บทที่ 27 โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน (3)
บทที่ 27 โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน (3)
แม้จะรู้สึกว่าอาจารย์หญิงคนนี้ค่อนข้างประหลาดไปบ้าง แต่อินจู๋ก็ยังทำตามที่เธอพูด เหรียญทองที่มีติดตัวลดลงครึ่งหนึ่งในทันที
“อาจารย์ครับ ห้องสอบอยู่ที่ไหน?”
“ข้าพาเจ้าไปเองแล้วกัน น่าจะไม่มีใครมาลงสมัครนักเทวคีตแล้ว หลายวันก่อนจุดรับสมัครของคนอื่นเขามีคนตั้งเยอะแยะ มีแต่ข้านี่แหละมีอยู่ไม่กี่คน มากับข้า”
พอเดินออกมาจากจุดรับสมัคร อาจารย์หญิงก็ชะงักฝีเท้า สองมือประกบเข้าหากันตรงหน้าอก นิ้วชี้วาดไขว้กันเป็นรูปดาวหกแฉก ก่อนร่ายมนต์สองสามประโยคเบาๆ ลำแสงสายหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากบริเวณอกของเธอ ทำให้ดาวหกแฉกที่นิ้วเธอวาดออกมาถูกย้อมเป็นสีส้มสดใส ลำแสงประกายวาบ ร่างใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ
นั่นคือวิลเดอร์บีสต์ แต่แตกต่างจากที่อินจู๋เคยขี่ก่อนหน้านี้ วิลเดอร์บีสต์ตัวนี้มีสีขาว และใหญ่กว่าวิลเดอร์บีสต์ที่เขาเคยขี่ก่อนหน้านี้ถึงสามเท่า ลำตัวยาวห้าเมตรกว่า ความสูงก็เกือบสองเมตร ลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัวเห็นชัดว่าไม่ใช่แบบที่สัตว์เวทขั้นหนึ่งจะมีได้ เมื่อปรากฏตัวขึ้น มันก็ก้มตัวลงอย่างว่าง่าย ให้อาจารย์หญิงคนนั้นขึ้นไปขี่
“อาจารย์ นี่คือสัตว์เวทของอาจารย์เหรอครับ?”
“ใช่ ข้าชื่อว่าบริดเจต เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์บริดเจตก็ได้ ขึ้นมาสิ ถ้าเดินเอาต้องใช้เวลาไม่น้อย ขี่ม้าจะเร็วกว่า”
อินจู๋ก็ไม่เกรงใจ พลิกตัวขึ้นหลังม้าทันที เนื่องจากลำตัวของวิลเดอร์บีสต์เผือกตัวนี้ยาวมาก ดังนั้นพอเขาขึ้นมาแล้วจึงไม่สัมผัสโดนร่างกายของบริดเจตข้างหน้า วิลเดอร์บีสต์ลุกยืนขึ้น ควบตะบึงไปข้างหน้าตามที่บริดเจตนำทาง แม้ว่าความเร็วสูงมาก แต่ขณะนั่งอยู่ข้างบนกลับไม่รู้สึกสะเทือนรุนแรงแต่อย่างใด ราบรื่นและสะดวกสบาย
“อาจารย์ ขี่สัตว์เวทในโรงเรียนได้เหรอครับ?”
“แน่นอน พื้นที่ของโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานเท่ากับหนึ่งในห้าของเมืองมิลาน ถ้าแค่ใช้ขาเดินเอา เอกนักรบพวกนั้นยังพอว่า แต่พวกนักเวทอย่างเราจะทำยังไง เจ้าเผือกของข้าเป็นวิลเดอร์บีสต์หยกขั้นสาม หายากมาก พลังทนทานยอดเยี่ยม”
“ขั้นสาม? นักเวทมีสัตว์เวทขั้นต่ำได้ด้วยเหรอครับ?” อินจู๋มองบริดเจตข้างหน้าอย่างประหลาดใจ อันยาเคยบอกเขาว่า เนื่องจากสัตว์เวทมีความสำคัญต่อนักเวท โดยทั่วไปแล้ว นักเวทจะรอจนกว่าพลังเวทมนตร์ของตัวเองเลื่อนขั้นไปถึงระดับหนึ่งแล้วจึงค่อยกำหนดสัตว์เวทของตัวเอง ส่วนสัตว์เวทของนักรบก็ทำพันธสัญญาเช่นกัน แต่ไม่สามารถอัญเชิญสัตว์เวทของตัวเองมาอยู่ตรงหน้าเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนนักเวท แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พันธสัญญาระหว่างนักรบกับพาหนะตนเองกลับไม่ถาวรเหมือนพันธสัญญาของนักเวท ตลอดชีวิตมีเพียงตัวเดียว หากสัตว์เวทตาย นักรบยังมีโอกาสทำสัญญากับสัตว์เวทตัวใหม่ได้ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนตามที่กำหนด
บริดเจตแค่นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ถึงข้าจะเป็นนักเวท แต่ก็เป็นแค่นักเทวคีตระดับแสดเท่านั้น นักเทวคีตอย่างเราไม่จำเป็นต้องสู้รบ เดินแทนเท้าได้ก็พอแล้ว ถ้าเจ้าตั้งความหวังว่าต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้ ตอนนี้ไปเปลี่ยนสาขาวิชาที่สมัครก็ยังทันนะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ข้าเลือกนักเทวคีต” อินจู๋นิ่งเงียบไป ผ่านการทำความรู้จักกับอันยา และอาจารย์บริดเจตตรงหน้า เขาก็เข้าใจฐานะของนักเทวคีตในทวีปลองกินุสอย่างแจ่มแจ้ง มิน่าล่ะคนที่เลือกอาชีพนี้ถึงน้อยขนาดนี้
พอวิลเดอร์บีสต์หยกอ้อมโค้งหลายโค้งมาตามถนนใหญ่ ทิวทัศน์เบื้องหน้าพลันกระจ่างชัดขึ้นมา อาคารใหญ่โตจำนวนมากและพื้นที่ว่างผืนใหญ่ค่อยๆ ปรากฏแก่สายตาของอินจู๋ จำนวนนักเรียนก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ บริดเจตกระตุ้นวิลเดอร์บีสต์หยกมาหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารทรงกลม “ถึงแล้ว ที่นี่คือหอประชุมใหญ่ของพวกเราเอกเทวคีต”
ไม่รอให้อินจู๋สำรวจอาคารเบื้องหน้าอย่างถี่ถ้วน บริดเจตก็พาเขาเดินเข้าไปในหอประชุมใหญ่ หอประชุมไม่นับว่าใหญ่ จุคนได้ประมาณห้าร้อยคน แต่คนที่นั่งอยู่ในที่นี้กลับมีเพียงแค่สี่สิบกว่าคน จึงแลดูว่างเปล่า เนื่องจากอินจู๋และบริดเจตเข้าหอประชุมจากด้านหลัง จึงเห็นแต่แผ่นหลังของคนเหล่านี้ เหมือนอย่างที่อินจู๋เดาไว้ไม่ผิด ทั้วหมดเป็นผู้หญิง บนโต๊ะตรงหน้าเด็กสาวทุกคนต่างก็วางเครื่องดนตรีของพวกเธอเอง
บนเวทีด้านในสุดของหอประชุมขณะนี้มีเด็กสาวแค่คนเดียว เธอนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้เก่าแก่โบราณ บนโต๊ะไม้วางกู่เจิงตัวหนึ่งเอาไว้ เด็กสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวเหมือนกับอินจู๋ เธอมีผมสีดำเช่นเดียวกัน เพราะก้มหน้าทดลองเสียงกู่เจิงอยู่ ผมสีดำของเธอจึงบดบังใบหน้าตัวเองไว้มิดชิดจนอินจู๋ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาเธอ แต่มือทั้งสองของเธอที่กำลังดีดกู่เจิงกลับดึงดูดความสนใจของอินจู๋อย่างเต็มเปี่ยม
นั่นคือมืออันเนียนนุ่มดุจต้นหอมฤดูใบไม้ผลิ นิ้วมือบอบบางและเรียวยาว แม้แต่หยกขาวเจียระไนก็ยังไม่เกลี้ยงเกลาเปล่งปลั่งเท่าสองมือสิบนิ้วของเธอ บนนิ้วมือทุกนิ้วไว้เล็บยาวประมาณหนึ่งนิ้ว แวววาวราวกับคริสตัล ระหว่างที่นิ้วดีดลงแผ่วเบา ท่วงท่ากลมกลืนเป็นธรรมชาติล้วนสง่างามจับใจ
“หาที่นั่งเถอะ การสอบเข้าเรียนกำลังจะเริ่มแล้ว” บริดเจตเอ่ยกับอินจู๋
“อาจารย์บริดเจต จะเข้าเรียนต้องสอบอะไร?”
บริดเจตหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าแค่ต้องฟังเธอดีดเพลงหนึ่ง แล้วการสอบก็จะเสร็จสิ้น” พูดจบเธอก็เดินตรงไปนั่งอยู่ที่มุมข้างๆ
อินจู๋มองไปรอบด้าน ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวาบ เขามองเห็นพิณโบราณตัวหนึ่ง โดยแทบจะไม่ต้องลังเลอะไร เขารีบสาวเท้าเดินไปนั่งลงข้างๆ เด็กสาวที่มีพิณคนนั้น สายตาไม่ผละออกจากพิณตรงหน้าอีกเลย พิณสำเนียงหยก นี่มันพิณสำเนียงหยก!
“อินจู๋ พิณโบราณเป็นเครื่องสายประเภทดีดที่เก่าแก่ที่สุด เป็นสมบัติแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิม เรียกได้ว่าเป็นยอดแห่งเครื่องดนตรี พิณโบราณห้าตัวที่สำนักพิณเรามี ล้วนเป็นยอดพิณแห่งยุค แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะเราไม่มีพิณโบราณที่เรียกได้ว่าเป็นอาวุธวิเศษจริงๆ ถ้าเจ้าพบยอดพิณตัวอื่น จะต้องเอามันมาให้ได้ โดยเฉพาะยอดพิณแห่งยุคห้าตัวในตำนาน นั่นเทียบเท่ากับการมีอาวุธวิเศษ”
“ปู่ฉิน งั้นยอดพิณมีอะไรบ้างล่ะ?”
“ยอดพิณมีหลายแบบ แบ่งออกเป็นหลากหลายชนิด เช่นทรงเทพมังกร ทรงสร้อยมุก ทรงพิณจันทร์ ทรงชาญปัญญา ทรงลีลาหงส์เป็นต้น...”
คำพูดของฉินซางแล่นเข้ามาในหัว พิณสำเนียงหยก แม้ไม่อาจเทียบกับอาวุธวิเศษอย่างยอดพิณแห่งยุค แต่ก็เป็นยอดพิณระดับเดียวกับพิณวสันตอัสนีเชียวนะ!
ขณะนี้เด็กสาวข้างหน้าพิณหันมามองอินจู๋ ตอนที่รู้ว่าคนที่นั่งข้างๆ กลับเป็นผู้ชาย ก็อดอ้าปากค้างเล็กน้อยอย่างประหลาดใจไม่ได้ เธอสวมชุดกางเกงขายาวสีฟ้าอ่อน ผมยาวสีเดียวกันปรกอยู่บนบ่านิ่งๆ แม้ไม่ได้งดงามจนน่าตื่นตะลึงแบบอันยา แต่ความอ่อนโยนบนใบหน้ายังคงทำให้รู้สึกประทับใจได้ง่าย โดยเฉพาะนัยน์ตาสีท้องฟ้าของเธอ แม้ว่ากำลังประหลาดใจ แต่สายตาก็ยังคงอ่อนโยนอย่างยิ่ง
ในขณะนั้นเองเสียงกู่เจิงก็ดังขึ้น เพียงชั่วขณะทั้งหอประชุมก็สั่นสะเทือน สายตาของอินจู๋ที่จดจ้องอยู่บนพิณสำเนียงหยกก็ถูกดึงกลับมา
รูปลักษณ์ภายนอกของกู่เจิงคล้ายกับพิณโบราณ แต่ใหญ่กว่าพิณโบราณมาก สายก็เยอะเช่นกัน ทั้งหมดยี่สิบเอ็ดสาย เสียงงดงามแจ่มชัด ก้องกังวานแหวกฟ้า ทั้งยังควบคุมได้ง่ายกว่าพิณโบราณ ฉินซางเคยบอกกับอินจู๋ว่าในบรรดาเครื่องดนตรีโบราณทั้งหลาย พิณเป็นราชาและกู่เจิงเป็นราชินี พิณนอกจากขลุ่ยแล้วก็ยากจะบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น ส่วนกู่เจิงกลับสามารถบรรเลงร่วมหรือบรรเลงผสมกับเครื่องดนตรีใดก็ได้ เสียงของกู่เจิงค่อนข้างกังวานไพเราะกว่าพิณโบราณ ความกว้างของช่วงเสียงยังกว้างกว่าอีกด้วย แต่บุคลิกสุขุมสง่างามและเสียงสะท้อนเวียนวนยาวนานนั้นน้อยกว่าพิณโบราณ
ขณะนี้ ชั่วพริบตาที่เสียงบรรเลงกู่เจิงของเด็กสาวบนเวทีเริ่มดังขึ้น เสียงกู่เจิงดั่งธารไหลในเขาสูงก็เจือรัศมีสีส้ม ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนในหอประชุมคล้อยตามไปพร้อมกัน ท่ามกลางเสียงกู่เจิงอันใสกังวานและเปี่ยมด้วยความไพเราะเจือกลิ่นอายโศกเศร้าเล็กน้อย มือหยกเรียวยาวของเธอขยับกลิ้งสะบัดไปบนสายกู่เจิง รัศมีสีส้มที่เปล่งออกมาท่ามกลางเสียงกู่เจิงส่องกระทบกันเป็นแสงโชติช่วง เสียงกู่เจิงประหนึ่งด้ายวิญญาณ ชักนำจิตวิญญาณของทุกคน
……………………………………….