DC บทที่ 43: ร่างเงา
หลังจากที่เดินไปอีกสองสามชั่วโมงโดยปราศจากอุปสรรค รถม้าทองพลันหยุดยั้งลง ผู้คุ้มกันหรี่ตามองร่างเงาที่อยู่ตรงหน้า กระทั่งชายชราเองยังลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
มองเห็นเหตุการณ์ที่แปรเปลี่ยนกลับกลาย ซูหยางก็พลันหยุดลงเช่นกัน ร่างเงาคลุมทั้งร่างด้วยผ้าคลุมสีดำมีเพียงลูกตาดำทั้งสองที่โผล่ให้เห็นดูคล้ายนักฆ่า อย่างไรก็ตามนักฆ่าย่อมไม่แสดงตัวตนให้เห็นเปิดเผยชัดเจนอย่างนี้
“นี่เป็นเรื่องตลกอันใดรึ” ชายชราเปิดปากถามร่างเงา “ดาบแสงจันทร์ส่งเจ้าที่เป็นเขตปฐพีวิญญาณมาคนเดียวโดยมิคำนึงถึงการคงอยู่ของข้า”
ร่างเงาหัวเราะหึและพูดด้วยเสียงแหบโหย “ข้ามาที่นี่เพียงส่งสารถึงหญิงสาวด้านในรถม้าตามพระประสงค์ขององค์ราชันย์”
“ถ้าเจ้ามิเชื่อฟังยอมมอบร่างร้อยพิษมิกรายในเวลาจันทร์เต็มดวงคราหน้า พวกข้ามิมีทางเลือกจักแย่งชิงโดยใช้กำลัง” ร่างเงาพูด
เมื่อบรรดาทหารบนหลังม้าได้ยินข้อมูล ต่างพากันตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น
“ช่างโฉดเขลานัก เจ้าลืมไปแล้วรึว่าพวกข้าเป็นใคร แม้ว่าดาบแสงจันทร์โจมตีพวกข้าอย่างเต็มกำลัง พวกเจ้ามิมีโอกาสแม้กระทั่งจะผ่านประตูหน้า” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งตะโกนก้อง
“เจ้ากล้าข่มขู่นายหญิงน้อยได้อย่างไร มันเพียงขึ้นกับเวลาก่อนที่พวกข้าจะค้นพบรังพวกเจ้าและลบมันออกไป” ผู้คุ้มกันอีกคนกล่าว
“ฮาฮาฮา” ร่างเงาระเบิดเสียงหัวเราะ “แน่นอน ถ้าพวกข้าสู้พวกเจ้าอย่างตรงไปตรงมา ดาบแสงจันทร์ของพวกข้าคงมิมีโอกาส แต่ว่าเจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นใคร เจ้าควรรู้ดีกว่าใครว่าพวกข้ามิเคยสู้ซึ่งหน้า”
ซูหยางฟังการพูดตอบโต้ระหว่างสองฝ่ายอย่างเงียบๆ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนมีเบื้องหลังลึกล้ำไม่น้อย แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินดาบแสงจันทร์มาก่อน แต่ก็ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นองค์กรที่อาศัยอยู่ในเงามืด
“ร่างร้อยพิษมิกราย หือ..” ซูหยางพึมพัมชื่อนั้น
“นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าต้องการพูดรึ” ชายชราผู้ที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลากล่าวขึ้น “ถ้ามีเพียงเท่านั้น นั่นก็ควรถึงเวลาตายแล้ว...”
ชายชราพลันดึงเอาพัดกระดาษออกมาจากภายในเสื้อและพัดอย่างนุ่มนวลไปทางร่างเงา
รอยคลื่นทรงพลังปรากฏขึ้นจากพัดกระดาษทันทีที่ชายชราโบกพุ่งตรงไปยังร่างเงา แต่ว่าก่อนที่รอยคลื่นจะสัมผัสร่างเขา ร่างเงาพลันหายไปจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ราวกับภูติผี ตำแหน่งที่เขาเคยอยู่ระเบิดออกต่อจากนั้น
ชายชราพลันหันกายไปมองดูซูหยางและตะโกน “ระวัง”
“ข้ารู้ว่าจักตายวันนี้ ข้าจึงมีแผนจะลากเอาผู้คุ้มกันของเจ้าไปด้วยสักหลายคนก่อนตาย อย่างไรก็ตามหน้าเจ้าเด็กนี่ช่างกวนใจข้ายามมอง ดังนั้นให้ถือว่าเป็นเกียรติที่ข้าจักเอาชีวิตของเจ้านี่แทน”
ร่างเงาพลันปรากฏกายเบื้องหลังซูหยางพร้อมมีดสั้นสีดำในมือยกขึ้นพร้อมโจมตี
อย่างไรก็ตามช่างโชคร้ายสำหรับร่างเงา ซูหยางจับด้ามดาบข้างเอวไว้พร้อมแล้วก่อนที่ร่างเงาจะหายไปเสียอีก
ประกายลึกล้ำดุร้ายแวบผ่านภายในดวงตาซูหยาง และสำนึกกระบี่อันไพศาลระเบิดออกจากร่างของเขา เป็นเหตุให้ร่างเงาชะงักค้างในทันทีจากแรงกดดันที่เกิดขึ้นกระทันหัน
ทันทีที่ร่างเงาชะงักค้างด้วยความตกใจ ซูหยางพลิกร่างอย่างคล่องแคล่วและดึงดาบออกจากฝักส่งคลื่นพลังอันรุนแรงของสำนึกกระบี่ไปยังร่างเงา
ร่างเงาไม่ทันแม้จะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่สำนึกกระบี่ผ่าร่างเป็นสองซีกอย่างง่ายดายราวกับตัดผ่านแผ่นกระดาษ
หลังจากผ่าร่างเงาเป็นสองซีกซูหยางแค่นเสียงเย็นชาให้กับซากร่างบนพื้น “เจ้าคิดหรือว่าข้ามิสังเกตเห็นสายตาน่ารังเกียจของเจ้าที่จ้องมาที่ข้า นี่มิใช่ครั้งแรกที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น”
"..."
บรรดาคนคุ้มกับและชายชรามองดูซูหยางเก็บดาบเข้าฝักด้วยความตื่นตกใจ มันเกิดอะไรขึ้น เพียงชั่วขณะที่ร่างเงาหายไปจากคลองจักษุของพวกเขาและจากนั้นก็กลายเป็นศพที่ถูกตัดขาดเป็นสองซีกอย่างหมดจด นอนตายอยู่ข้างเด็กหนุ่มผู้ที่ตามมาอย่างน่าสงสัย
“สำนึกกระบี่” เมื่อบรรดาผู้คุ้มกันฟื้นคืนสติจากความประหลาดใจ พวกเขาพลันระลึกได้ว่านั่นคือสำนึกกระบี่ที่เด็กหนุ่มใช้ฆ่าร่างเงา
“ช่างเป็นสำนึกกระบี่ที่น่ากลัว” แม้กระทั่งชายชราเขตอัมพรวิญญาณยังตกใจกับพลังทำลายและแรงกดดันที่แสดงให้เห็นจากสำนึกกระบี่ มันเป็นบางอย่างที่แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเขตอัมพรวิญญาณอย่างเขาไม่สามารถเลียนแบบ
ชายชรากระโดดออกจากรถม้าตรงเข้าไปหาซูหยาง “หนุ่มน้อย เจ้าชื่ออะไรรึ” เขาถาม
“เซียวหยาง”
“เจ้าคงมิรังเกียจหากข้าจะถามว่าเจ้าอายุเท่าไร”
ซูหยางมิได้ตอบคำถามในทันใดและมองชายชราอย่างเงียบๆแทน คล้ายกับกำลังครุ่นคิด
เมื่อชายชราเห็นท่าทางนิ่งเฉยของซูหยาง เขายิ้มและกล่าวว่า “ข้าสุดประทับใจกับสำนึกกระบี่ของเจ้า แต่หน้าตาของเจ้าทำให้ข้ายากที่จะมองเจ้าเป็นคนรุ่นใกล้เคียงกัน”
“อายุของข้าเกี่ยวข้องอะไรด้วยรึ สิ่งที่สำคัญในการต่อสู้ก็คือความแข็งแกร่งและปฏิภาณ นอกเหนือจากนั้นล้วนไม่เกี่ยวข้อง”
คำพูดซูหยางทำให้ชายชราไร้คำพูด
“ผู้อาวุโสจง...ทางนั้นเรียบร้อยดีหรือไม่” เสียงหวานแว่วของหญิงภายในรถม้าทองดังออกมาทำให้ชายชราหันกายกลับไป
“นายหญิงน้อย ภัยคุกคามไม่มีแล้ว” ชายชราชื่อผู้อาวุโสจงกล่าว
“เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางต่อกันเถอะ พวกเรามิมีเวลาที่นี่มากนัก..”
ผู้อาวุโสจงมองดูซูหยางด้วยรอยยิ้มขื่นขม “แม้ว่าข้าต้องการพูดกับเจ้ามากกว่านี้เรื่องสำนึกกระบี่ แต่พวกเรากำลังเร่งรีบ ข้าเรียกว่าผู้อาวุโสจงจากอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเจ้ามีโอกาสไปเยี่ยม เจ้าสามารถแสดงสิ่งนี้ให้ใครก็ได้ที่นั่นและพวกเขาจักพาเจ้าไปหาข้า”
ผู้อาวุโสจงยื่นป้ายหยกสีเหลืองให้กับซูหยาง
“ถ้าข้ามีโอกาส...” ซูหยางรับป้ายหยกโดยไม่ใส่ใจ
เมื่อซูหยางไม่แสดงท่าทีใดหลังจากที่เขาพูดถึงอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสจงค่อนข้างประหลาดใจ นี่เป็นความเขลาหรือว่าชื่อ “อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์” ไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เขาสนใจได้
ผู้อาวุโสจงยิ่งเกิดความสนใจในเบื้องหลังของซูหยาง แต่อนิจจา เขาไม่มีเวลาที่จะอยู่แถวนี้เพื่อที่จะทำความรู้จักซูหยางให้มากกว่านี้
หลังจากพูดคุยกันเพียงเล็กน้อย ผู้อาวุโสจงกลับไปที่รถม้าและเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง