ๋นก็เป็นแค่นักต้มตุ๋น ไม่อาจรอดพ้นการพิจารณาคดีไปได้ นอกจากการหลบหนีแล้วนับว่าไม่มีทางไหนให้เลือกเดินจริงๆ กิจการที่เปิดไว้ก็ต้องยุติลงโดยสิ้นเชิง
สุ่ยจูเอ๋อร์ไม่คิดว่าตัวเองเป็นขอทานมานานแล้ว
ความจริงเสื้อผ้าที่สวมอยู่ยังดูดีกว่าลูกหลานชาวบ้านทั่วไปเล็กน้อยด้วยซ้ำ ถ้าหากในมือถือขนมหมี่เกาชิ้นหนึ่ง ก็ดูเหมือนลูกผู้ดีมีตระกูลอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ฉะนั้นเขาจึงเดินแอ่นอกอย่างภาคภูมิใจกว่าปกติ ส่วนขนมหมี่เกาแม้จะยังตัดใจกินไม่ลง แต่กลับชูขึ้นสูงจนเห็นเด่นชัด เมื่อเดินผ่านเด็กกลุ่มหนึ่งที่นั่งขอทานอยู่ริมถนน ยังจงใจกระแอมไอเลียนแบบผู้ใหญ่ ส่งสัญญาณให้ขอทานกลุ่มนั้นหันมามองขนมหมี่เกาในมือตัวเอง
เมื่อก่อนขอทานน้อยเหล่านี้มีกลุ่มขอทานเป็นที่พึ่งจึงมีอาหารดีๆ กินมากกว่าพวกเขา ในเวลานั้นแม้กระทั่งยามหลับฝัน สุ่ยจูเอ๋อร์ยังฝันว่าอยากกินขนมเจิงปิ่งสีขาวหมดจดนั่น...
แต่ความสนใจของเถี่ยซินหยวนกับสุ่ยจูเอ๋อร์ย่อมแตกต่างกัน เขามองเห็นเจ้าจิ้งจอกนอนสะบัดหางไปมาอยู่หน้าร้านขายเครื่องประทินโฉม พยายามประจบเอาใจผู้อื่นราวสุนัขเชื่องๆ
สภาพเช่นนี้หากเกิดขึ้นกับสุนัขทั่วไปคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เจ้าจิ้งจอกบ้านเขาวางมาดหยิ่งยโสมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยประจบเอาใจผู้อื่นอย่างไร้หลักการเพียงเพื่อเนื้อไก่สักชิ้นหรือว่าอาหารรสโอชะอื่นใด แล้ววันนี้มันเป็นอะไรกันแน่?
เมื่อเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย จมูกของเถี่ยซินหยวนก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ สิ่งที่ทำให้เจ้าจิ้งจอกบ้านเขาทำตัวเหลวไหลไร้เหตุผล มีสาเหตุมาจากจิ้งจอกอีกตัวที่อยู่ในอ้อมแขนของสาวน้อยใบหน้าแลดูคุ้นเคยนางหนึ่ง...ดูเหมือนว่าจิ้งจอกตัวนั้นจะเป็นตัวเมีย
เถี่ยซินหยวนอยากจะลากจิ้งจอกของตนจากไปนัก แต่ว่าเจ้าตัวยุ่งนี่แสร้งเป็นสุนัขนอนตาย นอนหมอบอยู่กับพื้นไม่ยอมขยับเขยื้อน ต่อให้เถี่ยซินหยวนพยายามลากคอของมันเท่าไร อุ้งเท้าทั้งสี่ก็ยังตรึงแน่นกับพื้นดินอยู่อย่างนั้น
หมัดนิ่มๆ ของใครคนหนึ่งพุ่งมาชกเข้าที่จมูกของเถี่ยซินหยวนอย่างจัง หมัดนี้อัดกระแทกจนนัยน์เขาเห็นดาวพราวระยับ หลังจากกะพริบตาครู่หนึ่งจึงไล่ดาววิบวับตรงหน้าหายไปจนหมด พอมองผ่านม่านน้ำตาอันเลือนราง ในที่สุดก็เห็นหน้าเจ้าคนสารเลวที่ชกหน้าเขาแล้ว
สาวน้อยบ้านไหนจะมีรูปร่างคล้ายตัวไหมอ้วนที่โดนกระโปรงเล็กๆ พันเอาไว้บ้าง?
นอกจากหลานสาวตัวน้อยของท่านเก๋อยวนก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว จะตามหาให้ทั่วเมืองหลวงก็ตามหาสาวน้อยที่อวบอ้วนกว่านางไม่ได้ง่ายๆ หรอก
“เจ้าคนลามก ต่ำช้า!”
เถี่ยซินหยวนยืนปิดจมูกเอาไว้พลางส่งเสียงอู้อี้ถามอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าต่ำช้าตรงไหนกัน?”
“ก็ดูจิ้งจอกบ้านเจ้าสิ!”
เถี่ยซินหยวนหันไปมองจิ้งจอกของตนด้วยความประหลาดใจ ถึงได้พบว่าเจ้าตัวบัดซบไร้ยางอายกำลังนอนสี่ขาหงายชี้ฟ้า อวัยวะเบื้องล่างที่ไม่ควรเปิดเผย กลับเล็ดรอดขนฟูสีขาวหิมะออกมาจนสะดุดสายตาผู้คนยิ่งนัก
เถี่ยซินหยวนกระโจนเข้าไปกอดตัวมันไว้แล้วจับพลิกกลับมา แล้วเงยหน้ามองสาวน้อยที่ปักหลักราวเทพเฝ้าประตู ก่อนจะเอ่ยปากว่า “มันก็แค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง”
“หึ สัตว์เลี้ยงเป็นเช่นไร ก็เพราะมีเจ้านายเช่นนั้น เจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก”
“แล้วเหตุใดข้าถึงไม่ใช่คนดีเล่า?”
“เมื่อหลายวันก่อนท่านปู่พาข้าไปที่สำนักไท่เสวีย เจ้าเองไม่ใช่รึที่แก้ผ้าล่อนจ้อนโดนแขวนอยู่บนเสาประจานผู้คน? จิ้งจอกตัวนี้ก็เอาอย่างเจ้านั่นแหละ
ลองดูเสี่ยวเสวี่ยบ้านข้าสิ แค่มองก็รู้ว่าเป็นกุลสตรีผู้เพียบพร้อม...”
เถี่ยซินหยวนร้อง ‘อ๊าก’ ขึ้นมาคำหนึ่ง ก่อนจะบีบบังคับลากตัวเจ้าจิ้งจอกไปจากหน้าร้านขายเครื่องประทินโฉม
หญิงสาวผู้หนึ่งสวมหมวกอำพรางใบหน้าออกมาจากร้านแห่งนี้ นางเลิกผ้าคลุมหน้าออกเล็กน้อยเผยให้เห็นปลายคางกลมอิ่มงดงาม แล้วเพ่งมองเถี่ยซินหยวนที่ส่งเสียงคำรามก่อนเดินจากไปไกล นางยิ้มบางๆ แล้วถามสาวน้อยตรงหน้าว่า “นี่ถังถัง เด็กคนนั้นเป็นญาติผู้น้องบุตรชายท่านอาเล็กของข้าใช่ไหม?”
สาวน้อยรูปร่างอวบอ้วนล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกจากอกเสื้อ เช็ดปากให้จิ้งจอกน้อยของนางพลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ท่านปู่ของข้าเคยเจอมาก่อน อาเล็กของท่านขายทังปิ่งอยู่จริงๆ นางยังมีบุตรชายคนหนึ่ง ก็คือเจ้าคนไม่ได้ความชอบเปลือยบั้นท้ายที่ท่านเห็นเมื่อครู่นี้นั่นแหละ”
“ท่านอาเล็กจำท่านปู่ของเจ้าไม่ได้หรือ?”
“ไม่สักนิด เดิมทีท่านปู่อยากเปิดเผยตัว แต่ภายหลังเห็นว่าบุตรชายท่านอาเล็กมีปัญหา ถึงได้พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ตั้งใจว่าอีกหลายปีข้างหน้าค่อยว่ากัน”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอาเล็กคงต้องลำบากแล้ว”
ถังถังเหลือบมองหญิงสาวที่งดงามปานภาพวาดอย่างหงุดหงิดแล้วตอบว่า “ใครบอกกันว่าอาเล็กของท่านลำบาก? ทุกวันนี้นางเป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านขายทังปิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง วันวันหนึ่งทำการค้าอย่างสำราญใจ ถ้าหากเป็นข้า ก็ยอมเปิดร้านขายทังปิ่ง ไม่กลับจวนหลังใหญ่น่าเบื่อพรรค์นั้นเหมือนกัน”
หลังจากกล่าวจบประโยคนางก็ไม่สนใจหญิงงามข้างกายอีก เมื่อปล่อยเสี่ยวเสวี่ยให้เดินบนพื้นตามใจชอบ ก็วิ่งตามไปทางที่เถี่ยซินหยวนจากไป
เมื่อเจ้าจิ้งจอกไม่ได้กลิ่นยั่วยวนจากจิ้งจอกตัวเมียอีกตัว ก็มีท่าทีสงบลงบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตชีวาเท่าใดนัก หลังจากนั้นไม่นานเถี่ยซินหยวนกับสุ่ยจูเอ๋อร์ก็มาถึงสำนักไท่เสวีย วันนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องแยแสบ่าวรับใช้สารเลวพวกนั้น ได้ยินว่าพวกเขาไปตะโกนโหวกเหวกตรงกำแพงเขตพระราชฐาน จึงโดนมือปราบจากศาลไคเฟิงจับตัวไป โดนลงโทษโบยหนักๆ สามสิบไม้ แล้วปรับเงินอีกสามชั่งถึงปล่อยตัวกลับมา
ทางการลงโทษได้เพียงเท่านี้เอง เพราะยังเห็นแก่สำนักไท่เสวียที่เป็นแหล่งบ่มเพาะปัญญาชน จึงสั่งสอนให้หลาบจำสักหน่อยก็พอ ส่วนสุนัขดุร้ายที่เลี้ยงเอาไว้กลายเป็นอาหารเย็นจานพิเศษขององครักษ์บนกำแพงไปก่อนแล้ว
เถี่ยซินหยวนจัดเตรียมกระดานหมากเรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว แน่นอนว่าบ่าวรับใช้ที่จับตาดูอยู่ก็เข้าไปรายงานพวกโอวหยางซิว ไม่นานนักโอวหยางซิวก็เดินโบกพัดใบไผ่นำชายอีกสามคนออกมา
หลังจ้องมองด้านหลังของเถี่ยซินหยวนแล้ว เขาไม่เห็นธงที่เขียนข้อความกำเริบเสิบสานนั่นอีก ก็กล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าหนู ตั้งธงของเจ้าขึ้นมาเสีย พอไม่มีธงผืนนั้นแล้ว ข้ารู้สึกว่าขาดรสชาติอะไรบางอย่าง”
แม้สัมผัสได้ถึงแววตามุ่งสังหารของบัณฑิตสำนักไท่เสวียที่อยู่รายล้อม แต่เถี่ยซินหยวนก็ยังกางธงเก่าๆ ผืนนั้นออกมา เมื่อคำว่าโง่งมปรากฏชัดสู่สายตา ฝูงชนก็เกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
“ถ้าไม่ใช่เห็นว่าเจ้ายังเด็ก คงกระทืบจมดินไปนานแล้ว...”
“รีบๆ เริ่มเสียที นายท่านรอจนทนไม่ไหวแล้ว พอกินเงินเจ้าจนเกลี้ยง ดูสิว่าบุพการีของเจ้าจะโผล่มาไหม...”
เมื่อวานบัณฑิตแต่ละคนยังสงวนท่าทีไม่ยอมลงประชันฝีมือ ทว่าตั้งแต่บัณฑิตอัจฉริยะอย่างโอวหยางซิวมาปูทาง วันนี้กลับกรูกันเข้ามาล้นหลามนัก
พี่เหมยเห็นเพียงภาพศีรษะสีดำสนิทมารวมกันแน่นขนัด เขาหันไปส่งยิ้มจืดเจื่อนด้วยความจนใจให้โอวหยางซิวที่โดนเบียดออกมาพร้อมกันแล้วกล่าวว่า “ดูท่าวันนี้คงไม่มีโอกาสแล้ว”
หวังก่งเฉิน[1]กล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลนว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งจะเก่งกาจกว่าพวกเราได้?”
อิ่นจู[2]ชี้หน้าเหมยเหยาเฉิน[3]แล้วเอ่ยอย่างขบขันว่า “ต้องเป็นเพราะเมื่อวานพี่เหมยไปสาย ถึงได้จงใจหาข้ออ้างมาชวนดื่มแน่ แต่ไม่เป็นไรๆ วันนี้พวกเราไม่เมาไม่เลิกรา”
โอวหยางซิวเหลือบมองเหล่าบัณฑิตสำนักไท่เสวียที่ค่อยๆ เงียบเสียงลงแล้วกล่าวว่า “รออีกสักครู่ ตามความเห็นข้า ภาพความเอะอะครึกครื้นตรงหน้าคงอยู่ได้ไม่นานนักหรอก”
ชายทั้งสี่เดินมาที่เพิงน้ำชาแห่งหนึ่ง พวกเขาจิบชาไปพลางถกเถียงเรื่องราวที่โอวหยางซิวและเหมยเหยาเฉินประสบพบเจอมาเมื่อวานนี้
“หมากกระดานนั้นแปลกพิสดารเหลือเกิน หมากดำดูเหมือนครองความได้เปรียบทั้งหมดแล้ว ต้องการอีกก้าวเดียวหมากแดงก็จะพ่ายแพ้หมดรูป แต่ว่าเรื่องน่าแปลกใจก็คือ ขอเพียงหมากแดงเดินก่อนก้าวหนึ่ง หมากดำก็จะเผชิญกับการล่าสังหารทุกย่างก้าวของหมากแดง เสียกำลังไปมากมายโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายผลการต่อสู้ออกมาเสมอกันนับว่าโชคดีมากแล้ว”
หวังก่งเฉินขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “สุดหยางเกิดหยิน สุดหยินเกิดหยาง ก็เป็นแค่หลักเหตุผลหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางเป็นจริงได้เสียหน่อย ตายแล้วก็คือตายไป ถ้าหากจอมทัพมิได้มีสติปัญญาล้ำเลิศ พละกำลังเหนือชั้น คงไม่มีทางพลิกกระดานได้แน่”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฝีมือเชิงหมากของเจ้าเด็กนั่นจะเก่งกาจกว่าพวกท่านสองคน”
“เฮ่อๆๆ พี่ตงเฉิน กลางกลียุคปราฏธารน้ำพุใสไม่ใช่เพียงเรื่องพูดกันเล่นๆ ข้าเองก็ไม่เชื่อ สุดท้ายข้ากับพี่เหมยต่างพ่ายแพ้จนหมดวาจาจะกล่าวเชียวนะ”
อิ่นจูหันไปทางทิศที่เถี่ยซินหยวนนั่งอยู่ เขามีสีหน้าครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “หรือว่าจะมีสาเหตุอื่นแอบแฝงอยู่? ข้าก็ไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กตัวเล็กๆ นั่นจะสามารถประชันหมากเอาชนะพี่โอวหยางได้”
----------------------------
[1] หวังก่งเฉิน(王拱辰)เป็นกวีที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ มีผลงานโดดเด่นในช่วงรัชกาลฮ่องเต้ซ่งเหรินจง ซ่งอิงจงและซ่งเสินจง
[2] อิ่นจู(尹洙)ขุนนางและกวีที่มีชื่อเสียงสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ และยังเป็นที่รู้จักนามท่านเหอหนานหรือเหอหนานเซียนเซิง(河南先生)
[3] เหมยเหยาเฉิน(梅尧臣)ขุนนางและกวีที่มีชื่อเสียงสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ เป็นที่รู้จักในนามท่านหว่านหลิงหรือหว่านหลิงเซียนเซิง(宛陵先生)