บทที่ 31 ที่แท้นายมันก็คือปีศาจ?
บทที่ 31 ที่แท้นายมันก็คือปีศาจ?
สือเสี่ยวไป๋ไร้ซึ่งคำพูด เมื่อไม่นานมานี้เขาก็เพิ่งเล่นเกมจับไพ่กับซีซือมาเกมหนึ่ง มันเป็นเกมที่ไม่มีความสนุกเลยสักนิด ความจริงสือเสี่ยวไป๋ไม่รู้สึกสนใจเกมของซีซือเลย สำหรับเขาแล้วซีซือคือไอ้โรคจิตที่น่ารังเกียจและไม่อยากอยู่ใกล้เท่านั้น
แต่ว่าครูฝึกโรคจิตผู้นี้ดูท่าจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ เพราะไม่เพียงคอยเพ่งเล็งเขา แต่ตอนนี้ยังเรียกชื่อเขาให้ขึ้นไปบนแท่นบรรยายอีก
เมื่อรับรู้ถึงสายตาเป็นกังวลที่ส่งมาของเย่เจียเฉวียนและหลิงฉุน อีกทั้งสายตาเวทนาที่เบียดอัดแน่นเหล่านั้น สือเสี่ยวไป๋ก็ขมวดคิ้ว
“ช่างเถอะ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรข้าก็เคยเป็นเซียนแห่งเกมมาก่อน จะไปโดนไอ้โรคจิตบ้าเกมที่มีชื่อเสียงจอมปลอมคนนี้ทำให้หวั่นกลัวได้อย่างไรกัน!”
สือเสี่ยวไป๋นึกถึงชัยชนะเล็กๆ ฉากนั้นตอนที่อยู่ในห้องทำงานซีซือ ความเชื่อมั่นในใจก็เกิดขึ้น เขาลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาฝูงชน ก่อนจะเดินไปยังแท่นบรรยายตรงกลาง ด้วยท่าทางไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“ต้าเฮยดูท่ามั่นใจจังเลย ข้า...รู้สึกว่าต้าเฮยน่าจะสามารถรับมือได้” เย่เจียเฉวียนมองไปยังหลิงฉุน พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร
หลิงฉุนถอนหายใจยาวแต่ไม่ได้ตอบกลับไป ลูกตาสีดำอ่อนปรากฏความจริงจังแว๊บเข้ามา
ครั้นเมื่อสือเสี่ยวไป๋เดินมาถึงข้างกายซีซือ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวเองคล้ายกับเดินลงมายังกลางห้องเย็น พลันรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วร่าง รู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย
ซีซือยิ้มอย่างชั่วร้ายให้กับสือเสี่ยวไป๋ พลางกว่าวเสียงเบา “ก่อนจะเล่นเกมนี้ ฉันขอถามสักหน่อย ต้าเฮย นายรู้หรือเปล่าว่าอะไรคือ ‘โล่พิทักษ์วิญญาณ’?”
สือเสี่ยวไป๋ชะงัก ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าพลางตอบ “ไม่รู้”
บรรดาเด็กใหม่ที่นั่งอยู่เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ ต่างฉายแววตาน่าเหลือเชื่อออกมากันหมด มีบางคนยกมุมปากยิ้มเยาะ
ที่แท้ก็ยังมีคนซื่อบื้อที่ไม่รู้จักโล่พิทักษ์วิญญาณอยู่อีกเหรอ? เขาเข้ามาปะปนอยู่ใน [ไกอา] ได้ไง หรือว่าจะใช้เส้นเข้ามา? มีบางคนสงสัยว่าถู่ต้าเฮยก็คือเด็กใหม่สือเสี่ยวไป๋ แต่ทว่าในเวลานี้ความสงสัยคลางแคลงนั้นก็ได้จางไปไม่น้อยแล้ว
ซีซือได้รับข้อมูลของสือเสี่ยวไป๋จากหัวหน้าองค์กร ซึ่งในข้อมูลระบุไว้ว่าสือเสี่ยวไป๋ยังไม่ได้เริ่มการฝึกพลังจิต ดังนั้นมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่าเขาจะไม่รู้จัก ‘โล่พิทักษ์วิญญาณ’ ด้วยเหตุนี้ซีซือจึงได้ถามคำถามนี้ขึ้น และคำตอบของสือเสี่ยวไป๋ก็เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ทว่าซีซือกลับต้องปวดหัวอยู่บ้าง เพราะหากเขาอยากดำเนินเกมนี้ต่อ เขาจะต้องให้สือเสี่ยวไป๋เข้าใจและครอบครอง “โล่พิทักษ์วิญญาณ”ให้ได้ก่อน
“เห็นทีคงจะต้องใช้วิธีดึงกล้าให้โต[1]เสียแล้ว”
ซีซือที่คิดเช่นนี้ พลันหันกายมองเด็กใหม่ที่นั่งอยู่ก่อนจะพูดว่า “หวางหลิน นายมาอธิบายทีสิว่าอะไรคือ ‘โล่พิทักษ์วิญญาณ’”
เมื่อคำสั่งจบลง ที่นั่งทางฝั่งขวาก็มีวัยรุ่นผมสั้นอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่งลุกขึ้น กล้ามเนื้อเป็นมัดๆใต้เสื้อผ้าที่รัดแน่น แฝงไปด้วยพละกำลังที่เห็นได้ชัด ทุกสายตาที่มองไปยังวัยรุ่นผู้นั้นของสมาชิกทีมสีฟ้า แสดงถึงความยำเกรงและความไว้วางใจ
หวางหลินพยักหน้าเป็นการตอบรับให้ซีซือ ก่อนจะมองไปยังสือเสี่ยวไป๋แล้วกล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “โล่พิทักษ์วิญญาณถือว่าเป็นอาวุธป้องกันวิญญาณในระบบป้องกันของสี่ระบบใหญ่แห่งการต่อสู้”
หวางหลินเว้นจังหวะครู่หนึ่ง หลังเรียบเรียงถ้อยคำแล้วจึงพูดต่อ “ระบบป้องกันแบ่งเป็นการป้องกันร่างกายและการป้องกันจิตวิญญาณ การป้องกันร่างกายก็หมายถึงการป้องกันผิวหนัง เลือดเนื้อ เอ็นกระดูกและเส้นประสาท เป็นขอบเขตการฝึกฝนร่างกาย แต่การป้องกันจิตวิญญาณนั้นกลับเป็นการศึกษาว่าจะใช้พลังจิตมาเป็นอาวุธป้องกันได้อย่างไร โล่พิทักษ์วิญญาณนั้นพอเห็นชื่อก็จะทราบถึงความหมายแฝงของมัน นั่นก็คือเปลี่ยนพลังจิตให้เป็นโล่คุ้มกัน ยกขึ้นมาป้องกันการโจมตีระยะใกล้”
เมื่อหวางหลินกล่าวจบ ก็ยื่นมือขวาออกมา ทันใดนั้นถนนเส้นหนึ่งที่คล้ายกับลำแสง และก็คล้ายกับพลังสีขาวของอากาศก็ได้มารวมอยู่ใจกลางฝ่ามือของเขา เมื่อถือไว้ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นโล่สีขาวปิดบังด้านหน้าเกือบมิด
สือเสี่ยวไป๋ตาเป็นประกาย พลังสีขาวนั้นเขาเคยพบมาก่อน เมื่อครั้งได้ที่เย่เจียเฉวียนปล่อยหมัดตอนนั้น ที่แท้พลังนี้ก็เรียกว่า “พลังจิต”อย่างนั้นเหรอ?
“โดยทั่วไปแล้วโล่พิทักษ์วิญญาณใช้ป้องกันการโจมตีจากด้านเดียว ไม่ว่าจะเป็นจากดาบในการสู้ระยะประชิด หรือว่ากระสุนปืนจากระยะไกล โล่พิทักษ์วิญญาณที่แข็งกล้าล้วนก็สามารถป้องกันได้ทั้งนั้น กล่าวโดยทั่วไปคือโล่พิทักษ์วิญญาณของขั้นปฐมจิตชั้นสี่ลงมาต่างก็สามารถรับแรงกระสุนธรรมดาได้แล้ว แต่ว่าสำหรับกระสุนทะลุวิญญาณที่พิเศษโล่นี้กลับไร้ทางสู้ได้”
หวางหลินพูดจบก็ชักมือขวากลับ โล่สีขาวนั้นก็พลันจางหายไปด้วย เขามองไปยังซีซือแทนความหมายว่าตนได้พูดจบแล้ว เมื่อเห็นซีซือพยักหน้ารับ เขาจึงได้นั่งลงอย่างสง่า
“ของสิ่งนี้สามารถใช้ป้องกันกระสุนปืนได้งั้นเหรอ!”
สือเสี่ยวไป๋ใจเต้นรัวขึ้นมา รู้สึกเลือดในกายพลุ่งพล่านไปหมด
ซีซือเห็นท่าทางเช่นนั้น นัยน์ตาพลันประกายแสงขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะพูดว่า “การป้องกันจิตวิญญาณแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ระดับแรกคือความแข็งแกร่งของพลังจิต ใช้พลังจิตทำให้ทุกส่วนของร่างกายตัวเองแข็งแกร่งขึ้นจวบจนร่างกายเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งในระดับใช้การป้องกันได้ ระดับที่สองคือโล่พิทักษ์จิตวิญญาณ โดยทั่วไปหมายถึงการป้องกันการโจมตีจากทางเดียว”
“ระดับที่สามคือเกราะพิทักษ์จิตวิญญาณ สามารถเรียกว่าเป็นโล่พิทักษ์รูปแบบห่อหุ้มตัว ซึ่งสามารถใช้ป้องกันจากการโจมตีรอบด้าน แม้ว่าระดับพลังการป้องกันจะไม่เท่าโล่พิทักษ์วิญญาณ แต่มันเหมาะกับการใช้ปกป้องชีวิตจากห่ากระสุนและธนูไฟ”
“ระดับสุดท้ายก็คือกายแสง สามารถบรรลุถึงผลแห่งการป้องกันในอาณาเขตที่กว้างมาก ระดับสุดท้ายนี้ก็คือผนึกป้องกันจิตวิญญาณ ที่บรรลุผลแห่งการป้องกันในระดับพื้นที่วงกว้าง ยิ่งมีคนจำนวนมากร่วมกันสร้างกำแพงผนึกป้องกันมากขึ้นจนระดับความแข็งแกร่งบรรลุถึงระดับที่มั่นคงแล้ว พลังนั้นก็จะสามารถเป็นวิธีหลักในการป้องกันขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์ได้”
ซีซืออธิบายเรื่องสี่ระดับแห่งการป้องกันอย่างละเอียด สำหรับความรู้พวกนี้บรรดาเด็กใหม่ในห้องต่างก็จดจำได้ขึ้นใจแล้ว พวกเขาเลยไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ซีซือจะต้องให้อธิบายความรู้พื้นฐานที่ไม่รู้จะพื้นฐานยังไงได้อีกเหล่านี้ให้กับถู่ต้าเฮยฟังอย่างอดทนอีกด้วย?
นัยน์ตาของสือเสี่ยวไป๋แดงจนเกือบจะสุกแล้ว เขาฟังเรื่องอะไรอยู่? ใช้พลังของมนุษย์มาป้องกันขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์ นะ-นี่มันไม่ใช่พลังที่เขาปรารถนามาโดยตลอดงั้นหรือ?
“เป็นอย่างไรบ้าง? อยากจะเรียนวิชาโล่พิทักษ์วิญญาณบ้างหรือเปล่า?” น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยมนต์สะกดของซีซือกระซิบดังข้างหูของสือเสี่ยวไป๋
สือเสี่ยวไป๋ในเวลานี้ไหนเลยจะทนกับสิ่งจูงใจเช่นนี้ได้ เขารีบพยักหน้าทันที “อยาก! ไม่ใช่แค่วิชาโล่พิทักษ์วิญญาณเท่านั้น แต่ข้าอยากเรียนทุกอย่างเลย!”
“ดี งั้นฉันจะสอนนายเอง”
ซีซือยิ้มบางๆ ก่อนจะขยับเข้าไปกระซิบพูดอะไรบางอย่างข้างหูสือเสี่ยวไป๋ บรรดาเด็กใหม่ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาฟังกันหูผึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยินคำพูดพวกนั้น ในใจพวกเขาต่างก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาด
การคิดอยากจะผสานเข้ากับโล่พิทักษ์วิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้เพียงในเวลาข้ามคืน เฉกเช่นกับการเรียนวิชาภาษานั่นแหละ มันต้องใช้เวลาและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ ที่อาจารย์ซีซือบอกว่าจะสอนเจ้าก้อนดินคนนั้น แถมยังกระซิบความลับบางอย่างข้างหูเขาอีก หรือว่าจะเป็นทางลัดที่ฝืนลิขิตอะไรนั่น?
คำกระซิบของซีซือเอ่ยออกไปไม่ถึงหนึ่งนาที สือเสี่ยวไป๋ก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ในที่สุดก็เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ทำแบบนี้ก็สามารถทำให้โล่พิทักษ์วิญญาณที่พวกนายพูดถึงเมื่อครู่ปรากฎออกมาได้งั้นเหรอ? มันง่ายขนาดนั้นเลย?”
ผู้คนได้ฟังต่างก็ตกตะลึง มีทางลัดอยู่จริงงั้นหรอ?
ซีซือพยักหน้าที่คล้ายกับยิ้มก็ไม่ยิ้ม “แน่นอน นายลองดูก็จะรู้เอง”
สือเสี่ยวไป๋ไม่ลังเล ในใจ เปลวไฟแห่งความลุ่มหลงของพลังในใจทำให้เขารีบทำตามวิธีการที่ซีซือบอกในทันที
“ใช้ใจสัมผัสพลังจิตในกาย แล้วใช้สตินึกรู้ควบคุมทิศทางเคลื่อนไหวของพลังจิต จากนั้นก็ร่ายคาถา...”
สือเสี่ยวไป๋ยื่นแขนขวาออกมา คำพูดของซีซือพลันแล่นขึ้นในสมอง ทันใดนั้นร่างกายพลันรู้สึกถึงความอุ่นที่พุ่งขึ้นมา เป็นความอุ่นสบายที่น่าประทับใจเหลือเกิน
ทว่าไม่นาน ความอุ่นนี้ก็เพิ่มดีกรีขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความร้อนดั่งไฟเผา เป็นความเจ็บปวดที่ออกมาจากทุกอณูเส้นประสาท จู่ๆ สือเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกว่าเหมือนว่าตัวเองถูกเผาอยู่กลางกองไฟ ทรมานจนแทบจะหมดสติล้มลงไป
“โอ๊ยยยย”
เสียงร้องฉีกขาดโหยหวนดังออกมาจากปากของสือเสี่ยวไป๋ ดังก้องไปทั่วทั้งห้องเรียน
บรรดาเด็กใหม่ต่างเข้าใจความจริงของเรื่องขึ้นมาทันที ทุกคนต่างตกตะลึงจนหายใจค้าง รีบปิดปากไม่ให้ตัวเองเผลอส่งเสียงร้องออกมา
เย่เจียเฉวียนดวงตาแดงก่ำ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หลิงฉุน หากขะ-ข้าไม่ได้ดูผิดไป ต้าเฮยในตอนนี้กำลังร่ายคาถา ‘เพลิงโลกันต์ต้องห้าม’อยู่ใช่ไหม?”
สีหน้าของหลิงฉุนที่ซีดลงไปแต่แรกแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “ใช่มันคือเพลิงโลกันต์ต้องห้าม เป็นวิธีดึงกล้าให้โตที่โหดร้ายที่สุดในตำนาน ซึ่งมีโอกาสสำเร็จเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น หากว่าสำเร็จล่ะก็ อย่างน้อยก็สามารถเปิดทางพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่หากล้มเหลวล่ะก็ จุดจบก็คือเผาไหม้ตัวเอง จะเจ็บปวดทรมานจนตาย”
“ถ้าหากต้าเฮยสามารถอดทนผ่านเพลิงโลกันต์ต้องห้ามนี้จนสามารถเปิดทางพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ เช่นนั้นก็จะสามารถตัดขั้นตอนการบรรลุจิตและการสั่งสมจิตไปได้เลย ‘ครอบครองก้าวแรก’แห่งวิธีควบคุมพลังจิตได้โดยตรง เรื่องนี้ก็คือทางลัดที่ซีซือคิดออกมา
“ไอ้เดนตาย! คาดไม่ถึงเลยว่าซีซือจะใช้วิธีเดิมพันทุ่มสุดตัวแบบนี้เพื่อให้เกมของตัวเองดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น หรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วต้าเฮยก็คือฉือ...ไม่ เป็นไปไม่ได้ว่าเขาจะไม่รู้ แต่ว่าเหตุใดเขายังทำเช่นนี้? หรือว่าเขาไม่กลัวว่าต้าเฮยจะตายงั้นเหรอ? โอกาสสำเร็จในเพลิงโลกันต์ต้องห้ามมีเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น! หากว่าต้าเฮยตายจริงๆ ล่ะก็ เขาที่เป็นบิ๊กสามแห่ง [ไกอา] จะไม่รู้สึกสงสารบ้างเลยหรือไง?”
“จะว่าไป เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องความรุ่งเรืองหรือตกต่ำของ [ไกอา] ตั้งแต่แรกแล้ว? ใช่แล้ว เขาก็เป็นคนบ้าแบบนี้ ฉันควรจะนึกถึงเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้ เป็นฉันเองที่ทำร้ายต้าเฮย ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน! บัดซบ! ทุเรศ! ทุเรศที่สุด!”
หลิงฉุนบ่นงึมงำ ร้องตะโกนอาละวาดอยู่ในใจ สีหน้ายิ่งเผยความเจ็บปวดมากขึ้น แล้วกอดศีรษะซุกหัวเข่าลงไป ร่างกายพลันสั่นเทาขึ้นมา
เสียงร้องโหยหวนของสือเสี่ยวไป๋ยังก้องไม่หยุด ผิวหนังของเขาถูกย้อมไปด้วยสีแดงแห่งเปลวไฟอันสุกร้อน มีควันสีขาวค่อยๆ ลอยขึ้นมารอบด้าน ร่างกายของเขาราวกับจะลุกไหม้เป็นเปลวไฟที่ไร้ความปราณีได้ทุกเมื่อทุกเวลา
แต่ซีซือกลับยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเพลิดเพลินกับการรับชม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขนาดเด็กใหม่ที่โหดเหี้ยมไร้ความปราณีที่สุด เมื่อได้เห็นฉากนี้แล้วก็ยังเกิดความเมตตาสงสารขึ้นในใจ เจ้าบื้อที่ชื่อถู่ต้าเฮยคนนี้ชีวิตช่างรันทดนัก ต้องมาเจอกับคนบ้าโรคจิตภายใต้คราบฮีโร่อย่างซีซือคนนี้ เรียกง่ายๆ ก็คือซวยไปเจ็ดชั่วโค-ต-ร เขาในตอนนี้มีความหวังที่จะรอดเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือโอกาสสำเร็จเตี่ยมัน สิ่งนั้นมีไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
การร่ายเพลิงโลกันต์ต้องห้ามนั้น หากไม่นิพพานเกิดใหม่ ก็ตายแบบไม่เหลือซาก ซึ่งตัวเลือกทั้งหมดนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปณิธาน แต่กลับขึ้นอยู่กับสิ่งๆ เดียว นั่นก็คือ ดวง!
เวลาค่อยๆ ไหลไป เสียงร้องโหยหวนของสือเสี่ยวไป๋ก็ค่อยๆ แหบเบาลง ทว่าร่างกายกลับนิ่งคล้ายถูกตรึงเอาไว้ ท่าทางพร้อมที่จะล้มพลิกคว่ำลงดินได้ตลอดเวลา แต่กลับอยู่ในท่ายืนตัวตรงแหงนหน้ากรีดร้องประดุจต้นกล้าปักตรง ที่กำลังอดทนกับการเผาไหม้แห่งเพลิงไฟ
การทรมานเช่นนี้จะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าไร?
“เปรี๊ยะ!”
ทันใดนั้นเสียงปริแตกใสกังวานก็ดังมาออกมาจากร่างของสือเสี่ยวไป๋ โล่ชำรุดมีแสงสีขาวที่เกือบจะโปร่งใสคล้ายดอกบัวเบ่งบานออกมาจากด้านหน้าร่างกายของเขา แสงสีแดงบนผิวของเขาก็เก็บกลับไปเพียงในเวลาชั่วครู่ อุณหภูมิร้อนรอบด้านก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นลง ไอน้ำจางๆ ลอยหายวับไปในพริบตา
บรรดาเด็กใหม่บนที่นั่งต่างพากันแตกตื่นไปหมด
“เห้ยยย สำเร็จแล้ว?”
“ในที่สุดก็รอดจากเพลิงโลกันต์ต้องห้าม ดวงของเจ้าก้อนดินนี่...เหนือลิขิตจริงๆ!”
“นี่ก็หมายความว่าอย่างน้อยเขาก็เปิดทางพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ชิชะ คนโง่ก็โชคดีอยู่น่ะนี่!”
“พวกนายพอได้แล้ว เขาเกือบจะตายอยู่แล้ว พวกนายพูดจามีศีลธรรมกันหน่อยไม่ได้หรือไง?”
“นั่นคือชีพจรเซียนที่เดิมพันด้วยชีวิต จะยอมรับไม่ได้เลยเหรอห๊ะ!”
“นี่...เรื่องนี้สรุปว่าเจ้าก้อนดินควรจะโกรธ หรือว่าควรจะขอบคุณอาจารย์ซีซือดีล่ะ?”
“...”
เสียงกระซิบวิพากวิจารณ์ต่างๆ นานาพลันดังขึ้นเซ็งแซ่ทั่วห้องเรียน พวกเขาได้พบเห็นเพลิงโลกันต์ต้องห้ามที่ยากจะได้เห็นฉากนั้นแล้ว แต่ที่ยากจะเป็นไปได้ก็คือ เจ้าก้อนดินที่อ่อนปวกเปียกคนนี้กลับเป็นผู้ที่ทำสำเร็จ!
สือเสี่ยวไป๋ยังคงหอบหายใจอย่างรุนแรงไม่หยุด เหงื่อไหลเปียกโชกไปทั่วทั้งตัว เปลือกตาของเขาแทบจะลืมไม่ขึ้น ร่างกายอ่อนแรงราวกับเพียงนิ้วผลักก็จะล้มตึงลงไปได้ ทว่าไม่รู้ทำไมเขายังคงยืนตัวตรงเช่นนั้นได้
การได้รับการทรมานอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ในช่วงนาทีที่หลุดพ้นเขาควรคิดอยากล้มฟุบตัวลงไปนอนที่พื้น ด้วยความวิงเวียนศีรษะหน้ามืดจนจะเป็นลมไปแล้วหรือเปล่า?
แต่ทำไมเขายังคงยืนอยู่ล่ะ?
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!”
น้ำเสียงที่กล่าวออกมาราวกับบ้าคลั่งของซีซือได้เฉลยเรื่องน่าลี้ลับทั้งหมดเหล่านี้
บรรดาฝูงชนต่างปิดปากเงียบอย่างลืมตัว ในใจอัดแน่นด้วยความหวาดกลัว สาเหตุที่สือเสี่ยวไป๋ล้มลงมานอนไม่ได้ก็เป็นเพราะซีซือไม่อยากให้เขาล้มลงมา
ซีซือบังคับให้เขายืนอยู่ เขาเพียงดึงร่างกายที่หมดเรี่ยวแรงนั้นให้ยืนตั้งอยู่อย่างเงียบๆ
“พอเหอะ พอสักที พอได้แล้ว!” หลิงฉุนที่นั่งอยู่กำลังคำรามอย่างโกรธเคืองอยู่ในใจ สายตาที่จ้องไปยังซีซือเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
พอแล้วเหรอ?
สำหรับซีซือแล้วเห็นได้ชัดว่ามันยังไม่พอ เพราะสิ่งที่เขาทำกับสือเสี่ยวไป๋ทั้งหมด ก็เพื่อทำให้เกมที่เขาออกแบบไว้สามารถดำเนินต่อได้อย่างราบรื่น และเกมของเขาก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นด้วย
“ในเมื่อต้าเฮยเรียนรู้วิชาโล่พิทักษ์วิญญาณได้แล้ว เช่นนั้นเรามาเริ่มเกมกันเถอะ!”
ซีซือพูดถึงจุดประสงค์แรกเริ่มของเรื่องทั้งหมดออกมาอย่างไร้ความปราณี ผู้คนทอดสายตามองมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ถู่ต้าเฮยเอ้ย สรุปแล้วควรจะพูดว่านายดวงดีมากที่สามารถเปิดทางพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ หรือจะพูดว่าดวงนายมันซวยมากที่ได้มาพบเจอไอ้โรคจิตอย่างซีซือคนนี้?
“สำหรับเรื่องกติกาของเกม ทุกคนจะต้องโจมตีโล่พิทักษ์วิญญาณของถู่ต้าเฮย ทั้งต้องโจมตีให้โล่พิทักษ์ของเขาแตกสลายเท่านั้นถึงจะถือว่าผ่าน หากว่าไม่สามารถทำได้ ก็จะถูกคัดออกจาก [ไกอา] ไปเลย!”
มุมปากที่ยกขึ้นของซีซือเผยรอยยิ้มอันชั่วร้าย “เช่นนั้น เริ่มเกมได้ ฉันอดใจรอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!”
บรรดาเด็กใหม่ต่างพากันอึ้งค้างไปชั่วขณะ สิ่งนี้แม่งมันนับว่าเป็นเกมอะไร?
ได้ยินว่าเจ้าก้อนดินคนนี้เพิ่งจะได้ขั้นปฐมจิตชั้นหนึ่งเอง อีกอย่างก็เพิ่งจะเริ่มเรียนรู้วิธีใช้พลังจิต โล่พิทักษ์วิญญาณที่ถืออยู่ไม่เพียงชำรุดทรุดโทรม แต่ยังเปราะบางจนไม่รู้จะเปรียบยังไง ต่อให้ระดับฝีมือของพวกเขาจะไม่เท่าไรก็ต้องโจมตีได้อยู่แล้วล่ะ?
แต่สิ่งสำคัญก็คือ หากโจมตีให้แตกสลายไม่ได้ก็ต้องถูกคัดออก พวกเขาจะต้องทุ่มพลังสุดตัวมาโจมตีนะสิ!
ความกดดันนี้เป็นหนึ่งฉากของ “การทารุณ” อย่างไร้การไตร่ตรองถึงคนอื่น ไม่ถูกสิ จำนวนเด็กใหม่ในห้องที่ตัดถู่ต้าเฮยออกก็คือเจ็ดสิบสองคน นี่มันคือการรุมทารุณกรรมจากคนจำนวนเจ็ดสิบสองคน!
เพิ่งจะได้รับการทรมานร่างกายปางตายเมื่อครู่ กลับต้องเตรียมแพ้อย่างย่อยยับป่นปี้ให้กับการโจมตีของคนเจ็ดสิบสองคนอีกทันที เกมแบบนี้มันเลยจุด“สนุก”ไปไกลเกินขั้วแล้ว
“อาจารย์ซีซือ ที่จริงแล้วนายมันเป็นปีศาจใช่ไหม?”
นี่เป็นความคิดที่กล้าแกร่งที่สุดในใจของบรรดาผู้คน
[1] ดึงกล้าให้โต เป็นสุภาษิตจีน ใช้เปรียบเทียบกับการพยายามฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือการรีบร้อนเร่งให้งานใดๆ สำเร็จ โดยใช้วิธีที่ผิด จนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา