DC บทที่ 45: ร่างร้อยพิษมิกราย
ซีซิงฟางมองดูการจับมือของตนเองด้วยความรู้สึกงุนงง เธอไม่รู้ว่าทำไมตนเองจึงสมัครใจทึ่จะยื่นมือออกไปขอจับมือ เหมือนกับว่าร่างของเธอขยับไปเองโดยไม่ได้คิด
“เป็นครั้งแรกที่ข้าสัมผัสผิวของชายที่ไม่ใช่คนในตระกูล...” เธอคิดในใจขณะที่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือของซูหยางที่จับมือเธออยู่อย่างสุภาพ
บางทีอาจเป็นเพราะเสน่ห์และรูปกายของซูหยาง แต่ซีซิงฟางไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงยื่นมือไปหาเขา แม้กระทั่งผู้อาวุโสจงยังประหลาดใจที่เห็นท่านหญิงน้อยที่มีนิสัยปลีกตัวห่างจากคนอื่นเต็มใจเสนอผิวกายเธอให้ผู้อื่นได้สัมผัส
“อืมมม…มือข้า...” ซูหยางพูดหลังจากนั้นสักพักเมื่อซีซิงฟางไม่ได้ปล่อยมือ
“อา ข้าช่างไร้มารยาท ข้าขออภัยที่ทำเช่นนี้..” ซีซิงฟางรีบดึงมือเธอกลับด้วยใบหน้าแดง เมื่อเธอพบว่าเธอจับมือเขาได้สักพักหนึ่งแล้ว
การกระทำของเธอเป็นเหตุให้ผู้อาวุโสจงเบิกตากว้างจากความตกใจ นี่โลกกลับตาลปัตรไปแล้วรึ มารยาทอันสง่างามของเธออยู่ที่ไหน ราวกับมันหายไปทันทีที่เธอเห็นซูหยาง
“อะแฮ่ม” ซีซิงฟางกระแอมไอ
“พี่ชายเซียว ท่านคงมิรังเกียจหากข้าจะถามว่าท่านมาจากไหน” เธอพลันถาม
โดยไม่สนใจวิธีที่เธอเรียกเขาอย่างสนิทสนม ซูหยางชูแขนขึ้นไปอย่างสบายเพื่อแสดงให้เห็นลายปักดอกตูมบนแขนเสื้อ
“ข้ามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เขากล่าว
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย...” ซีซิงฟางแสดงท่าทางสับสนภายใต้ผ้าคลุมหน้า เธอไม่เคยได้ยินสถานที่เช่นนี้มาก่อน
กระทั่งผู้อาวุโสจงยังแสดงสีหน้าสงสัย แม้เขาเองก็ยังไม่เคยได้ยินสถานที่เช่นนี้ อย่างไรก็ตามในเมื่อพวกเขามีจอมกระบี่ที่ลึกล้ำเช่นนี้ภายในกลุ่ม เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินชื่อพวกเขามาก่อน
“พวกเรามิได้มาจากพื้นที่นี้ ดังนั้นข้าจึงมิรู้จักสถานที่เช่นนั้น...ช่างน่าเสียดาย...” ซีซิงฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจ “อย่างไรก็ตามพวกเขามีคนที่เก่งกาจเช่นท่าน นั่นคงเป็นสถานที่พิเศษแน่นอน”
ซูหยางยิ้มและส่ายหน้า “มันมิได้น่าประทับใจดังที่เจ้าคิด จริงแล้ว ถ้าข้าสามารถจากไปได้ ข้าก็คงมิอยู่ต่อ”
ผู้อาวุโสจงดวงตาลุกโชนสว่างไสวเมื่อเขาได้ยินคำกล่าวของซูหยาง เขากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นมาเข้าร่วมกับนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่อัจฉริยะจอมกระบี่เช่นท่านเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเรา ข้ามั่นใจว่าบรรดาศิษย์ที่นั่นต้องยินดีที่มีผู้เชี่ยวชาญคนใหม่มาสอนพวกเขาเกี่ยวกับสำนึกกระบี่”
“ข้าซาบซึ้งกับข้อเสนอ แต่นั่นยังมีบางสิ่งที่ข้าต้องทำที่นั่น ถ้าข้าเสร็จธุระที่นั่น บางทีข้าจะเดินทางไปยังนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์” ซูหยางปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างสุภาพโดยมิได้ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยโดยสิ้นเชิง
ผู้อาวุโสจงค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อพบว่ามีบางคนปฏิเสธนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว นี่ถือเป็นครั้งแรกแม้กระทั่งสำหรับเขาเลยทีเดียว หรือว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยล้ำลึกสมชื่อ
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้หมดกำลังใจเสียทีเดียวเพราะซูหยางไม่ได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงกับข้อเสนอของเขา กระทั่งยังบอกว่าเขาอาจจะเข้าร่วมในอนาคต
“เช่นนั้นจนท่านเสร็จธุระที่นั่น พวกเราจักตั้งตารอ ขอให้รู้ว่านิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จักเปิดประตูต้อนรับเสมอสำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านกระบี่” เขากล่าวต่อจากนั้น
“พี่ชายเซียวท่านดูอายุยังน้อย กระทั่งดูเหมือนยังอายุน้อยกว่าข้า… แท้จริงแล้วท่านอายุเท่าไร” แม้ว่าจะซุกซ่อนพ้นจากสายตาผู้อื่น แต่ดวงตาของซีซิงฟางก็เปล่งประกายความคาดหวัง
ซูหยางเพียงยิ้มกับคำถามของเธอแต่ไม่ได้ตอบกลับไปแต่อย่างใด พวกเขาดูเหมือนจะสนใจในอายุของเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่ต้องการเปิดเผยในขณะนั้นด้วยอาจจะทำให้พวกเขาตกใจจนเกินไป ท้ายสุดเด็กอายุสิบหกปีประเภทไหนที่สามารถใช้สำนึกกระบี่ซึ่งยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญเขตอัมพรวิญญาณขณะตั้งใจใช้กระบี่ ซึ่งกระทั่งอัจฉริยะก็ยังไม่น่าเป็นไปได้ที่จะทำได้สำเร็จ
เมื่อเห็นว่าซูหยางไม่ต้องการเปิดเผยอายุตนเอง ซีซิงฟางได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ข้างใน
“แล้วท่านล่ะพี่ชายเซียว แน่นอนว่าท่านคงมีคำถามมากมายที่อยากถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอเหตุการณ์ร้ายเช่นนั้น” ซีซิงฟางตัดสินใจทำราวกับว่าคำถามก่อนหน้าของเธอนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ด้วยเธอไม่ต้องการให้บรรยากาศกลายเป็นอึดอัด
ผู้อาวุโสจงรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่หยาบคายอย่างยิ่งที่ซูหยางปฏิเสธคำถามของเธอ มันจะถือว่าเป็นการดูหมิ่นถ้าเขารู้เบื้องหลังของเธอ แต่เมื่อเห็นซีซิงฟางตัดสินใจปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป เขาจึงตัดสินใจที่จะให้มันผ่านไปเช่นกัน
“นั่นมีบางสิ่งในใจข้าหลังจากเหตุการณ์เล็กน้อยนั้น...” ซูหยางมองตรงไปเฉพาะร่างเปี่ยมเสน่ห์ของซีซิงฟางและพูดต่อไปว่า “ร่างสวรรค์ของเจ้า ร่างร้อยพิษมิกราย..”
"?!?!"
ก่อนที่ซูหยางจะพูดจบประโยค ผู้อาวุโสจงเบิกตากว้างอย่างตื่นภัย เขาแผ่กลิ่นอายรังสีสังหารพร้อมกางมือรูปกรงเล็บพุ่งตรงไปยังคอของซูหยางเหมือนอินทรีย์พุ่งเข้าตะปบเหยื่อ
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะสัมผัสซูหยาง ซีซิงฟางตะโกนก้องดุจฟ้าร้อง “หยุด”
การเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสจงพลันหยุดชะงัก มือตะขอของเขาห่างเพียงไม่กี่มิลลิเมตรจากคอขาวผ่องของซูหยาง ผู้ซึ่งไม่ได้สะดุ้งสะเทือนแม้สักนิดจากการโจมตีกระทันหัน
“...” ซูหยางนั่งเงียบเฉย ใบหน้าสงบนิ่งดังปกติ ดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้กังวลสนใจในสถานการณ์แม้แต่น้อย
เขาพลันหลับตาลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ร่างสวรรค์ของเจ้าอาจจะหายากในโลกนี้ ข้ามิได้สนใจสักนิดในร่างร้อยพิษมิกรายระดับกษัตริย์ของเจ้า แม้ว่ามันจะทำให้ผู้คนต้านพิษทั้งมวล ช่างโชคร้าย ความสามารถของมันจำกัดอยู่เพียงพิษระดับคนทั่วไป มันใช้ประโยชน์ไม่ได้เมื่อเจอพิษระดับวิญญาณ”
คำพูดซูหยางสร้างความสับสนทั้งผู้อาวุโสจง ผู้ที่ยังเตรียมการโจมตีต่อและซีซิงฟางผู้ที่เชี่ยวชาญด้านพิษ