DC บทที่ 44: ร่างสวรรค์
ภายในรถม้าผู้อาวุโสจงนั่งอยู่เบื้องหน้าร่างหญิงคนหนึ่ง ใบหน้าเธอปิดด้วยผ้าคลุมหน้า
“ดาบแสงจันทร์ช่างเป็นปัญหามิจบสิ้นจริงๆ...” ร่างในผ้าคลุมหน้าถอนหายใจ
เสียงถอนหายใจเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก จนผู้อาวุโสจงสามารถรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยใจของเธอ
“ท่านหญิงน้อยมิต้องกังวล เราจักต้องค้นพบที่ซ่อนเร็วๆนี้และล้างบางมันออกไปจากโลก” ผู้อาวุโสจงกล่าว
เสียงของเขาชัดเจนเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแต่สายตาเขากลับมืดหม่น ดาบแสงจันทร์สามารถเรียกได้ว่าเป็นองค์กรที่ลึกลับและอันตรายที่สุดเท่าที่ปรากฏอยู่บนโลก พวกเขายังซุกซ่อนตัวอย่างดีแม้กระทั่งปฏิบัติการค้นหาเต็มรูปอีกสักร้อยปีก็ยังไม่มีใครที่จะหาสำนักใหญ่ของพวกเขาพบ พบได้แต่เพียงสาขาย่อย
“ข้ามั่นใจว่าท่านทำได้...” คำกล่าวของหญิงสาวในผ้าคลุมหน้า เธอยังกล่าวต่อ “ขอบคุณผู้อาวุโสจง”
“ข้ามิได้ทำอะไรที่สมควรได้รับคำชมจากท่าน...” เขาส่ายศีรษะปฏิเสธคำขอบคุณ
“แต่ท่านเพิ่งปกป้องข้าเมื่อตะกี้”
ผู้อาวุโสจงหัวเราะหึๆเล็กน้อยและกล่าวว่า “เป็นปกติที่ข้าต้องปกป้องท่านหญิงน้อย แต่ว่าข้ายังมิได้ทำอะไรเลยจนถึงตอนนี้ ผู้ที่จัดการกับนักฆ่าเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง”
“ชายหนุ่มรึ”
หญิงสาวฟังดูน่าทึ่ง ผู้อาวุโสจงเริ่มเล่าให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
“นักฆ่ามาที่นี่เพื่อส่งข่าวและรู้ตัวว่าสุดท้ายตนเองต้องตาย และเจ้านั่นมีเจตนาที่จะสร้างความเสียหายให้กับเรา แต่ในวินาทีสุดท้ายเจ้านั่นตัดสินใจซุ่มโจมตีชายหนุ่มคนนี้แทน”
“เหตุใดเขาจึงถูกโจมตี เขาสบายดีอยู่ไหม”
เมื่อผู้อาวุโสจงสิ่งที่นักฆ่ากล่าว เขาได้แต่ยิ้มฝืดฝืนอย่างอดไม่ได้ “เพราะว่าใบหน้าเขาน่ารำคาญ...”
หญิงสาวปิดปากเพราะความประหลาดใจหลังจากได้ยินคำพูดของเขา ผู้ชมถูกโจมตีแค่เหตุผลที่เขามีใบหน้าที่น่ารำคาญ นี่เป็นเรื่องราวแบบไหนกัน
“ส่วนที่ว่าเขายังดีอยู่ไหมนั้น… มิเพียงแต่เขาหลบหลีกโดยปราศจากอันตราย แต่เขายังพลิกสถานการณ์และฆ่านักฆ่าด้วยสำนึกกระบี่”
“สำนึกกระบี่รึ สำนึกกระบี่ที่น่าหวาดหวั่นที่ข้ารู้สึกได้เมื่อกี้มิได้มาจากผู้อาวุโสจงหรอกรึ” เธอถามด้วยน้ำเสียงงุนงง
ผู้อาวุโสจงส่ายศีรษะด้วยความเสียใจและกล่าวว่า “ข้ามิสามารถปลดปล่อยสำนึกกระบี่อันทรงพลังเช่นนั้นได้ ต่อให้พยายามสักกี่ครั้ง”
หญิงสาวในขณะนี้ตกใจอย่างแท้จริง เธอรู้จักความสามารถของผู้อาวุโสจงเป็นอย่างดี และความสามารถของเขาถือได้ว่าเป็นสุดยอดนักกระบี่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญกระบี่ แต่ที่ถึงกับทำให้เขาพูดด้วยน้ำเสียงท้อแท้ต่ำต้อยเมื่อพูดถึงตนเองนั้น เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“ชายหนุ่มคนนี้ เขาเป็นใคร”
“ข้ามิรู้จักเบื้องหลังของเขา นอกจากชื่อ เซียวหยาง แม้ว่าเขาจะดูเหมือนเด็กวัยรุ่น แต่การกระทำของเขากลับไม่ใช่ ถ้าให้ข้าเดา เขาคงเป็นปรมาจารย์กระบี่ปลอมตัวมา”
“เซียวหยาง...เขายังอยู่ที่นี่หรือไม่ ทำไมท่านไม่เชิญเขาเข้ามาคุยข้างใน”
คำกล่าวของหญิงสาวสร้างความแปลกใจให้กับผู้อาวุโสจง “แต่เรามิรู้จักเบื้องหลังของเขา แม้ว่าข้ามิรู้สึกถึงภัยคุกคามจากเขา ข้ามิคิดว่ามันจะเป็นความคิดที่ดีที่จะให้เขาเข้าใกล้ท่านหญิงน้อย”
“ข้าสนใจในตัวนักกระบี่ที่กระทั่งผู้อาวุโสจงผู้เยี่ยมยอดไม่สามารถเปรียบได้คนนี้ และเมื่อเขาแข็งแกร่งมากจนสามารถฆ่าคนของดาบเสี้ยวจันทร์ได้ ข้าอยากให้เกิดความสัมพันธ์แม้เพียงสักเล็กน้อยระหว่างพวกเรา”
“...” หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ผู้อาวุโสจงพยักหน้าและออกไปจากรถม้า
–
–
–
ภายนอกรถม้าซูหยางยังคงพยายามนึกถึงชื่อ “ร่างร้อยพิษมิกราย” ที่นักฆ่ากล่าวถึง
“อา.. ข้าจำได้แล้ว มันคือร่างสวรรค์ระดับกษัตริย์ ผู้ใดที่มีร่างร้อยพิษมิกรายจะมีภูมิคุ้มกันพิษทุกอย่างในระดับของคนทั่วไป” สุดท้ายซูหยางก็สามารถนึกขึ้นได้ว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นเคย
ร่างสวรรค์คือร่างกายพิเศษที่ให้ความสามารถพิเศษเฉพาะกับคนผู้นั้นบางครั้งถึงขั้นท้าทายสวรรค์ ดังเช่นร่างร้อยพิษมิกรายที่ให้คนผู้นั้นมีภูมิคุ้มกันพิษทุกอย่างและยังสามารถฝึกฝนมันได้ด้วย
ผู้ที่มีร่างสวรรค์ล้วนถือว่าเป็นอัจฉริยะที่สวรรค์ประทาน และปกติจะฝึกฝนกันตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยทรัพยากรล้ำค่าและยามหัศจรรย์ทุกอย่าง
ร่างสวรรค์ก็เหมือนวิชาหรืออาวุธ จะมีแบ่งเป็นระดับตามความหายากและความสามารถ ยกตัวอย่างร่างร้อยพิษมิกรายจะถือเป็นระดับกษัตริย์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในบรรดาร่างสวรรค์ ซึ่งที่เหนือกว่าก็คือร่างพันพิษมิกรายซึ่งคือเป็นร่างสวรรค์ระดับจักรพรรดิ
“ร่างสวรรค์ระดับกษัตริย์ ฮึ..” ซูหยางหรี่ตามองไปที่รถม้า
พลันผู้อาวุโสจงก็ออกมาจากรถม้าตรงเข้ามาหาซูหยาง
“เจ้าหนุ่ม ท่านหญิงน้อยขอเชิญเจ้าเข้าไปในรถม้าเพื่อพูดคุยกันสักเล็กน้อย เธอต้องการขอบคุณเจ้าด้วยตัวเองสำหรับการจัดการกับนักฆ่า” ผู้อาวุโสจงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านั้น
ซูหยางมองไปที่ผู้อาวุโสจงที่ทำหน้าเครียดและมองไปที่รถม้าอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“ดีเหมือนกัน” เขาตอบรับคำเชิญ
เมื่อบรรดาผู้คุ้มกันสังเกตเห็นซูหยางเดินตามผู้อาวุโสจงเข้าไปในรถม้า พวกเขาต่างกรามอ้าค้างด้วยความตกใจ ผู้อาวุโสจงยอมให้คนแปลกหน้าเข้าไปในรถม้าได้อย่างไรในขณะที่ท่านหญิงน้อยยังอยู่ภายใน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาต้องการต่อว่าต่อขานและกันซูหยางออกแต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากเมื่อพวกเขานึกถึงอำนาจที่ซูหยางสำแดงออก ยิ่งไปกว่านั้นผู้อาวุโสจงก็ยังอยู่เคียงข้างเขา
เมื่อซูหยางเข้าไปในรถม้า เขาก็พบกับร่างงามที่สวมเสื้อคลุมสีแดงนั่งอยู่ด้านหนึ่งของรถม้า แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเห็นใบหน้าเธอ แต่ด้วยประสบการณ์ที่มากล้นของเขาบอกอย่างชัดเจนว่าเธอเป็นคนสวยมากคนหนึ่ง
ในทางกลับกันเมื่อหญิงสาวแรกพบใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง เธอประหลาดใจอย่างมากกับรูปร่างหน้าตาของเขา กระทั่งถึงขั้นหลงไหล
เมื่อผู้อาวุโสจงพูดเกี่ยวกับซูหยาง เขาไม่ได้พูดถึงซูหยางว่าเป็นคนหนุ่มที่หล่อเหลาอะไรเช่นนี้ ซึ่งทำให้หญิงสาวถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะเมื่อเธอเห็นเขาเพราะว่าเธอไม่คาดคิดว่าจะมีใครที่หล่อเหลาได้ขนาดนี้
ซูหยางนั่งอยู่ด้านตรงข้ามของรถม้าเคียงข้างผู้อาวุโสจง ด้วยใบหน้าเฉยเมยดูไม่สะทกสะท้าน
“ท่านคงเป็นนักกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ เซียวหยาง ข้านามสกุลซี ซีซิงฟาง ข้าได้ยินเรื่องท่านจากผู้อาวุโสจง และข้าต้องการขอบคุณท่านด้วยตนเองที่จัดการนักฆ่าจากดาบจันทร์เสี้ยวนั่น” หญิงสาวกล่าวขณะยื่นมือเรียวงามออกเพื่อจับมือต้อนรับ
ซูหยางหัวเราะในใจเมื่อเธอเรียกเขาว่านักกระบี่ “เจ้ามิต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าทำเช่นนั้นก็เพียงเพื่อปกป้องตัวข้า” เขากล่าวขณะจับมือเธอซึ่งทั้งนุ่มและนวลเนียน
"?!" ผู้อาวุโสจงแตกตื่นอยู่ในใจเมื่อเขาเห็นซีซิงฟางยื่นมือเธอออกไปเพื่อขอจับมือ ซึ่งเป็นอะไรที่นึกไม่ถึงสำหรับคนที่มีสถานะเช่นเธอ เขาต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่อนิจจาซูหยางเคลื่อนไหวได้รวดเร็วทำให้เขาสามารถจับมือเธอได้ก่อนที่ผู้อาวุโสจงจะทันได้เปิดปาก