บทที่ 26 ยอดอ่อนโผล่พ้นผืนดิน
บทที่ 26 ยอดอ่อนโผล่พ้นผืนดิน
“เด็กโง่ เจ้าไม่มีทางได้กำไรจากเงินของบัณฑิตสำนักไท่เสวีย[1]หรอก ทางการจัดสรรผู้ดูแลอาหารการกินและความเป็นอยู่ให้โดยเฉพาะ พวกเขาไม่ขาดแคลนสิ่งใดทั้งนั้น เจ้าจะหาเงินมาอย่างไร?”
หวังโหรวฮวาไม่เห็นด้วยกับความคิดเพ้อเจ้อของบุตรชายเท่าใดนัก โอกาสงามอย่างในวันนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ทุกวัน เหล่าบัณฑิตสำนักไท่เสวียไม่ได้มีเวลาออกมาเดินเตร็ดเตร่บ่อยๆ หรอก
เวลาทำงานและพักผ่อนของพวกเขาก็ไม่ต่างไม่ต่าง็กับขุนนางในราชสำนัก แต่ว่ากลับไม่มีอิสระเสรีเช่นนั้น ในแต่ละวันถ้าหากไม่ตรากตรำอ่านตำรา ก็ต้องศึกษาค้นคว้าคดีตัวอย่างหลากหลายประเภท
“หึ ตรงข้ามสำนักไท่เสวียก็คือถนนหม่าสิง ไม่รู้ว่าขุนนางใหญ่โตพวกนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงปล่อยให้เปิดหอนางโลมตรงข้ามกันได้ แล้วจะมีสมาธิเรียนหนังสืออ่านตำราอีกรึ?”
หวังโหรวฮวาถลึงตาใส่หญิงวัยกลางคนที่พูดจาเหลวไหล หญิงผู้นั้นรู้ว่าตัวเองพลั้งปากไป จึงกอดเถี่ยซินหยวนเอาไว้อย่างร้อนใจแล้วถามว่า “หยวนเกอเอ๋อร์ของเรา วันหน้าจะต้องสอบจอหงวน[2]ใช่ไหมเล่า?”
เถี่ยซินหยวนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าจะหาเงินก่อน หาให้เยอะๆ ให้ท่านแม่ได้เสพสุข แล้วค่อยไปสอบจอหงวนทีหลัง”
เมื่อเห็นบุตรชายแสร้งทึ่มทื่อไม่รู้ความ หวังโหรวฮวาก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง นางแตะปากเถี่ยซินหยวนเบาๆ แล้วกล่าวว่า “วาจาคล่องแคล่วนักเชียว วันหน้าไม่มีทางอดอยากแน่”
เถี่ยซินหยวนเห็นมารดาไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้นแล้วถึงวางใจลงได้ ไม่เสียทีที่เขาอุตส่าห์ทำตัวเป็นบุตรกตัญญูมาระยะหนึ่ง
ชีวิตกลับสู่วิถีเดิมอย่างที่เคยเป็นมา นอกจากคนขายเนื้อกลุ่มถูฟูที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องมาสอบถามมารดาว่าเมื่อไรถึงจะเข้ากลุ่มถูฟูแล้ว ก็ไม่มีเรื่องน่าหงุดหงิดรำคาญใจอะไรอีก
ส่วนกลุ่มซวนหนีก็หายตัวไปเลย ได้ยินว่าคราวนี้ฝ่ายผู้ตรวจการเมืองหลวงถึงกับบันดาลโทสะคลุ้มคลั่ง เนื่องจากมีผู้ตรวจการคนหนึ่งบังเอิญมาเห็นฉากการฆ่าฟันเข้าพอดี ปรากฏว่าเขาตกใจจนปัสสาวะราดกางเกง ฉะนั้นนายอำเภอไคเฟิงจึงร้อนรนราวกับลาที่แตกตื่นจนขวัญหาย เขาเร่งสั่งให้มือปราบทั้งหลายจับกุมหัวหน้ากลุ่มซวนหนีถังจินสุ่ยโดยเร็วที่สุด
ในแต่ละวันได้เห็นมือปราบเดินกะโผลกกะเผลกออกตรวจตราก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีมากทีเดียว เพราะอย่างน้อยบรรยากาศตามท้องตลาดก็เงียบสงบกว่าเดิม ระยะนี้แม้แต่กลุ่มขอทานยังรู้จักดูทิศทางลม หลบเลี่ยงไม่ให้มือปราบพวกนั้นสาดไฟโทสะใส่ศีรษะของตน
ยามบ่ายของทุกวันเถี่ยซินหยวนจะไปที่สวนร้างแห่งนั้น กลุ่มขอทานน้อยย้ายไปอยู่ที่นั่นตามที่เขาบอกไว้จริงๆ เตียงใหญ่หลังหนึ่งกับผ้าม่านสีเขียว รวมไปถึงเบาะปูนอนที่ซย่าส่งทิ้งเอาไว้ สำหรับขอทานกลุ่มนี้แล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนความเมตตาที่สวรรค์ประทานมาก็ไม่ปาน
เด็กโตที่สุดอย่างเฉี่ยวเกอเอ๋อร์ก็มีอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น ส่วนสุ่ยจูเอ๋อร์ที่อายุน้อยที่สุดก็แค่สี่ขวบ เขายังเด็กกว่าเถี่ยซินหยวนเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เนื่องจากต้องดิ้นรนหาอาหารให้เด็กที่อายุยังน้อยกิน ขาของเฉี่ยวเกอเอ๋อร์จึงโดนม้าเหยียบจนบาดเจ็บ แต่เมื่อได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างดีจากเถี่ยซินหยวน บาดแผลจึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว อีกประมาณสิบกว่าวันก็น่าจะลุกเดินได้คล่องแคล่วเหมือนเดิมแล้ว เรื่องนี้ทำให้เด็กน้อยที่เหลือยิ้มออกมาได้มากขึ้น
“วันพรุ่งนี้ถึงตาสุ่ยจูเอ๋อร์กับข้าไปขอเงินหน้าประตูสำนักไท่เสวียแล้ว เป่าเกอเอ๋อร์ หลิงเกอเอ๋อร์ โซ่วเกอเอ๋อร์อยู่ด้านข้างช่วยดูต้นทาง เมื่อเห็นว่าอันธพาลของสำนักไท่เสวียออกมาก็รีบบอกพวกเราทันที ข้าจะได้ไม่เป็นอย่างคราวก่อน โดนผู้อื่นถลกกางเกงออกแล้วแขวนไว้ข้างในประจานผู้คน”
เถี่ยซินหยวนออกคำสั่งบัญชาการขอทานน้อยอย่างเป็นการเป็นงาน
“เข้าใจแล้ว” เด็กน้อยคนอื่นๆ ขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน
เถี่ยซินหยวนหันมามองสุ่ยจูเอ๋อร์ที่ดึงชายเสื้อของตนเอาไว้แล้วกล่าวว่า “หน้าที่ของเจ้าก็คือร้องไห้ ร้องให้เต็มที่ ยิ่งร้องเสียงดังเท่าไรยิ่งดี”
สุ่ยจูเอ๋อร์อมนิ้วไว้ในปากพลางเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าร้องไม่ออก”
เถี่ยซินหยวนแสยะยิ้มแล้วเอ่ยย้ำว่า “เจ้าจะต้องร้องออกมาให้ได้ ช่วงนี้บัณฑิตสำนักไท่เสวียฉลาดขึ้นมาก หมากห้าเม็ดไม่ซับซ้อนพอจะหลอกพวกเขาได้แล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ข้าเตรียมไว้ก็คือกลหมาก[3]ปริศนา ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าพวกโง่งมนั่นจะแก้หมากกระดานนี้ได้ในเวลาอันสั้น”
เฉี่ยวเกอเอ๋อร์เหลือบมองขาที่มีรอยฟกช้ำของตนอย่างเศร้าสลดแล้วเอ่ยว่า “ข้าอายุมากที่สุด แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ข้ามันไร้ประโยชน์จริงๆ”
เถี่ยซินหยวนตรวจสอบขาที่บาดเจ็บของเฉี่ยวเกอเอ๋อร์ พบว่าปากแผลสมานตัวกันไม่น้อยแล้ว ก็ให้เป่าเกอเอ๋อร์กับหลิงเกอเอ๋อร์ไปยกกล่องอาหารที่ตนนำมา จากนั้นทุกคนก็นั่งล้อมโต๊ะเก่าๆ กินอาหารร่วมกัน
ต้องขอบคุณโชควาสนาของบัณฑิตสำนักไท่เสวีย ทำให้ทุกคนมีชีวิตที่ไม่เลวร้ายเท่าใดนัก อาหารการกินในแต่ละวันมีทั้งเนื้อและไข่ หลิงเกอเอ๋อร์บอกว่าอาหารดีๆ เช่นนี้ ท่านลุงหนิวเอ้อร์ไม่เคยนำมาให้พวกเขากินเลยสักครั้ง
เถี่ยซินหยวนเห็นเฉี่ยวเกอเอ๋อร์กินแต่ผักกวางตุ้งกับข้าวสวย ก็รู้สึกทนไม่ได้จนต้องคีบเนื้อชิ้นใหญ่ที่สุดในชามตัวเองวางลงในชามของอีกฝ่าย “เมื่อครู่ข้าก็ได้ยินเจ้าพูดจาไม่น่าฟัง ตอนนี้พอพวกเรากินข้าวกันยังทำตัวไม่มีเหตุผลอีก เจ้าไม่กินให้เยอะๆ ขาจะหายได้อย่างไร วันหน้ายังต้องพึ่งพากำลังของเจ้านะ”
เฉี่ยวเกอเอ๋อร์เห็นว่าแม้แต่สุ่ยจูเอ๋อร์ที่อายุน้อยที่สุดยังคีบเนื้อให้เขา พลันรู้สึกแสบจมูกด้วยความตื้นตันจนรีบกินอาหารคำโตทันใด เขารู้สึกว่าขาของตัวเองอาการดีขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้คงพอจะเดินได้...
ยามเช้าตรู่ของเมืองเปี้ยนจิงเมืองหลวงแห่งต้าซ่ง เริ่มต้นด้วยเสียงคึกคักจอแจเสมอมา ตลาดกลางคืนอันซบเซามีคนเก็บกวาดหายไปอย่างเงียบๆ ขณะนี้ถึงเวลาของตลาดเช้าแล้ว คนขายเนื้อนำเนื้อหมูที่ล้างทำความสะอาดแล้วมาแขวนไปบนตะขอเกี่ยว ส่วนคนขายผักก็หาบผักสีเขียวสดเริ่มร้องขาย โดยไม่ลืมราดน้ำสะอาดลงผักสักหน่อย เช่นนี้จะได้คุยโวว่าผักของตนยังสดใหม่มีน้ำค้างเกาะอยู่
จ้าวเจินก็รู้สึกพระองค์ตื่นจากห้วงนิทราแล้ว ทรงหันมองสาวงามอ่อนเยาว์ราวบุปผาแรกแย้มข้างพระวรกาย แล้วก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้ เมื่อคืนวานเพราะดื่มด่ำอยู่กับความรื่นรมย์มากเกินไป ไม่แน่ว่าขุนนางที่บันทึกกิจวัตรประจำวันของพระองค์คงนำไปซุบซิบนินทาอีกกระมัง แต่ทรงไม่ใส่พระทัยเลยสักนิด ทุกวันนี้ยังไม่ได้ให้กำเนิดทายาทสืบราชบัลลังก์ จะหมั่นร่วมอภิรมย์กับหญิงงามตำหนักในให้มากก็เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่
แม้จะบรรทมหลับมาเต็มที่ แต่พระวรกายกลับยังเหนื่อยล้าจนต้องออกแรงทุบช่วงเอวเล็กน้อย อย่างไรเสียร่างกายอายุสามสิบในเวลานี้ก็ไม่อาจเทียบกับเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กหนุ่มได้แล้ว
เพียงแต่จะบรรทมพักผ่อนต่อก็ไม่ได้อีก ในเมื่อมีฐานะเป็นถึงฮ่องเต้ อาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ยังต้องการให้พระองค์ปกครองดูแล เขาทอดพระเนตรมองสาวงามที่หลับสนิทด้วยความอาลัยแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ยื่นมือไปดึงเชือกสีเหลืองทองเส้นนั้น...
เสียงกลองดังก้องกังวาน ช่วงเวลาออกว่าราชการยามเช้ามาถึงแล้ว
เมื่อฮ่องเต้ตื่นบรรทมแล้ว ราษฎรย่อมลุกขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ถ้าหากยังนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ก็ไม่มีใครเอาเงินมาวางให้หรอก นอกเสียจากเจ้าจะเป็นตาเฒ่าเหอแห่งตรอกปาฉื่อ ชายชราที่อาศัยอยู่ในบ้านที่บรรพบุรุษหลงเหลือไว้ให้ ขอเพียงถึงวันที่เก็บค่าเช่าก็มีเงินประทังชีวิตไปได้ ผู้อื่นไม่มีบรรพบุรุษเช่นนี้ จึงได้แต่ทุ่มเทแรงกายแรงใจหาเงินต่อไป
เถี่ยซินหยวนแบกห่อผ้าขนาดใหญ่ห่อหนึ่ง เดินนำเจ้าจิ้งจอกเข้ามาในตรอกปาฉื่อ เขายืนอยู่กลางเส้นทางสัญจรในตรอกนั้นแล้วเงยหน้าขึ้น ท้องฟ้าก็เหมือนเดิม ไม่มีสิ่งใดต่างไปจากปกติ
เพียงแต่บนฟ้าสีครามมีเมฆสีขาวเพิ่มขึ้นมาก้อนหนึ่ง มันลอยมารวมกันและกระจายไปตามแรงลมโชยพัด ซึ่งระหว่างนี้เองภาพที่ปรากฏเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ประเดี๋ยวหนึ่งเป็นยอดอาชาสี่ขากระโจนกลางอากาศ ประเดี๋ยวหนึ่งเป็นพยัคฆ์ร้ายแผดเสียงคำรามก้องขุนเขาและพงไพร หรืออีกประเดี๋ยวหนึ่งเปลี่ยนเป็นใบหน้าคนท่าทางดุร้ายน่ากลัว การแสดงตรงหน้าดำเนินไปโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งมีสายลมจากท้องฟ้าสูงลิบเบื้องบนพัดมาอย่างแรง จบการแสดงนี้ด้วยความเบื่อหน่าย และฉีกกระชากกลุ่มเมฆสีขาวออกเป็นชิ้นๆ
ไม่ทราบว่าเพราะสมองเขามีปัญหา หรือว่ามีภาพเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาจริงๆ ทุกครั้งที่เถี่ยซินหยวนเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็จะปรากฏภาพสรรพสัตว์ช่วงชิงอาหาร มีบางครั้งเป็นสีดำ บางครั้งเป็นสีเทา แต่ว่ามีอยู่หลายครั้งที่เป็นสีเงิน นอกจากนี้มันไม่เคยปรากฏท่ามกลางหมู่เมฆยามเช้าตรู่หรือยามโพล้เพล้ แต่จะปรากฏเหนือศีรษะของเขาเอง ยิ่งในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงร้อนแรงที่สุดก็ยิ่งชัดเจนเหลือประมาณ
เขาเคยถามผู้อื่นดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือว่าเพื่อนเล่น ต่างบอกกับเขาด้วยความประหลาดใจว่า “มีที่ไหนกัน หยวนเกอเอ๋อร์หลอกข้าแล้ว”
เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนบ้า เถี่ยซินหยวนจึงแสร้งทำท่าทางภูมิอกภูมิใจว่าข้าหลอกท่านได้ จากนั้นก็หัวเราะแล้ววิ่งหนีไป ใช้วิธีการเช่นนี้อำพรางความสับสนในดวงตาของตน...
คราวนี้ก็เช่นกัน เมื่อหมู่เมฆกลายร่างเป็นเสือดาวหันหน้ากลับมาวิ่งกระโจนเข้าใส่ เถี่ยซินหยวนก็ตะโกนเสียงดังลั่นแล้วเริ่มวิ่งหนี เขาวิ่งได้รวดเร็วยิ่งนัก ผ่านทั้งเพิงขายน้ำชาร้อนๆ ของบ้านหลิวเอ้อร์ ร้านขายขนมเจิงปิ่งของหม่าเหนียงเหนียง ใช้มือกดโต๊ะที่บ้านเสี่ยวฮวาวางเกี๊ยวหุนตุน[4]เอาไว้ ก่อนจะกระโดดตัวลอยข้ามโต๊ะ แล้ววิ่งตัวปลิวอ้อมแถวคนที่กำลังซื้อเกี๊ยวหุนตุนหายไป
เมื่อเห็นเงาหลังไวๆ ของเถี่ยซินหยวน เสี่ยวฮวาก็ตบมือร้องเรียก หยวนเกอเอ๋อร์เป็นเด็กที่ฝีเท้าว่องไวที่สุดในเมืองเปี้ยนเหลียง[5]เพิ่งจะตบมือไปได้สองครั้งก็โดนมารดาดึงหู เรียกให้กลับมาสนใจอ่างไม้ขนาดใหญ่ตรงหน้า ในนั้นมีชามกระเบื้องวางกองรวมกันสูงเป็นภูเขาเลยทีเดียว
แต่สุดท้ายก็เป็นเพราะอายุยังน้อยเกินไป การเคลื่อนไหวรวดเร็วฉับพลันเช่นนี้เผาผลาญพลังในร่างไปจนหมดในเวลาไม่นาน สองมือน้อยๆ ยันหัวเข่าหอบหายใจเฮือกใหญ่ ส่วนเจ้าจิ้งจอกที่วิ่งตะบึงตามหลังมากลับไม่เหนื่อยเลยสักนิด มันยืนสะบัดหางโอ้อวดความสง่างามของตัวเองอยู่ตรงนั้น
เพิ่งจะเริ่มหายใจได้คล่องขึ้น ก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของขนมเขาปิ่งโชยมา เป็นอย่างที่คาดไว้เขาวิ่งมาถึงหน้าร้านขนมเขาปิ่งของหนิวซานพ่าแค่นี้จริงๆ
ขณะยังไม่ทันจะเอ่ยวาจาใด ขนมเขาปิ่งชิ้นใหญ่ที่ย่างไฟจนหอมกรอบก็ลอยมาชิ้นหนึ่ง เขายื่นมือไปรับไว้ แต่ขนมชิ้นใหญ่ยังร้อนอยู่มาก เขาต้องรีบซุกมือเอาไว้ในแขนเสื้อ ถูนิ้วมือที่โดนของร้อนจัดลวกจนเริ่มปวด
พี่ใหญ่ของร้านหนิวซานพ่ายื่นศีรษะออกมาทางหน้าต่าง เขาหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหนูหยวน วันนี้ขนมเพิ่งจะย่างเสร็จใหม่ๆ เลย ข้าลืมเอาไปผึ่งให้เย็นเสียก่อน เจ้าค่อยๆ กินล่ะ”
เถี่ยซินหยวนคาบขนมเขาปิ่งไว้ในปาก ยื่นนิ้วหัวแม่โป้งแสดงความชื่นชมอีกฝ่าย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของตนต่อไป เมื่อเดินเข้ามาในบ้านของท่านอาจารย์กัว เขาก็กินขนมเขาปิ่งหมดพอดี พอเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง พบว่าเมฆก้อนนั้นหายลับไปแล้ว...
ท่านกัวที่อาศัยอยู่นอกประตูหนานซวินเป็นปัญญาชนนิสัยตรงไปตรงมาอย่างที่สุด เขาอบรมส่งสอนลูกศิษย์อย่างเข้มงวดกวดขัน ใบหน้าของเขาไม่เคยปรากฏรอยยิ้ม มีคนเล่าว่าขนาดบุตรสาวและบุตรชายแต่งงาน เขาก็ยังปั้นหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ชนิดหมื่นปีไม่เปลี่ยนแปลง
เวลานี้มีคนมากมายเดิมพันว่า ถ้าหากอยากเห็นรอยยิ้มของเขา คงต้องรอวันที่หยวนเกอเอ๋อร์สอบจอหงวนได้ก่อนกระมัง
สุดท้ายมารดาก็ไม่เลือกท่านเหลียงแห่งสะพานซ่างถู่ แต่เลือกอาจารย์ผู้เข้มงวดให้บุตรชายที่มีนิสัยดื้อรั้นของตัวเอง
เมื่อสักครู่เขาเพิ่งจะกินขนมเขาปิ่งร้อนๆ ไปชิ้นหนึ่ง เวลานี้จึงรู้สึกคอแห้งผาก พอกวาดสายตามองไปที่ห้องหนังสือ จึงเห็นว่าอาจารย์กำลังทดสอบบทเรียนลูกศิษย์คนอื่นอยู่ บุตรชายของจางต้าฮู่โดนตีอีกแล้ว แม้เถี่ยซินหยวนจะยืนอยู่ในลานบ้านก็ยังได้ยินเสียงนั้นชัดเจนทีเดียว เจ้าเด็กนี่ท่องจำวลีคู่ตรงข้ามที่อาจารย์สอนเมื่อวานไม่ได้
ในห้องหนังสือของอาจารย์มีกาน้ำชาอยู่ ซึ่งเถี่ยซินหยวนไม่ชอบดื่มชาที่ชงจากแผ่นกลม[6] เขาเบื่อหน่ายพวกที่ชอบใส่สิ่งเพิ่มรสชาติในชาที่สุด
เคราะห์ดีที่อาจารย์ไม่มีนิสัยเช่นนี้ เขาก็ไม่ดื่มชาแผ่นกลม ในกาน้ำชาใบนั้นมักจะมีใบของพืชชนิดหนึ่งที่เขาไม่รู้จักชื่อลอยเสมอ เมื่อดื่มแล้วจะมีรสชาติขมฝาด แต่รสชาติที่ติดปลายลิ้นกลับยอดเยี่ยม เถี่ยซินหยวนที่คอแห้งผากเหลือเกิน ยกกาน้ำชาขึ้นซดอั้กๆ ดับกระหายจนเกลี้ยงไปหนึ่งกา จากนั้นเขาก็เดินไปที่เตาไฟเล็กๆ แล้วยกกาต้มน้ำสีดำรินน้ำใส่กาน้ำชาจนเต็มอีกครั้ง ถึงได้เดินมาที่หน้าประตูห้องหนังสือ คารวะและทักทายอาจารย์อย่างสุภาพนอบน้อม
----------------------------
[1] บัณฑิตสำนักไท่เสวีย(太学生)เป็นบัณฑิตที่เรียนหนังสืออยู่ในสำนักไท่เสวีย(太学)สำนักศึกษาระดับสูงสุดในสมัยโบราณ
[2] สอบจอหงวน(考状元)คำว่า จอหงวนหรือจ้วงหยวน(状元)หมายถึง บัณฑิตที่สอบได้ลำดับที่หนึ่งของแคว้นในการสอบระดับสูงสุดคือเตี้ยนซื่อ(殿试)ในระบบเคอจวี่(科举制)หรือระบบการสอบเพื่อเลือกบุคคลที่มีความสามารถเป็นขุนนางในสมัยโบราณของจีน
[3] หมาก(象棋)หรือหมากรุกจีน ไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าเกิดขึ้นสมัยใด หมากแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายหมากดำและหมากแดง แต่ละฝ่ายประกอบด้วยแม่ทัพ(ขุน)(将,帅) องครักษ์(士,仕) ช้าง(相,象) ม้า(马)รถศึก(เรือ)(车) ปืนใหญ่ (炮)และพลทหาร(เบี้ย)(卒,兵)
[4] เกี๊ยวหุนตุน(馄饨)เป็นเกี๊ยวแบบทางตอนใต้ของจีน แป้งที่ห่อจะเป็นแผ่นบางและเป็นสี่เหลี่ยม ระยะเวลาที่ใช้ต้มต่างจากเกี๊ยวหรือเจี่ยวจึ(饺子)ที่คนจีนทางเหนือนิยมรับประทาน หุนตุนจะต้มเร็วเมื่อต้มสุกแล้วจะนำขึ้นเลย โดยการรับประทานไม่เน้นที่น้ำจิ้มแต่เน้นที่น้ำซุปรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม
[5] เปี้ยนเหลียง(汴梁)อีกชื่อหนึ่งของเมืองหลวงนครเปี้ยนจิง(汴京)
[6] ชาแผ่นกลม(茶饼)ลักษณะของใบชาที่ถูกบีบอัดจนเป็นแผ่นกลมเหมือนขนมเปี๊ยะ