ตอนที่แล้วบทที่ 27 โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 29 เรื่องวุ่นวายในจุดรายงานตัว (1)

บทที่ 28 โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน (4)


บทที่ 28 โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน (4)

 

        นัยน์ตาทั้งคู่ของอินจู๋จ้องตรงไปยังเด็กสาวชุดขาวบนเวที แววตาในดวงตาพร่าเลือนขึ้นเล็กน้อย ก่อนพึมพำกับตัวเองว่า “ภูตสาวแสนสวย” คำว่าภูตสาวแสนสวยไม่ได้บรรยายเด็กสาวบนเวที แต่เป็นชื่อเพลงกู่เจิงเพลงนี้

 

สองมือขยับเป็นจังหวะรัวเร็ว แต่ความรู้สึกดั่งธารน้ำไหลปุยเมฆลอยนั้นกลับไม่ทำให้รู้สึกกระโชกกระชั้นแต่อย่างใด เสียงกู่เจิงกังวานยาวนาน แม้พลังเวทมนตร์สีส้มไม่เพียงพอที่จะปกคลุมทั้งหอประชุม แต่ระหว่างที่เสียงกู่เจิงอันไพเราะขับบรรเลงก็ยังลอยมาถึงหูทุกคนอย่างชัดเจน เพลงกู่เจิงอันเศร้าสลดและนุ่มนวลสะเทือนความรู้สึกของทุกคน สีหน้าทุกคนเริ่มกระเพื่อมไหวไปตามคลื่นเพลงกู่เจิง แม้แต่อาจารย์บริดเจตที่มาพร้อมกับอินจู๋ก็ไม่เว้น

 

สายตาของอินจู่พร่าพรายไปแล้ว บางทีคนอื่นอาจสูญเสียความเป็นตัวเองเพราะคลื่นเสียงอันเศร้าสลดของเพลงกู่เจิง แต่หัวใจของเขา กลับดำดิ่งอยู่ในห้วงลึกของการดีดบรรเลงที่กลมกลืนและความหมายในบทเพลงของเพลงกู่เจิงอันไพเราะนั้นอย่างสิ้นเชิง มีแต่คนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้เท่านั้นจึงสามารถเข้าใจทุกสิ่งในเพลงกู่เจิงนี้ได้ทั้งหมด

 

“ใสดั่งแก้วหยก สั่นดั่งมังกรคำราม เป็นเพลง ‘ภูตสาวแสนสวย’ ที่ไพเราะมาก”

 

ราวกับไม่ถูกควบคุม อินจู๋ย้ายพิณสำเนียงหยกมาไว้ข้างหน้าตัวเอง เขาไม่ได้ปรับเสียง สองมือสะบัดไปบนสายพิณเบาๆ นิ้วหัวแม่มือข้างขวาแตะรองไว้ ก่อนสองมือจะลอยล่องอยู่เหนือสายพิณทั้งเจ็ดอย่างถ้วนทั่วดั่งใจ ชั่วขณะนั้น ความบริสุทธิ์เช่นเด็กน้อยหายไป แม้ชุดขาวบนตัวเขาจะเสียหายเล็กน้อยเพราะระยะทางอันยาวไกล แต่ในขณะนี้ ลมปราณสูงส่งสง่างามกลับยังคงขับดุนให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาสมบูรณ์แบบเช่นนี้

 

เสียงพิณเรียบง่ายแบบโบราณดังขึ้นอย่างเงียบๆ การเคลื่อนไหวของอินจู๋เชื่องช้ากว่าเด็กสาวบนเวทีมาก แต่เสียงพิณทุกเสียงล้วนสะท้อนเวียนวน ท่านิ้วบังคับความหนักเบาเร็วช้าอย่างสุขุมเยือกเย็น เจือความไพเราะจับใจที่วนเวียนไปมา เสียงพิณอันแจ่มใสยาวนานของพิณสำเนียงหยกประสานกับเสียงกู่เจิง ทำให้บทเพลงเดิมเพิ่มเติมพลังอันลุ่มลึกเข้ามา

 

รัศมีสีแดงเข้มแผ่ซ่านออกมาพร้อมกับเสียงพิณ นำหน้าตามหลังสลับกันกับรัศมีสีส้มของเด็กสาวชุดขาว ส่องกระทบกันเป็นแสงสว่างโชติช่วงไปทั่วทั้งหอประชุมใหญ่ เสียงพิณที่แทรกเข้ามาไม่เพียงแต่ไม่ทำให้รู้สึกกระโชกกระชั้น ทว่ากลับกลมกลืนปานนั้น เด็กสาวชุดขาวที่ก้มหน้าดีดกู่เจิงเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งแรก

 

ผมสีดำบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงครึ่งหน้า แต่ครึ่งหน้านั้นกลับทำให้หัวใจของอินจู๋สั่นระรัวในฉับพลัน ใบหน้าซีดเซียว เมื่อนัยน์ตาสีดำอันเย็นชาและลึกล้ำมองเห็นอินจู๋ก็ไม่มีอาการประหลาดใจแม้สักนิด เพียงแต่แววตาเย็นชาจางหายไปเล็กน้อย

 

พิณและกู่เจิง เครื่องดนตรีสองชนิดที่เดิมทีประสานกันไม่ได้ ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยการควบคุมอันสมบูรณ์แบบของอินจู๋ ดุจดังปาฏิหาริย์ที่สวรรค์ประทานลงมา

 

เด็กสาวชุดขาวมองอินจู๋ อินจู๋ก็มองเธออยู่เช่นเดียวกัน แต่สายพิณใต้มือของทั้งคู่กลับไม่ผิดจังหวะแม้แต่น้อย สายตาสบประสาน เหมือนกับสีแดงเข้มและสีแสดที่ผสมปนเปกัน สองมือของอินจู๋เปลี่ยนท่วงท่าไป ดีดสายพิณขณะที่เหนี่ยวขึ้นเบาๆ น้ำเสียงสง่างามและทุ้มลึกดังขึ้นท่ามกลางการบรรเลงประสานระหว่างพิณกับกู่เจิงอันไพเราะงดงาม

 

“ชีวิต

ดั่งเดินทางในฝัน

ให้ลมหนาวเหล่านั้น ทิ้งร่องรอยต่างหน้า

โลกมนุษย์นี้

มีฝันดีเท่าไหร่หนา

เสาะหารักเพ้อฝันลวงตา

เฉกเช่นคนทั่วไป”

 

ขณะนี้ ราวกับว่าทั่วทั้งหอประชุมใหญ่เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น วิธีบรรเลงพื้นฐานของพิณโบราณมีสองแบบ แบบหนึ่งคือบรรเลงเดี่ยว และอีกแบบคือเพลงพิณ

 

แววตาเย็นชาของเด็กสาวชุดขาวราวกับหลอมละลายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความระทมทุกข์อันไร้ที่สิ้นสุด เสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยแต่ไพเราะดุจหงส์กู่ร้องรับช่วงต่อท่อนหลังไปพร้อมกับเสียงดีดพิณและกู่เจิง

 

“ชีวิตคือ

ฝันอันยืดยาว

ในฝันเลือนราง มีหยาดน้ำตา

อยู่แห่งหนใด

หัวใจเจ้าและข้า

สายลมพัดพาถอนใจในฝัน

เฉกเช่นคนทั่วไป”

 

อินจู๋เปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างขวาเป็นกึ่งวงกลม นิ้วหัวแม่มือ นิ้วกลาง และนิ้วนางข้างซ้ายกดสายพิณพร้อมกัน คลื่นเสียงสั่นระรัว ฟังดูนุ่มนวลขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ เจือจางความทุกข์ระทมในเพลง ‘ภูตสาวแสนสวย’ ลงไปบ้าง พร้อมกับเสียงพิณและกู่เจิงที่ขับบรรเลงร่วมกัน ทั้งคู่ร่วมร้องท่อนสุดท้ายออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

“เส้นทางชีวิต

สุขสันต์ยามหนุ่มสาว

ท่ามกลางทางขรุขระ ยังมีแสงตะวัน

โลกมนุษย์นี้

มีความสุขีเท่าไหร่หนา

ลมฝนดั่งฝันทุกครา

เฉกเช่นคนทั่วไป

ลมฝนดั่งฝันทุกครา

เฉกเช่นคนทั่วไป”

 

เสียงขับกลอนกลมกลืนไม่ขาดช่วงหยุดลงอย่างเงียบเชียบ แต่เสียงพิณและกู่เจิงกลับยังสะท้อนเวียนวน ท่ามกลางเสียงหึ่งที่ดังอยู่ เสียงสะท้อนอันไร้จุดจบก็แผ่วเบาลงอย่างเงียบๆ นัยน์ตาทั้งคู่ของอินจู๋ใสดั่งกระจก ส่วนนัยน์ตาสีดำของเด็กสาวชุดขาวกลับดูสับสนมากกว่าเดิม

 

“ทางขรุขระแค่ไหนก็ยังมีแสงตะวันสาดส่อง พี่ครับ เพลงกู่เจิงของพี่เศร้าจัง ทำไมไม่มีความสุขกว่านี้สักหน่อยล่ะ?” สองมือกดสายพิณ อินจู่ลุกขึ้นยืนพลางยิ้มกล่าว ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจือจางความสง่างามสูงส่งในตัวเขา

 

เด็กสาวชุดขาวได้สติกลับมาจากอาการสับสน แอบคิดในใจว่านี่เราเป็นอะไรไป? แต่ไหนแต่ไรไม่เคยร้องถึงท่อนสุดท้ายของเพลง ‘ภูติสาวแสนสวย’ แต่วันนี้กลับร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว หรือเพราะความรู้สึกที่เขาส่งมาถึงข้า?

 

“ท่าลมไล่กระเรียนระบำ ท่าลมส่งปุยเมฆ ท่าฝูงหงส์ขับขาน ท่าดอกไม้โรยลอยวารี เจ้าใช้สี่วิธีเล่นจนจบเพลงนี้ แต่พิณบรรเลงประสานกับกู่เจิง แค่นี้ก็พอแล้วหรือเปล่า? ทำไมเจ้าต้องใช้เพลงพิณกระทบจิตใจข้าด้วย”

 

“เพราะข้าเข้าใจความเศร้าในเพลงกู่เจิงของพี่น่ะสิ!” อินจู๋ไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมพอเพลงจบความเย็นชาของเด็กสาวชุดขาวถึงดูเหมือนรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

 

“เจ้าเข้าใจ? เจ้าเข้าใจจริงๆ หรือไง?” แค่นหัวเราะก่อนสองมือจะอุ้มกู่เจิงขึ้นจากโต๊ะ แล้วหันตัวเดินไปหลังเวที

 

อินจู๋นั่งลงช้าๆ เอาพิณสำเนียงหยกกลับไปวางไว้ตรงหน้าเด็กสาวข้างๆ อย่างระมัดระวัง ดวงตาฉายแววครุ่นคิด

 

‘ติ๊ง!’ เสียงระฆังบอกเวลาดังขึ้น แสงสีครามอ่อนประกายวาบขึ้นในหอประชุมใหญ่ เมื่ออินจู๋เงยหน้าก็พบว่าบนเวทีมีหญิงชราสวมชุดกระโปรงยาวสีครามคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ดูไปแล้วอย่างน้อยอายุน่าจะสักหกสิบเจ็ดสิบปี มือซ้ายถือระฆังสวยวิจิตรใบเล็ก ไม้ตีระฆังในมือขวาเห็นชัดว่าเพิ่งจะเคาะเสร็จ

 

“อือ...” เสียงเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันดังขึ้นทั้งหอประชุม รวมถึงเด็กสาวข้างๆ อินจู๋และอาจารย์บริดเจตที่นั่งอยู่ตรงมุม ตอนที่เสียงกู่เจิงดังขึ้น พวกเธอก็เคลิบเคลิ้มอยู่ในนั้นแต่แรกแล้ว ส่วนอินจู๋ที่เข้ามาเสริมตอนหลัง คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้เลย ชั่วครู่หนึ่ง พวกเธอยังอยู่ในห้วงความรู้สึกที่เหมือนความฝัน มีเพียงเด็กสาวส่วนน้อยไม่กี่คนที่สายตาค่อนข้างแจ่มใส ฉายแววครุ่นคิดคล้ายกับอินจู๋

……………………………………….

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด