ตอนที่ 44: เข้าพักในโรงแรม
ตอนที่ 44: เข้าพักในโรงแรม
โรงแรมในโซน 4 ของเขตการปกครองที่ 1 รองรับเฉพาะแขกมนุษย์ซึ่งเป็นทาสระดับอภิสิทธิ์ชนเช่นเดียวกับคนในชุมชน แขกมนุษย์ส่วนมากมาพักที่โรงแรมแห่งนี้ ขณะที่พวกเขาอยู่ระหว่างการเดินทางมาทำธุระให้เจ้านายจากเขตการปกครองอื่น หรือส่วนน้อย คือพวกได้รับอนุญาตให้เดินทางมาท่องเที่ยวในวันหยุด
เฮเซคียาห์ในชุดคลุมสีดำยาวปกปิดชุดหนังล่องหน ยกฮู้ดขึ้นปิดศีรษะไว้ เลือกเดินเข้ามาในโรงแรมอย่างเงียบๆ และเขาเดินตัดตรงไปที่บันไดขึ้นชั้นบนแทนที่จะติดต่อกับโต๊ะต้อนรับ
“เฮ้! นาย จะไปไหน เช็คอินหรือยัง” ผู้ดูแลส่งเสียงมา แต่ฟังดูไม่เป็นมิตรนัก
“เรียบร้อยแล้ว” เขาไม่หันหลังไป ส่งไปแต่เสียงตอบ
“แน่นะ บอกชื่อนายมาให้ตรวจสอบก่อน” น้ำเสียงของผู้ดูแลหงุดหงิด “ฉันไม่คุ้นหน้าเลย นายอยู่ห้องไหน”
ชายหนุ่มเงียบ ทำเป็นครุ่นคิด แต่จริงๆ แล้วกำลังรับข้อมูลจากบรอธ
“323”
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครใช้ห้องนั้น” คนเคร่งครัดต่อหน้าที่ท้วงติง ก้มหน้ามองด้านหน้าของเขาซึ่งคงเป็นหน้าจอแสดงข้อมูลผู้เข้าพัก “โอ๊ะ มีคนเช็คอินแล้วจริงๆ ด้วย แต่ฉันจำไม่ได้เลยว่ามีคนเช็คอินห้องนั้นเมื่อสามวันก่อน”
“ขี้ลืมเองก็อย่ามาทำให้คนอื่นเหนื่อย ฉันอยากพักผ่อน!” เฮเซคียาห์เล่นละครไปตามบทที่ได้จากบรอธ
“เดี๋ยวก่อนนะ ขี้ลืมเหรอ ฉันไม่...”
“ฉันจะฟ้องเจ้านายของฉันว่าคนดูแลโรงแรมอย่างแกทำให้หงุดหงิด ฉันเลยทำงานไม่ได้เต็มที่” เขายังไม่รู้เลยว่าบรอธเจาะเข้าระบบห้องพักแล้วแจ้งให้ใครเป็นเจ้านายของเขา แต่มันคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขาพักอยู่แค่คืนนี้ พรุ่งนี้บ่ายๆ เขาคงต้องรีบจากไป
“เอาเจ้านายมาขู่งั้นเหรอ?” ผู้ดูแลดูโกรธระคนกับอึดอัดใจ ท่าทางก้มๆ เงยๆ ของเขาเหมือนกำลังตรวจดูประวัติของเฮเซคียาห์ผ่านทางหน้าจอระบบห้องพักอยู่
“ว่ายังไง ไม่กลัวหรือไง หรือเดี๋ยวนี้เจ้านายของฉันไม่มีอำนาจอะไรแล้ว”
“ไม่ ไม่เลยครับ ชะ... ชะ... เชิญเลย” อีกฝ่ายเปลี่ยนวิธีการพูดให้ฟังดูสุภาพมากขึ้น ประวัติปลอมๆ ที่บรอธใส่ไว้ให้น่าจะใช้ข่มขู่ได้ผลอยู่ “เชิญขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ ขอโทษด้วย ขอโทษจริงๆ”
“เออ! ดี! อย่ามาทำให้ฉันรำคาญ” อดีตเจ้าชายปั้นเสียงนักเลง ข่มขู่ให้อีกฝ่ายกลัวหงอ แล้วเขารีบจ้ำเดินขึ้นบันได
“บรอธ...” เมื่อมาถึงหน้าห้อง เฮเซคียาห์กระซิบเสียงเบา
สักพักหนึ่ง บางอย่างมากระทบกับหลังรองเท้าของเขาซึ่งเป็นหนังสีดำมีริ้วสีฟ้าเข้าคู่กับชุดหนังที่สวมอยู่ด้านในเสื้อคลุมที่ขโมยมา พอเขาก้มลงไปมองก็พบว่าเป็นบรอธที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมาเองจากบนพื้น มันขยับเข้าไปแนบตัวมันเองกับผังตรวจสอบข้อมูลทางชีวภาพที่ต้องแนบมือลงไปเพื่อเปิดประตูห้อง
“ทำไมไม่บินมาดีๆ ลงไปอยู่ต่ำๆ แถวพื้นทำไม” เขาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เกิดอยู่ๆ มีคนเดินมา ไม่อยู่บนพื้นก็เห็นเข้าง่ายๆ สิ”
“ฮะๆๆ ฉันว่าแล้วเชียว ว่าแต่เป็นยังไง บนพื้นมีแมลงหรือตัวอะไรน่าขยะแขยงบ้างไหม”
“ต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
“ฉันสงสัยนะ แกรู้สึกแขยงพวกแมลงสาบหรือสัตว์อะไรตามพื้นบ้างไหม แล้วไม่เจออะไรแบบนั้นบ้างเหรอในที่พรรค์อย่างนี้”
“ที่พรรค์อย่างนี้? ที่นี่สะอาดจะตาย” บรอธไม่ดูแคลนสถานที่ไปด้วย อาจเพราะว่ามันว่าไปตามความจริงและผนวกเข้ากับเหตุผลว่ามันไม่มีอคติกับมนุษย์เหมือนกับตัวเฮเซคียาห์เอง “ไม่เจอแมลงสักตัว แต่ถ้าถามถึงไรฝุ่น ที่นี่ก็พอมี มันไม่มีโรงแรมไหนสะอาดเอี่ยมหรอก คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา”
เฮเซคียาห์ผงกศีรษะรับรู้ เขาสลัดเสื้อผ้าตัวเองออก เดินไปที่กระจก ส่องดูร่างกายของตน
“คำเตือน: อย่าเปิดการทำงานของกระจกอัจฉริยะ ไม่อย่างนั้นไลฟ์ควอตอาจตรวจสอบเจอเรา”
“รู้แล้วน่า!” เขาตอบกลับอย่างฉุนหน่อยๆ
บรอธคิดว่าเขาเป็นเด็กอมมือชาวมนุษย์หรืออย่างไร มันคิดว่าเขาจะเห่อเล่นโปรแกรมดูโหงวเฮ้งจากกระจกหรือใช้กระจกเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาให้อยู่ในลักษณะตัวการ์ตูน และโหลดเข้าสู่โปรแกรมสนทนากับสาวๆ แปลกหน้าเพื่อแก้เหงาอย่างนั้นเหรอ เขาชอบทำสิ่งประเทืองปัญญากว่านั้น อาจเป็นการนั่งดูข่าว
“เฮ้อ ในที่สุดก็ได้พักเสียบ้าง โคตรสบายเลยได้มานอนเตียงนุ่มๆ แบบนี้” พอเขาทิ้งตัวลงนอน ก็รู้สึกปลาบปลื้มกับเตียงที่เป็นนวัตกรรมปรับเปลี่ยนรูปทรงให้เข้ากับร่างกายของผู้นอน เตียงนี้สามารถตรวจหาความเหนื่อยล้าจากกล้ามเนื้อเพื่อสนับสนุนการนอนหลับอย่างเต็มอิ่มอีกด้วย
“เปิดทีวี...” เขาพูดแต่เสียงอ้อแอ้งัวเงีย
เสียงรายการโทรทัศน์ดังมาเข้าหูขณะพลิกกายตะแคงข้าง ใจยังอยากตื่น แต่ตานี่สิ อยากปิดลงอย่างเดียว
“หลับซะ ฝันดีเพื่อนยาก” บรอธคุยกับเขา และคงเอาตัวของมันมาชนเข้ากับหน้าผากของเขาด้วย เขารับรู้ได้ถึงสัมผัสเย็นๆ ของมัน
“อืม” เขาครางเสียงยาวในลำคอ คู้กายเล็กน้อย แล้วผล็อยหลับไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เตียงในเมืองหลวง ให้สัมผัสแสนสบายที่คุ้นเคย เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าแท้ที่จริงแล้วเขาโหยหามันมากขนาดนี้
ตอนเช้าที่หน้าโรงแรมมีตลาดซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เฮเซคียาห์ตื่นมาเพราะเสียงดนตรีและเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ลอดเข้ามาถึงในห้อง เขาค่อยๆ ลุกอย่างงัวเงียไปยืนข้างหน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่ ก่อนจะเปิดปากคุยกับอุปกรณ์รักษาอุณหภูมิภายในห้องให้หยุดทำงาน เพื่อว่าเขาจะได้เปิดหน้าต่างออกไป ให้ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาแทน
“ขอไปหาอะไรกินสักหน่อย” เขาเดินไปหยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวม ใส่ฮู้ดให้เรียบร้อย แล้วใส่รองเท้าคู่เดิม มองเงาสะท้อนจากในกระจก การแต่งกายของเขาดูประดักประเดิดน่าเกลียดอยู่บ้าง แต่ขณะที่กำลังกังวล บรอธที่เขาไม่แน่ใจว่าชิงออกไปจากห้องตั้งแต่เมื่อไร กลับเข้ามาในห้องทางหน้าต่าง และเทเอาชุดกับกางเกงจากในตัวมันมาให้กับเขา
“แต่ตัวให้ดี แต่งตัวเฉิ่มๆ มากไปก็จะเด่นได้”
“แกทำเรื่องดีๆ ให้อีกแล้ว ขอบคุณ” เขาพูดกับบรอธ รีบยัดตัวเองใส่เสื้อและกางเกงที่ขโมยมา
ก่อนออกจากห้องพัก เขายังคว้าชุดหนังไปพาดไว้ที่แขนด้วย โดยเลือกกดปุ่มบนชุดหนังทั้งที่ไม่ได้ใส่เพื่อให้มันอยู่ในลักษณะโปร่งใส เขาจะได้ยัดอาหารที่ขโมยลงไปใส่ในชุดหนังได้เรื่อยๆ โดยไม่มีคนเห็น วันนี้ของเขาเริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีเงินสักหน่วยเดียว บัตรประจำตัวของจัสตินไม่สามารถใช้ได้เมื่อเขากำลังปลอมเป็นมนุษย์ เพราะสีบัตรของมนุษย์จะต่างออกไปจากชาวมัสตินอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเขาใช้บัตรของชาวมัสตินที่นี่ ก็จะเป็นการเรียกความสนใจของมนุษย์ในชุมชนนี้ทันที
ชายหนุ่มลงบันไดและออกจากโรงแรม กระเพาะของเขากำลังบีบรัดตัวอย่างแรง เร่งรัดเขาให้ก้าวไวๆ
ถึงเวลาต้องเติมพลัง!!!
“ขนมปังสดใหม่ ร้อนๆ จากเตาเลย” เสียงหนึ่งเรียกความสนใจ เฮเซคียาห์ตรงไปหยิบขนมปังแท่งยาวใหญ่มาและหย่อนซ่อนไว้ในเสื้อล่องหนอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเขายังหยิบเอาไก่ทอดสูตรเคนตักกี้ บะหมี่กล่อง ข้าวราดแกงกะหรี่แบบซอง ฮ็อตด็อกห่อกระดาษ และอะไรอีกหลายอย่างตามรายทางมาใส่ยัดตามลงไปอีกเรื่อยๆ จนเสื้อซึ่งพาดแขนอยู่เริ่มหนัก และรู้สึกได้ว่ามันบวมพองออกมา
ดูท่าว่าเขาไม่ควรยัดของเข้าไปเพิ่มอีกแล้ว เขาจึงหมุนกายเดินด้วยท่วงท่าสบายๆ กลับโรงแรม
“รายงาน: มีผู้บุกรุก”
เฮเซคียาห์ที่เพิ่งมาถึงหน้าห้องตกใจ
“มันอยู่ในห้องตอนนี้เหรอ อย่างนั้นฉันว่าเรากลับไปหาที่เงียบๆ ข้างนอกสักหน่อย ฉันอยากนั่งกินอะไรดีๆ ในที่สงบๆ สักครู่ก่อน ตอนนี้ฉันโคตรหิวเลย”
“ผู้บุกรุกเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู”
“หืม? ใครกัน?” เขาไม่อาจคาดเดาตัวตนของบุคคลปริศนา
ใครกันจะอยากเดินทางมาหาเขา ทั้งที่ไลฟ์ควอตซ์ทำให้เขามีฐานะไม่ต่างจากอาชญากร
“นายจะแปลกใจ” คำพูดของบรอธฟังดูมีลับลมคมใน
“เฮ้! นายรู้สินะว่าคนที่อยู่ในห้องเป็นใคร บอกมาก่อน” เสียงของชายหนุ่มกระซิบกระซาบ เขาห่วงว่าคนที่อยู่ในห้องจะได้ยินเสียงของเขา
แต่ถึงจะพยายามเบาเสียง อีกฝ่ายก็หูดี ชายหนุ่มได้ยินเสียงเหมือนคนในห้องกำลังเดินมาที่ประตู เขาหมุนกายทำท่าเหมือนกำลังสาละวนพยายามเปิดประตูห้องฝั่งตรงข้าม แต่ก็ลืมบางอย่างเลยมัวแต่ล้วงกระเป๋าซ้าย กระเป๋าขวา เขาทำแบบนี้เพราะคำนวณว่าเขาคงวิ่งไม่พ้นสายตาของคนในห้องทันเวลา บันไดอยู่ห่างออกไปมาก
“ไม่ใช่เสด็จพี่คีห์เหรอ? หรือหูจะแว่ว”
น้ำเสียงคุ้นหูที่แหลมแสบทรวงหน่อยๆ แฝงความเอาแต่ใจดังมาจากปากของผู้บุกรุก
“พริส!” อดีตเจ้าชายมั่นใจตัวตนผู้มาเยือน เขาหมุนกายไปเผชิญหน้ากันตรงๆ
“เสด็จพี่!”
พริเซล่า เจ้าหญิงองค์สุดท้อง น้องสาวเพียงคนเดียวของเขาโผเข้ามากอดเขาแน่น
ดีที่เขายกแขนที่มีชุดหนังล่องหนพาดอยู่ออกไปไกลตัวหน่อย ไม่อย่างนั้นอาหารที่อยู่ในนั้นอาจถูกตัวของน้องสาวบดบี้เบียดจนแบนบู้บี้ไม่น่ารับประทาน
“ทำไมเธอ...? เธอมาอยู่ที่นี่คนเดียวเพื่อตามหาพี่อย่างนั้นเหรอ” เขาใช้มือข้างเดียวจับไหล่น้องสาวไว้ ออกแรงดึงแรงๆ ให้เธอถอยออกห่าง เวลาเธอกอดเขา เธอมักกอดแน่นเสียจนเขาหายใจไม่ออก เป็นแบบนี้ตลอด น้องสาวของเขาปกติติดเขาแจ
“น้องรู้ น้องรู้ว่าเสด็จพี่อยู่ที่นี่แน่ๆ น้องมั่นใจ” เธอเสียดสีร่างกายของเธอเข้ากับเขา ยิ่งกว่าลูกแมวเวลามันออดอ้อน
ใบหน้าของเธอถูไถคลอเคลียบนแผ่นอกกว้าง
ไลฟ์ควอตซ์ไม่ส่งสัญญาณเตือนเธอให้ถอยห่างเขา นี่คงเพราะเธอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์ซึ่งมีสิทธิในราชบัลลังก์ ไลฟ์ควอตซ์ให้คำแนะนำเธอได้ แต่มันไม่สามารถควบคุมเธอด้วยความเจ็บปวดได้เหมือนกับที่ทำกับชาวมัสตินทั่วไป
“เข้าไปในห้องก่อน เดี๋ยวมีพวกมนุษย์มาพบเข้า” เขาดันร่างของเธอออกห่างอีกครั้งด้วยมือข้างที่แขนยังว่างอยู่
พริริเซล่ายังไม่สังเกตเห็นบรอธ มันช่วยเปิดประตูให้พวกเขาและลอยนำเข้าไปในห้องก่อน ปากพริเซล่าตอนนี้พล่ามไม่หยุด พูดถึงแผนการหนีไปกับเขาให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ทั้งที่เขาไม่มีแผนแบบนั้นอยู่ในสมอง
“น้องน่ะ! อยากออกตามหาเสด็จพี่ ติดแต่ไม่รู้ว่าเสด็จพี่ไปอยู่เสียที่ไหน”
“ขอบใจนะ พี่เองนึกว่าเธอเกลียดพี่ไปแล้ว เพราะพี่ไม่เหมือนเดิม”
“หนูเนี่ยนะ ไม่เลย” พริเซล่ายังคงแนบกายไป ปากพูดประจบประแจงทั้งที่เขาไม่มีของกำนัลคู่ควรจะมอบให้แก่เธอแม้แต่น้อย “หนูรักพี่ที่สุด ไม่มีทางเกลียด ไลฟ์ควอตซ์พูดอะไรหนูไม่สน ต่อให้พี่กลายเป็นกบ หนูก็ยังรัก”
“โอเค ถอยไปนิดนะ พี่ต้องกินอาหารเช้าก่อน” เขาเอามือดันตัวน้องสาวออกไปห่างๆ อีกหน ขณะที่เธอพยายามจะเบียดตัวเองเข้ามากอด หอม คลอเคลียนัวเนียกับเขาไม่หยุด ผมสีเงินของเธอสวยและเป็นประกายมากกว่าเขา เช่นเดียวกับผิวขาวสว่างมีออร่า ความโดดเด่นของเธอทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอมาอยู่แถวนี้โดยไม่มีพวกมนุษย์เห็นแล้วแตกตื่นได้อย่างไร
แต่เขาก็พอเข้าใจ เขาเห็นเสื้อคลุมสีมอๆ ดูสกปรกซึ่งเหมือนไม่ใช่ของปกติที่พริเซล่าจะสวมใส่
“มีคนรู้ไหมว่าเธอมาที่นี่”
“ไม่มีเพคะเสด็จพี่ ไม่ได้บอกใคร และน้องหลอกว่าอยากใช้สมาธิปักผ้าเป็นลายที่คิดขึ้นเองเพื่อจะส่งไปเป็นของขวัญ เลยไม่มีคนกล้าเข้ามาหาน้องในห้องแน่” พริเซล่ายิ้มหวาน แต่เห็นเธออ่อนหวานแบบนี้ พวกข้าราชบริพารต่างกลัวเธอหัวหด เพราะถ้าเธอไม่ได้ดั่งใจ เธอมักลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุเสมอ ถ้าเป็นชาวมัสตินก็รอดไป ตายแล้วฟื้นได้ แต่สำหรับมนุษย์ พวกเขาซวยหนักเพราะไม่ได้มีหลายชีวิต
“พี่ต้องการเข้าเฝ้าเสด็จแม่”
“เสด็จแม่ทรงเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ให้ใครพบทั้งนั้น”
“เฮซทำอะไรลงไป ทำไมเสด็จแม่ซึ่งทรงกุมอำนาจเบ็ดเสร็จถึงได้ปล่อยให้เฮซมีอำนาจมากขึ้นจนไม่ต่างจากพี่ในสมัยก่อน” เฮเซคียาห์โล่งใจจริงๆ ที่เขาเจอพริเซล่าและได้ตั้งคำถามที่รู้ว่าจะได้รับคำตอบกลับมาบ้าง
“เสด็จแม่ทรงแสดงความรับผิดชอบที่ทำให้เผ่าพันธุ์ต้องเสี่ยงภัยจากการปล่อยพี่ไป” น้ำเสียงของพริเซล่ากระแทกกระทั้น “มันเป็นสิ่งที่ไอ้พี่ชายเฮงซวยเรียกร้อง มันบอกกับเสด็จแม่ว่า ถ้าไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบด้วยการแต่งตั้งมันเป็นผู้สำเร็จราชการและคอยดูอยู่เฉยๆ มันจะแฉเรื่องของพี่ทั้งหมด เรื่องที่พี่เปลี่ยนเป็นมนุษย์ แทนที่จะปล่อยให้รู้กันแค่ในหมู่พี่น้อง และพวกสมุหเสนาบดี แล้วมันจะปั่นกระแสเพื่อให้คนโหวตเห็นด้วยในการส่งคนออกไปลากคอพี่กลับมา แล้วฆ่าพี่ซะ”
“เธอจะบอกว่า เพราะเสด็จแม่ให้อำนาจกับเฮซไป เลยไม่มีคนออกไปตามล่าพี่อย่างนั้นเหรอ”
“หรือไอ้คนเฮงซวยนั่นผิดคำพูด ถ้าเขาผิดคำพูด น้องจะฟ้องเสด็จแม่” พริเซล่าทุบกำปั้นของเธอลงกับเตียง ท่าทางเคืองโกรธพี่ชายคนรอง
เฮเซคียาห์หยิบไส้กรอกออกมาจากระดาษ และกัดเข้าไปคำโต
“หืม? เสด็จพี่ทรงเสวยอะไรเพคะ ของพรรค์นั้นจากตลาด...”
“ไม่ได้แย่หรอกนะ ก็รสชาติดีทีเดียว” เขายิ้มแหย สิ่งที่บอกเกิดจากการเปรียบเทียบมันกับอาหารในป่า
“หยึย! น้องว่าของพวกนี้ไม่ดีนะ เดี๋ยวเรารีบกลับเข้าวังไปด้วยกันเถอะค่ะ น้องจะหาอะไรอร่อยๆ ให้กิน”
“เราจะกลับกันยังไง น้องมายังไงนะ”
“ยานจอดห่างไปยี่สิบกิโลเมตรค่ะ เดี๋ยวน้องอุ้มเสด็จพี่ไปก็ได้”
“...”
“เสด็จพี่เป็นมนุษย์ไปแล้ว เดินเองคงช้าน่าดู น้องจะไม่ให้พระองค์ต้องเหนื่อยยากลำบาก” พริเซล่ายิ้มกว้าง ดูมีความสุขเป็นอย่างมากต่อสิ่งที่กำลังพูดอยู่ ขณะที่เฮเซคียาห์ซึ่งหยิบเอาไก่ทอดออกมาเคี้ยวกร้วมๆ รู้สึกว่าความคิดของเธอไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
เขาโยนไก่คำโตเข้าไปในปาก และฉับพลันไอออกมาเพราะสำลัก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใคร” เขาตะโกนถาม สลับกับไอ สำลักไก่ ทางด้านน้องสาวรีบกุลีกุจรเทน้ำจากขวดใส่แก้ว มายื่นให้กับเขา
ผู้มาเยือนหน้าห้องไม่มีการโต้ตอบ
เฮเซคียาห์รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เขาห่วงว่าคนนอกห้องจะเป็นศัตรู