DC บทที่ 42: รถม้าทอง
เมื่อซูหยางหมุนตัวและเดินออกไป ชายร่างใหญ่ก็ระเบิดความโกรธออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ
ชายร่างใหญ่เป็นผู้ฝึกปราณเขตคัมภีร์วิญญาณระดับสามและไม่เคยถูกใครหมิ่นมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงคนจากนิกายหน้าด้านกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“เจ้าเด็กเลว เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร” ชายร่างใหญ่พลันโถมเข้าหาซูหยางจากตรงนั้นคล้ายกับเสือพร้อมกับขวานเหล็กที่ยกขึ้นสูงไปบนอากาศ
ขวานเหล็กเหวี่ยงลงมาใส่ศีรษะซูหยางอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามก่อนที่ขวานจะสัมผัสกับเส้นผมของซูหยางเพียงแค่นิ้วเดียว ซูหยางพลันหมุนตัวอย่างรวดเร็วและดึงกระบี่ออกจากฝักข้างเอว
ประกายแสงวาบเปี่ยมด้วยแรงกดดันอันกราดเกรี้ยวเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
เมื่อกลุ่มคนด้านหลังชายร่างใหญ่รับรู้ถึงรังสีสังหาร ขาของพวกเขาพลันหยุดก้าวร่างกายพลันสั่นสะท้านราวกับต้องลมหนาว แม้ว่าแรงกดดันจะมีอยู่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่จะหายไป มันก็พอเพียงที่จะทำให้ทุกคนที่นั่นรวมถึงม้าลากรถหยุดการเคลื่อนไหว
ในเวลานั้นหลังจากรังสีสังหารหายไปแล้วชายร่างใหญ่ที่หยุดชะงักกลางอากาศพลันเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาเริ่มล้มลงด้านหลังราวกับรูปปั้นหิน
ร่างกายล้มลงอย่างช้าๆทำให้ดูเหมือนกับว่ามันใช้เวลาชั่วกัลป์ท่ามกลางสายตาของทุกคน สุดท้ายเมื่อร่างสัมผัสกับพื้นทุกคนที่นั่นพลันแตกตื่นเมื่อพบว่าศีรษะของชายร่างใหญ่หายไปจากร่างของเขา
บางคนในกลุ่มพลันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อพวกเขาพบว่ามีเงาหมุนเหวี่ยงอยู่ในอากาศ เมื่อสังเกตเห็นว่ามันคือศีรษะของชายร่างใหญ่ที่หมุนติ้วอยู่กลางอากาศพวกเขาพลันกรีดร้องด้วยความสยดสยอง ยิ่งกว่านั้นศีรษะกลางอากาศยังมีอาการโกรธเกรี้ยวของชายร่างใหญ่ก่อนจะตาย
ซูหยางเก็บดาบคืนฝักในเวลาเดียวกับที่ศีรษะชายร่างใหญ่ตกลงมาสัมผัสพื้น เขามองไปยังกลุ่มคนที่สับสนอย่างเยือกเย็นพร้อมรอยยิ้มสดใส กล่าวว่า “ในเมื่อพวกเราล้วนไปที่เดียวกันด้วยเจตนาเหมือนกัน ทำไมเรามิหยุดทำอะไรโง่เขลาเช่นนี้ก่อนที่ข้าจักปูถนนด้วยซากศพ ถึงแม้ข้าจะมิรังเกียจถ้าได้อุ่นร่างกายก่อนที่จะเริ่มล่าที่หุบเขาฟ้าคำรามก็ตาม…”
ฝูงชนพากันพยักหน้ากับคำแนะนำของเขาขณะพยายามกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พวกเขาไม่เคยเจอใครที่น่ากลัวเหมือนชายหนุ่มจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิส้ยคนนี้มาก่อน ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ต่อหน้าปีศาจ
“เยี่ยม” ซูหยางพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเรามาทำให้การเดินทางนี้คุ้มกับเวลาที่เสียไป...” เขาหันกายและเริ่มเดินอีกครั้ง
เงาร่างซูหยางหายไปจากคลองจักษุของกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขายืนยันชัดเจนว่าซูหยางจากไปแน่นอนแล้ว กลุ่มคนต่างพากันนั่งก้นจ้ำเบ้าร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ
“น..นั่นใครหรือนั่น ข้ามิเคยได้ยินว่ามีคนน่ากลัวเช่นนี้อยู่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาก่อน”
“ใครเป็นคนพูดวะ ว่าเขาเป็นเพียงแค่ศิษย์นอก นี่มันแข็งแกร่งมากพอที่จะเป็นศิษย์ในของนิกายข้าได้เลย...ไม่ แม้ศิษย์หลักก็ยังเป็นได้”
กลุ่มคนพากันเดินทางต่อโดยไม่ชักช้าแม้ว่าหัวหน้ากลุ่มจะตกตายไปอย่างกระทันหัน ใช่ว่าพวกเขาจะกลับบ้านได้เมื่อมาถึงที่นี่ อีกทั้งยังมีความร่ำรวยที่พวกเขาจะได้รับจากการล่าแมวสายฟ้ารออยู่
นี่เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ มันไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติถ้าผู้ทรงพลังเช่นชายร่างใหญ่จะตายลงจากความพ่ายแพ้เพราะว่าต้องมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ
–
–
–
เวลาผ่านไปสี่วันอย่างรวดเร็ว
ซูหยางใช้เวลาเดินทางมาสี่วันแล้วโดยไม่ได้พัก แต่เขาก็ยังสบายดีเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
“หืม” เขาพลันสังเกตเห็นรถม้าที่ดูแพงจากระยะทางไกล มันถูกห้อมล้อมไปด้วยชายในชุดเกราะขี่ม้า
รถม้าทั้งคันจัดสร้างจากทองและหยกราคาแพงแผ่รัศมีอันประณีตสวยงามเหมือนกับเป็นวัตถุของชนชั้นสูง บนรถม้ามีชายชราในชุดเทานั่งขัดสมาธิอยู่เหมือนกำลังฝึกวิชา
แม้ว่าซูหยางจะไม่สามารถตรวจสอบพลังการฝึกปรือของชายชรา แต่เขาสามารถคาดเดาได้จากประสบการณ์โดยตรง
“เขตอัมพรวิญญาณ…อะไรที่ทำให้คนที่มีระดับเช่นเขาต้องมาแถวนี้ นั่งอยู่บนรถม้าเหมือนเป็นผู้คุ้มกัน” เขาประหลาดใจ
แล้วคนที่อยู่ข้างในรถม้าล่ะ ใครจะมีสถานะสูงพอที่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญเขตอัมพรวิญญาณมาทำหน้าที่คุ้มครองในโลกมนุษย์นี้ เมื่อพวกเขาล้วนถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงสุด
ซูหยางรู้สึกทึ่งกับรถม้าสีทองและการคุ้มกันที่แน่นหนา แต่เขาไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง เขาจึงเพิกเฉยและเดินตามไปด้านหลังอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นสักพัก ผู้คุ้มกันก็สังเกตเห็นซูหยางติดตามพวกตน
“ผู้อาวุโส พวกเราควรทำอะไรกับเด็กน้อยนี้หรือไม่ เขาตามพวกเรามาพักใหญ่แล้ว” หนึ่งในกลุ่มผู้คุ้มกันโดยรอบกล่าว
ผู้ชราค่อยเปิดตาหันไปมองซูหยาง อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพยายามตรวจสอบซูหยาง ชายชราพลันประหลาดใจที่พบว่าเขาไม่สามารถตรวจสอบพลังการฝึกฝนของอีกฝ่ายได้ รู้สึกเหมือนเขากำลังมองไปยังกลุ่มหมอกควันรูปมนุษย์ อย่างไรก็ตามแม้ว่าซูหยางจะมีตัวตนที่ลึกลับ แต่ชายชราก็ไม่พบความรู้สึกคุกคามหรือความมุ่งร้ายใดจากซูหยาง
“ไม่ต้องสนใจเขา...” เขาพูดหลังจากนั้นชั่วครู่
บรรดาผู้คุ้มกันพากันพยักหน้าและไม่คิดที่จะเข้าหาซูหยางอีกต่อไป อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงให้ความสนใจกับเขาอยู่เผื่อว่าเขาจะมีท่าทางน่าสงสัยใด
“ช่างเป็นชายหนุ่มที่น่าสนใจ...” ชายชรายิ้มให้ตนเองก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้ง
ผมอ่านคอมเมนต์ของฝรั่ง เขาเล่าเรื่องตลก ก็เลยนำมาแบ่งปัน
เจ้าสาวบอกกับสามี “ที่รักคุณก็รู้ว่าฉันเป็นสาวพรหมจารีและฉันไม่รู้เกี่ยวกับเรื่อง *** เลยแม้แต่น้อย คุณช่วยอธิบายให้ฉันก่อน”
“ได้เลยหวานใจ เอาแบบง่ายๆ เราจะเรียกของลับเธอว่า”คุก“และเรียกของลับผมว่า”นักโทษ“ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือเอานักโทษใส่เข้าไปในคุก”
และพวกเขาก็มีเพศสัมพันธ์เป็นครั้งแรกซึ่งสามีก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ
สะกิดเขาแล้วเจ้าสาวก็หัวเราะคิกคัก “ที่รัก นักโทษดูเหมือนจะหนีออกมาแล้ว”
เขาหันไปด้านข้าง ยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นเราต้องจับเขาเข้าคุกอีกครั้ง”
หลังจากครั้งที่สอง เจ้าสาวก็พูดขึ้น “ที่รักนักโทษหนีออกมาอีกแล้ว”
สามีได้โอกาส และพวกเขาก็มีอะไรกันอีกครั้ง
เจ้าสาวก็พูดอีก “ที่รัก นักโทษหนีอีกแล้ว” ซึ่งทำให้สามีถึงกับตะโกนว่า
“เฮ้ นี่ไม่ใช่การจำคุกตลอดชีวิตนะ”