ภาค 2 ตอนที่ 10 แสงอรุณที่สุสาน
ตอนที่ 10 แสงอรุณที่สุสาน
มู่เสวี่ยยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ รอบตัวเธอเป็นป้ายหลุมศพที่เยียบเย็น ความมืดครึ้มและหนาวเย็นในเวลาเช้าตรู่ปกคลุมทั่วสุสาน ว่ากันว่าตีสามเป็นเวลาที่โลกมนุษย์กับโลกวิญญาณสับเปลี่ยนกัน แสงแดดค่อยๆ ขึ้นแทนที่ราตรีที่เหน็บหนาวและมืดครึ้ม ยกมือขึ้นดูนาฬิกาพรายน้ำที่ข้อมือ เลยเวลาตีสามไปแล้ว แต่ท้องฟ้าก็ไม่มีทีท่าจะสว่างสักที ถ้ามีคำบอกเล่าว่าช่วงเวลาที่มืดที่สุดก่อนรุ่งสางก็น่าจะเป็นตอนนี้สินะ
สุสานตั้งอยู่ในชานเมืองที่เปลี่ยวมาก ข้างๆ มันมีบ้านเดี่ยวอยู่หลายหลัง ราคาถูกมากเนื่องจากตำแหน่งที่ตั้ง มู่เสวี่ยใช้ชื่อปลอมเช่าหนึ่งหลังในนั้น เพื่อเป็นที่พักอาศัยในภายภาคหน้า หลายวันก่อนที่เธอย้ายเข้ามา แผนการที่วางมาสิบห้าปีดำเนินถึงขั้นสุดท้าย ในใจไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นใดๆ หลายวันที่พักอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอนอนไม่หลับเฉกเช่นเมื่อก่อน วันนี้ก็ยิ่งนอนไม่หลับไม่ว่าจะทำยังไง เลิกล้มความคิดที่จะพยายามอยู่บนเตียง เธอลุกไปเดินเล่นในสุสาน
สุสานนี้น่าจะมีประวัติยี่สิบกว่าปีแล้วสิ สุสานเป็นสถานที่พิเศษ ที่นี่ประดิษฐานจุดจบของเรื่องราวมากมาย ป้ายหลุมศพบางป้ายมีคนทำควาสะอาดเป็นประจำ ส่วนบางป้ายก็เงียบหายไปตลอดกาล กลางวันเธอมองจากบ้านเช่า สังเกตผู้คนที่มาเซ่นไหว้วิญญาณผู้จากไป พลันนึกบางอย่างออก
บางคนไม่อยากไปจำ แต่เธอปฏิเสธที่จะลืม
เดินลงบันได ปรายตากวาดไปเห็นสีขาวผืนหนึ่ง หันไปมองเป็นหญิงสาวใส่เสื้อผ้าขาวนั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านบนอย่างเงียบๆ
แว็บแรก มู่เสวี่ยตกใจมาก หัวใจเต้นตุ้บๆ ในเวลานี้นอกจากตัวเองแล้ว ยังจะมีคนมาเซ่นไหว้อีกเหรอ
คงไม่ใช่...ผีมั้ง
"เสื้อขาว" เงยหน้าขึ้น ดูเหมือนตกใจอยู่ไม่น้อย
ประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาทำให้มู่เสวี่ยเรียนรู้ที่จะทำตัวสุขุมเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ตื่นตระหนก เธอจ้องมองหญิงสาวในชุดขาวที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แล้วก็พบว่าคุ้นตาอยู่บ้าง ฉันเคยเจอเธอมาก่อน มู่เสวี่ยพูดในใจ
"เธอ...มาเซ่นไหว้เหมือนกันเหรอ" มู่เสวี่ยเอ่ยปากก่อน
หญิงสาวในชุดขาวจ้องเขม็งที่มู่เสวี่ยพักใหญ่ "เธอ...เป็นคนเหรอ" เธอถาม
มู่เสวี่ยพยักหน้า " เมื่อหลายวันก่อนฉันเหมือนจะเคยเห็นหน้าเธอมาก่อน เธอมาเซ่นไหว้ตอนเช้าตรู่ ขี่สกู๊ตเตอร์สีชมพู ใช่ไหม"
หญิงสาวในชุดขาวอึ้งไปพักใหญ่ถึงได้รู้สึกตัว "ฉันนึกว่าเธอเป็นผีซะอีก กลางดึก..." จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองก็มาอยู่ในสุสานกลางดึกเหมือนกัน เลยยิ้มอย่างเขินอาย
มู่เสวี่ยก็ยิ้มเหมือนกัน มีคนคนหนึ่งเหมือนตัวเอง มาเซ่นไหว้ในคืนที่มืดมิดของฤดูหนาว คงเป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่เบา เธอค่อยๆ เดินไปข้างเสื้อขาว นั่งลงที่ขั้นบันไดข้างตัวเธอ
"ฉันชื่อมู่เสวี่ย เธอล่ะ"
"สวินเข่อหรัน" หญิงสาวพูดเบาๆ "เธอมาหาใครกลางดึกอย่างนี้เหรอ"
มู่เสวี่ยนิ่งขรึมไปพักหนึ่งค่อยพูด "พ่อของฉัน สิบห้าปีก่อน ท่านถูกฝังอยู่ที่นี่" เธอยกมือชี้ไปที่ที่ยืนอยู่เมื่อสักครู่
ที่แท้ผ่านมาตั้งนานหลายปีอย่างนี้แล้วเหรอ มู่เสวี่ยรู้สึกห้วงเวลาหนักอึ้งขึ้นมาทันที "เธอยินดีที่จะฟังเหตุผลที่ฉันมาอยู่นี่หรือเปล่า"
สวินเข่อหรันหันหน้าไปมองเธอ หญิงสาวที่ชื่อมู่เสวี่ยคนนี้มีสายตานิ่งสงบคู่หนึ่ง ผมดำประบ่าพลิ้วไหวเบาๆ
มู่เสวี่ยเบนสายตาไปที่ไกล พูดไปโดยไม่สนใจคนอื่น "ความจำของฉันที่มีต่อพ่อนั้น สั้นมาก คนทั้งหมดคิดว่าพ่อกระโดดลงทางรถไฟฆ่าตัวตาย เวลานั้น ฉันยืนอยู่ข้างท่าน พวกเรากำลังจะนั่งรถไฟไปบ้านยาย ประโยคสุดท้ายที่พ่อพูดกับฉันคือ ‘เสี่ยวเสวี่ย อย่าหันกลับมา‘ แต่ฉันไม่ได้เชื่อฟังท่าน ฉันหันกลับไปเห็นมือข้างหนึ่งผลักพ่อไปทีหนึ่ง" มู่เสวี่ยหยุดไปอึดใจหนึ่ง
"ตอนนั้น ฉันอายุสิบขวบ...ไม่มีใครเชื่อเด็กสิบขวบ ดังนั้นฉันเลือกที่จะเงียบ...จนกระทั่งฉันโตขึ้นถึงเข้าใจความหมายของประโยคอย่าหันกลับมา ท่านรู้...ท่านรู้ว่าคนคนนั้นเกิดความคิดที่จะลงมือฆ่าแล้ว ท่านรู้อีกว่า ถ้าตนเองต่อสู้หรือหนีรอดไปในครั้งนี้ เป้าหมายต่อไปก็จะเป็นลูกของท่าน นั่นก็คือฉันเอง...รถไฟถอยกลับไป ฉันค่อยๆ เห็นร่างของท่าน...ที่ถูกล้อทับเป็นเสี่ยงๆ เป็นก้อนๆ ตอนนั้นในมือฉันยังถือสายไหมที่ท่านเพิ่งซื้อให้ฉัน ยืนอยู่ท่ามกลางเลือดของท่าน...แล้วก็มีคนจำนวนมากพูดกับฉัน ฉันจำอะไรไม่ได้ จำได้แต่ว่าเหมือนหิมะตก เหมือนแม่เรียกฉันตลอดเวลา...หลายปีจากนั้นฉันถึงรู้ว่า ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยเป็นเวลาหนึ่งปี ฤดูหนาวของหนึ่งปีหลังจากนั้น หิมะตกครั้งแรก ฉันพูดว่า "แม่ หิมะตกแล้ว" ฉันยังจำได้ว่าแม่ใช้สายตาเหมือนเห็นคนที่ฟื้นคืนจากความตายมองฉัน แล้วก็กอดฉันแน่นและร้องไห้ไปทั้งคืน..."
“จนกระทั่งพ่อถูกฝังที่นี่ ฉันยังรู้สึกอยู่ว่า ท่านยังคงเป็นก้อนๆ เปื้อนเลือดนอนอยู่บนรางรถไฟ” มู่เสวี่ยหัวเราะเบาๆ สวินเข่อหรันได้ยินเสียงหัวเราะนี้รู้สึกเป็นทุกข์มาก เธอเข้าใจความรู้สึกอย่างนั้น หลายปีก่อน เธอก็เคยเห็นพี่สาวของตัวเองนอนจมกองเลือดสีแดงสดเช่นกัน
เธอเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้ "เธอเห็นคนคนนั้นเหรอ"
มู่เสวี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้า "ฉันรู้จักเขา ก่อนพ่อจะเสีย เขาเป็นแขกประจำของที่บ้าน สิบห้าปีที่ผ่านมา เขาไต่เต้าที่ละก้าวจนได้เป็นหัวแก๊งมาเฟียที่มีอิทธิพลมาก ตอนนี้..."
สวินเข่อหรันตั้งใจฟัง "ตอนนี้เป็นไง หรือว่าตายไปแล้ว"
มู่เสวี่ยยิ้มอีก รอยยิ้มของเธอนิ่งๆ แต่คำพูดที่ออกมาทำให้คนตื่นตระหนกเสมอ "ตอนนี้...ในมือฉันมีหลักฐานที่สามารถทำให้เขาเข้าคุกได้ รายชื่อคนที่เขาลงมือฆ่าด้วยตัวเอง บัญชีติดสินบนข้าราชการ บันทึกของการหนีภาษี อีกทั้ง...เสื้อที่พ่อใส่ขณะที่ถูกเขาผลักลงจากชานชาลาของสถานีรถไฟ"
ลมเย็นวูบหนึ่งพัดใบไม้ที่พื้นลอยขึ้น ใบไม้หมุนคว้างลงสู่พื้น
มู่เสวี่ยแบมือของตัวเองออก แล้วกำอย่างแน่น "สิบห้าปีก่อนเขาผลักพ่อฉันลงจากชานชาลายังไง วันนี้ฉันก็จะผลักเขาลงนรกอย่างนั้น"
สวินเข่อหรันอึ้งจนอ้าปากค้าง
เสี้ยววินาทีนั้น ดูเหมือนแม้ลมเย็นฤดูหนาวในสุสานก็ไม่อาจดับแสงไฟที่ลุกโชนในดวงตาของมู่เสวี่ยลงได้
สวินเข่อหรันใช้เวลานานมากกว่าจะรู้สึกตัวอีกที สายตาของมู่เสวี่ยทำให้เธอไม่รู้จะเอ่ยคำพูดที่ประณามออกไปได้ยังไง หน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องผดุงคุณธรรมนั้นดูเหมือนจอมปลอม แต่ตาต่อตาฟันต่อฟันก็ควรได้รับคำชื่นชมงั้นเหรอ เธอมองที่พื้นแล้วถามด้วยเสียงต่ำ "การแก้แค้น...ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนใช่ไหม"
มู่เสวี่ยยิ้มเงียบๆ "คำถามนี้ก็เคยมีคนถามฉัน ฉันเคยอ่านเจอประโยคหนึ่งในหนังสือตั้งแต่ยังเด็กอยู่มาก "ถ้าเธอต้องการแก้แค้นคนหนึ่ง ต้องเตรียมโลงไว้ล่วงหน้าสองโลง หนึ่งสำหรับเขา อีกหนึ่งสำหรับตัวเอง" น้ำเสียงรื่นรมย์ เหมือนกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ “แล้วเธอล่ะ สวินเข่อหรัน เธอนั่งอยู่ในสุสานที่มืดสนิทเพื่อใคร”
สวินเข่อหรันอึ้งไป เธอคิดไม่ถึงว่าจะมีคนถามคำถามอย่างนี้กับเธอ เหมือนจู่ๆ เผชิญกับกำแพง จะผลักมันล้มลงเพื่อพูดปมในใจออกมา กลายเป็นโจทย์ปรนัยอีกข้อหนึ่งสำหรับเธอ
ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
สวินเข่อหรันยังเงียบอยู่
มุมปากของมู่เสวี่ยมีรอยยิ้มจางๆ อยู่เสมอ ท่ามกลางความมืดใกล้รุ่งสาง เหมือนมีความสงบที่สลัวอยู่ เธอพูด "รู้ไหมทำไมฉันถึงยอมพูดเรื่องเหล่านี้กับเธอ"
โกโก้ส่ายหน้า
"เพราะถ้าเป็นคนที่จิตใจไม่บริสุทธิ์ ไม่มีทางกล้ามาอยู่ในสุสานกลางดึก" รอยยิ้มของมู่เสวี่ยภายใต้แสงจันทร์จางๆ อ่อนโยนมาก
สวินเข่อหรันคิดไปนิดหนึ่ง คลำในกระเป๋าแล้วคว้าช็อคโก้จุ๊บออกมาสองอัน แบ่งให้มู่เสวี่ยหนึ่งอัน รสหวานในปากที่กระจายออกทำให้จิตใจอบอุ่น "ฉันมีพี่สาวคนหนึ่ง อายุมากกว่าฉันหลายปี เธอมีความฝันจะเป็นหมอ ตั้งแต่เด็กก็เป็นนักเรียนดีเด่น อะไรๆ ก็เยี่ยมยอด ฉันอิจฉาประจำแต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากตามเธอไปไหนมาไหน" เหมือนนึกเรื่องขำๆ อะไรได้ โกโก้อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น "ตอนเธออายุสิบแปด ตัดสินใจไปเรียนหนังสือกับแฟนทางภาคเหนือ แต่ก็กลัวฉันจะโวยวาย จนกระทั่งก่อนออกเดินทางสองวันถึงได้บอกฉัน ตอนนั้นฉันอายุสิบสี่ พอได้ยินข่าวนี้ก็มึนเลย วิ่งออกจากบ้านไป..." สวินเข่อหรันหมุนช็อคโก้จุ๊บในมือ
"ฉันวิ่งผ่านสวนดอกไม้เล็กๆ วิ่งออกจากซอย วิ่งข้ามถนน พี่สาววิ่งตามหลังฉันมาเรียกชื่อฉัน...จู่ๆ เธอก็ไม่เรียกอีก" สวินเข่อหรันหายใจเข้าลึกๆ" ฉันหันกลับไปอย่างงอนๆ เห็นเธอตกลงมาจากกลางอากาศอย่างช้าๆ นอนอยู่ที่พื้น...รถบรรทุกคันใหญ่ส่งเสียงแหลมวิ่งผ่านข้างตัวเธอ หนีไปแล้ว...ฉันยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ว่า พี่สาวนอนอยู่ที่พื้น มือยังยื่นมาหาฉัน แล้วบนพื้นก็มีสีแดงแผ่กระจายออก..."
ใบไม้ถูกลมหนาวพัดขึ้นมา ปลิวสะบัดใส่ป้ายหลุมศพที่เยียบเย็น แล้วค่อยๆ ร่วงสู่พื้น
"เธอแค้นตัวเองไหม" จู่ๆ มู่เสวี่ยก็ถาม
สวินเข่อหรันอ้าปากหวอ คิดอยู่นานมากถึงได้เอ่ยปากพูด "ไม่แค้น...แต่เสียใจมาก เสียใจในความดื้อรั้นของตัวเอง เสียใจที่ไม่เห็นป้ายทะเบียนของรถคั้นนั้น เรื่องที่ต้องเสียใจมีมากเกินไป เพราะฉะนั้น...ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะไม่มาเสียใจภายหลังอีก"
รอยยิ้มของมู่เสวี่ยกว้างขึ้น "เธอรักใครเข้าแล้ว"
สวินเข่อหรันมองเธออย่างประหลาดใจ
"ไม่ต้องประหลาดใจขนาดนั้น ฉันเห็นว่าเธอกำลังกลัว มีอะไรจะทำให้สาวน้อยที่กล้าตากลมในสุสานกลางดึกกลัวล่ะ...นอกจากความรัก" มู่เสวี่ยหมุนช็อคโก้จุ๊บในมือเล่น "ฉันเข้าใจ เพราะฉันก็กลัว...ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะไปรักใคร แต่ความรักที่อดกลั้นก็ยังคงโผล่ออกมาจนได้ ยิ่งกว่านั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายของฉัน ฉันต้องทรยศคนที่ฉันอยากรัก...ตอนที่ฉันเซ็นชื่อของตัวเอง แล้วคิดว่าคนคนนั้นต้องแค้นตัวเองไปตลอดชีวิต ฉันก็อยากจะร้องไห้...ทั้งๆ ที่ฉันเคยคิดว่า ฉันไม่รู้ว่าร้องไห้เป็นอารมณ์ประเภทไหนตั้งแต่สิบห้าปีที่แล้วซะอีก..."
"เราสองคนช่างเหมือนกันจริงๆ..." สวินเข่อหรันพึมพำ
"ก็ใช่นะสิ" มู่เสวี่ยแกะกระดาษห่อออก เอาช็อคโก้จุ๊บใส่เข้าไปในปาก รสหวานของพุดดิ้งแผ่ซ่านจากก้นบึ้งของหัวใจ มองดูหญิงสาวที่อยู่ข้างตัว ในดวงตามีแสงริบหรี่กะพริบอยู่ แต่กลับเหมือนน้ำตาลที่อยู่ในปาก เป็นวิญญาณที่สะอาด สวยงาม หอมหวาน
มู่เสวี่ยยื่นมือออก สวินเข่อหรันมองเธอไปทีหนึ่งแล้วยิ้ม
"สวินเข่อหรัน พวกเรามาสัญญากันเถอะ"
"หือ"
"พอพระอาทิตย์ขึ้นมา ก็ตัดสินใจ ไม่หลบหนีอีก"
สวินเข่อหรันเงียบไปพักหนึ่งแล้วพยักหน้า "ไม่หนีอีก รอคดีในมือปิดลง ฉันก็จะพูดความรู้สึกออกไป"
"ฉันก็เหมือนกัน แต่ต้องรอเรื่องนี้จัดการแล้วเสร็จ"
"เธออย่าเบี้ยวนะ ต้องสาบานต่อหน้าพ่อเธอถึงจะได้"
"เธอก็เหมือนกัน เดี๋ยวพระอาทิตย์ขึ้นมา ต้องสาบานต่อหน้าพี่สาวว่าเธอจะมีชีวิตต่อไปอย่างกล้าหาญยิ่งขึ้น ไม่อย่างนั้นชาตินี้ก็แต่งไม่ออกนะ"
สองคนมองตาแล้วยิ้มอย่างรู้ใจกัน
มันอาจจะมีเพียงช่วงเวลาที่ตัดจากโลกภายนอกอย่างนี้ ถึงจะทำให้คนที่ไม่รู้จักกันได้เปิดเผยความลับในใจออกมาอย่างหมดเปลือก เปลี่ยนไปเป็นเช้าที่สะอาด กินท็อฟฟี่หวาน นั่งเคียงบ่าอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยป้ายหลุมศพ รอท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้น
เมฆที่ขอบฟ้าเริ่มออกสีแดงขึ้นมา