ตอนที่แล้วบทที่ 29 การกลายร่างที่แปลกประหลาด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31 ฟื้นขึ้นมา

บทที่ 30 ช่วยให้หลุดพ้นหรือว่าทอดทิ้งดี


 

บทที่ 30 ช่วยให้หลุดพ้นหรือว่าทอดทิ้งดี

 

เพื่อความปลอดภัย หลิงม่อจึงให้เย่เลี่ยนอยู่ข้างในห้องคอยดูแลซย่าน่า แบบนี้ถึงแม้ว่าซย่าน่าจะกลายร่าง เขาก็สามารถควบคุมเธอได้ทันทีผ่านทางเย่เลี่ยน ในทางกลับกัน ถ้าเขาเฝ้าเธออยู่ข้างใน เขาจะต้องอยู่ในสภาพตึงเครียดตลอดเวลา มันเหนื่อยเกินไป ในฐานะที่เป็นซอมบี้ เย่เลี่ยนจึงมีความรู้สึกไวต่อพวกเดียวกันเองมากกว่า เมื่อซย่าน่าฟื้นขึ้นมา เย่เลี่ยนก็จะสังเกตเห็นได้ทันที ไม่จำเป็นต้องคอยจับตามองเหมือนกับหลิงม่อ

 

ทันทีที่เขาเดินออกจากห้อง หลิวอวี่หาวก็เอ่ยถามด้วยความร้อนใจว่า “พี่หลิง ซย่าน่าเป็นยังไงบ้างครับ”

 

“ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด” สภาพของซย่าน่าดูประหลาดมาก หลิงม่อเองก็ไม่เข้าใจ จึงจำต้องตอบอย่างคลุมเครือไป

 

เมื่อเห็นหลิวอวี่หาวมีสีหน้ากระวนกระวายใจ จู่ๆ หลิงม่อก็คิดขึ้นมาได้และถามว่า “ถ้าหากซย่าน่ากลายร่าง นายจะทำยังไง”

 

“หา?” หลิวอวี่หาวอึ้งไปทันที แต่ตลอดทางที่มาที่นี่ ที่จริงแล้วในสมองเขาก็คิดแต่เรื่องนี้ ถ้าซย่าน่าเกิดกลายร่าง เขาจะฆ่าเธอช่วยให้เธอหลุดพ้นหรือว่าจะทิ้งเธอเหมือนที่ทำกับลู่ซินดี แต่พอหลิงม่อเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา หลิวอวี่หาวก็ค้นพบความเจ็บปวดรวดร้าวว่าเขายังคงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี!

 

“ช่างเถอะ เลิกคิดได้แล้ว รอให้เธอฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยว่ากัน” หลิงม่อเห็นหลิวอวี่หาวมีสีหน้าสับสนและค่อนข้างเหม่อลอย เขาก็อดแอบถอนหายใจไม่ได้ แล้วยื่นมือไปตบบ่าอวี่หาวเบาๆ ทว่าตอนที่เดินเฉียดไหล่กัน หลิงม่อก็พูดเสริมเสียงเรียบว่า “ถ้าเป็นฉัน แม้ว่าหญิงสาวที่ตนเองชอบจะกลายเป็นซอมบี้ ฉันก็จะไม่ทอดทิ้งเธอ”

 

หลิวอวี่หาวสั่นเทิ้มไปทั้งตัวทันที! แม้ว่าจะกลายเป็นซอมบี้ ก็จะไม่ทอดทิ้ง...

 

แม้ว่าจะแค่พูดขึ้นมาลอยๆ แต่หลิวอวี่หาวกลับยืนตะลึงงันอยู่กับที่อยู่พักใหญ่ ในสมองของเขา นอกจากฆ่าซย่าน่าแล้ว ก็เหลือแต่ความคิดที่จะทอดทิ้งเธอ เขาไม่เคยคิดที่จะทุ่มเทพยายามเพื่อเธอเลย...ใช่แล้ว ตามความรู้ความเข้าใจของเขา เมื่อกลายเป็นซอมบี้ไปแล้วก็หมดหนทางที่จะช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นมนุษยชาติคงไม่ถูกทำลายตอนที่เกิดหายนะขึ้นหรอก

 

แต่ไม่มีความหวังก็เป็นเรื่องหนึ่ง การที่เขาไม่มีความคิดที่จะทุ่มเทพยายามเพื่อเธอเลยแม้แต่น้อย นี่ต่างหากเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดสำหรับหลิวอวี่หาว

 

ทันใดนั้นหลิวอวี่หาวอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองแรงๆ สองที แต่ทั้งๆ ที่ใบหน้าเจ็บ ความรู้สึกที่หนักอึ้งของเขากลับไม่ได้บรรเทาเบาบางลงเลย...

เวลานี้หลิงม่อได้เดินไปที่ระเบียงและมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นแต่ไกลว่ามีซอมบี้จำนวนไม่น้อยเดินเตร่อยู่ในรั้วโรงเรียนซานจง พวกมันคงจะถูกซากศพสดใหม่พวกนั้นล่อไป ภายในย่านชุมชนก็มีซอมบี้เหมือนกัน แต่จำนวนน้อยมาก แม้ว่าเท่าที่เห็นนั้นจะมีซอมบี้อยู่ไม่มาก แต่หลิงม่อมั่นใจว่า ขอเพียงที่นี่เกิดความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย จะต้องมีซอมบี้อย่างน้อยเป็นร้อยๆ ตัวหลั่งไหลออกมาแน่นอน

 

แค่เฉพาะภายในอพาร์ตเม้นต์หลังนี้ ก็ไม่รู้ว่ามีซอมบี้กี่ตัวแล้ว บางทีอาจจะมีซอมบี้กลายพันธุ์ด้วยก็เป็นได้ สมกับอยู่ในรังซอมบี้เสียจริงๆ

 

หลิงม่อคลำก้อนเหนียวหนืดในอกเสื้อ แล้วก็ต้องข่มความปรารถนาที่อยากจะเกิดวิวัฒนาการเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้สภาพของซย่าน่าไม่ชัดเจน เขาและเย่เลี่ยนจะต้องตื่นตัวตลอดเวลาและสงวนรักษาพละกำลังเอาไว้ ถ้าพวกเขาเกิดเป็นลมไปตอนนี้ ใครจะรู้เล่าว่าในช่วงเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

แต่ซย่าน่าแสดงความปรารถนาที่มีต่อก้อนเหนียวหนืดอย่างแรงกล้าเหลือเกิน เรื่องนี้ทำให้หลิงม่องุนงงเป็นอย่างมาก เห็นๆ อยู่ว่าเธอยังมีสติดีอยู่ แล้วก็ไม่ได้กลายเป็นซอมบี้ ดูเหมือนว่าอยู่ในระหว่างการกลายร่างมากกว่า แต่ทำไมเธอถึงได้สนใจก้อนเหนียวหนืดนักล่ะ ขอบอกว่าในฐานะคนปกติธรรมดา หลิงม่อแค่ดมกลิ่นนิดเดียว เขาก็แทบจะลมจับแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกินเจ้าก้อนนี้ลงไปในท้องเลย

 

แม้แต่ซอมบี้กลายพันธุ์ที่ผ่านการวิวัฒนาการมาแล้วอย่างเย่เลี่ยน เธอยังไม่กลืนกินก้อนเหนียวหนืดสองก้อนติดๆ กันเลย ขนาดกลืนไปแค่ก้อนเดียวยังใช้เวลาย่อยตั้งนาน ถึงจะเกิดความปรารถนาอีกครั้ง แน่นอนว่าความต้องการก้อนเหนียวหนืดของเย่เลี่ยนจะค่อยๆ ย่นระยะเวลาลงตามการเติบโตของกำลังความสามารถ แต่เมื่อเทียบกับการกินสองก้อนติดต่อกันภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงของซย่าน่าแล้ว ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่มากโขทีเดียว

 

ตกลงแล้วร่างกายของซย่าน่ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรที่คนอื่นไม่รู้กันนะ แม้ว่าตัวเขาจะอยู่ที่ห้องรับแขก แต่ก็สามารถสังเกตดูสภาพของซย่าน่าในเวลานี้ได้ผ่านทางมุมมองของเย่เลี่ยน ทว่าซย่าน่าก็ยังคงดูเหมือนหลับสนิทและไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใดเหมือนกับตอนที่เขาออกจากห้องมา

 

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หลิงม่อรู้สึกหดหู่จริงๆ เขารู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน

 

เมื่อเห็นหลิงม่อและหลิวอวี่หาวต่างอยู่ในภวังค์ความคิดแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หวังเฉิงที่อยู่ข้างๆ เรียกได้ว่าหงุดหงิดงุ่นง่านทีเดียว เขาเองก็กระสับกระส่ายไม่สบายใจ แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องซย่าน่า แต่เป็นเรื่องอนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้ของตัวเอง

 

ตอนนี้หวังเฉิงอยากจะตบหูตัวเองสักสองสามฉาดเสียจริงๆ ถึงแม้เรื่องราวจะเป็นไปตามที่เขาคาดเดาไว้จริงๆ แถมท้ายที่สุดยังเหลือเขาอยู่เพียงคนเดียว แต่เจ้าลู่ซินคนน่ารังเกียจนั่นกลับทำให้เขาสูญเสียที่พึ่งพาที่สำคัญที่สุดไป!

 

เอาใจหลิงม่อ? จากลักษณะท่าทีที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อยของหลิงม่อแล้ว ดูออกได้ไม่ยากว่าการจะขอข้าวเขากินนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

 

ตอนนี้หวังเฉิงที่จิตใจสับสนไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมใดๆ เขารู้ดีว่าด้วยความสามารถของตัวเอง คงได้แต่เดินไปพลางกวาดตามองไปพลาง...แต่ตอนนี้ทางที่ดีอย่าไปยั่วโมโหหลิงม่อเลยจะดีกว่า

 

หลังจากตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว หวังเฉิงก็เริ่มลงมือเก็บกวาดห้องด้วยตัวเอง แม้ว่าในห้องนี้จะไม่มีซอมบี้และไม่มีซากศพ แต่ก็มีคราบเลือดอยู่ไม่น้อย ถึงจะไม่สามารถปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดได้ แต่ยังพอที่จะทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้นมาหน่อยได้

 

และแล้วหวังเฉิงก็ไม่ได้เหนื่อยเสียแรงเปล่า เมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า หลิงม่อก็โยนคุกกี้หนึ่งห่อกับน้ำเปล่าหนึ่งขวดให้เขา

 

พวกนี้มีประโยชน์กว่าขนมกรุบกรอบทั่วไปเยอะเลย! หลังจากรับมาแล้ว หวังเฉิงก็แสดงสีหน้าดีใจระคนประหลาดใจออกมาทันที แต่หลังจากนั้นเขาก็มองลึกเข้าไปในตัวหลิงม่อ มิน่าล่ะหลิงม่อถึงไม่สนใจอาหารที่หลิวอวี่หาวให้เลยแม้แต่น้อย ที่แท้เขาก็มีอาหารสำรองนี่เอง ดูจากขนาดและความแน่นของกระเป๋าเป้ใบนั้นแล้ว จะต้องมีอาหารพอกินอย่างน้อยเป็นสัปดาห์...

 

ในช่วงวันสิ้นโลกกำลังความสามารถมาเป็นอันดับแรกจริงๆ ด้วย คนทั่วไปจะไปหาอาหารมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน แถมยังไม่ใช่อาหารที่เหลือจากการเลือกของคนอื่นด้วย...

 

เดิมทีหลิวอวี่หาวอยากจะปฏิเสธโดยอ้างว่าไม่อยากอาหาร แต่หลิงม่อกลับกวาดตามองเขาอย่างค่อนข้างดูแคลนและพูดว่า “คืนนี้พวกเราจะต้องผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม นายไม่กินไม่นอน แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นตอนที่นายเฝ้าเวรอยู่ นายจะทำยังไง”

 

“เอ่อ...” หลิวอวี่หาวพูดไม่ออกทันที หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ เขาก็ฉวยอาหารมาจากมือหลิงม่อ “ขอโทษด้วยครับ ผมจะกิน”

 

เขาเคี้ยวอาหารอย่างละเอียดและกินช้ามาก ลักษณะท่าทางเหมือนกับหวังเฉิงเปี๊ยบ ซึ่งที่จริงแล้วตอนที่ยังควบคุมหุ่นซอมบี้ได้ไม่ชำนาญ หลิงม่อเองก็กินอาหารแบบนี้เช่นกัน

 

การกินอย่างช้าๆ ถึงจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้มากที่สุดด้วยอาหารปริมาณน้อย

 

“จริงสิ พี่เย่เลี่ยนไม่กินเหรอครับ” แม้ว่าหลิวอวี่หาวจะรู้สึกอึดอัดใจ แต่เขาก็ไม่ลืมบทบาทพี่เลี้ยงผู้มีความสามารถรอบด้าน เขาเพิ่งกินไปได้สองสามคำ ก็หันไปถามหลิงม่อ

 

สิ่งที่เย่เลี่ยนอยากกิน นอกจากก้อนเหนียวหนืดแล้ว ก็เห็นจะมีเลือดและเนื้อหนังของพวกนายนี่แหละ...หลิงม่อเบะปาก แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องนอนห้องนั้น “ฉันจะเอาอาหารไปให้เย่เลี่ยนเอง จะได้ถือโอกาสดูซย่าน่าด้วย”

 

.............................................................................................................................................

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด