บทที่ 27 ของเล่นชิ้นโปรดของฉัน
บทที่ 27 ของเล่นชิ้นโปรดของฉัน
สือเสี่ยวไป๋ ตัดสินใจรับฟังความคิดเห็นของหลิงฉุน ปกปิดตัวตนของตัวเอง ถึงได้มั่วตั้งชื่อเชยแหลกอย่าง “ถู่ต้าเฮย” ปะปนเข้าเป็นสมาชิกทีมสีแดงกับคนทั้งสองได้สำเร็จ
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี เป็นเวลาพักผ่อนที่มีค่ายิ่งของเด็กใหม่ แต่หลิงฉุนกลับแนะนำให้สือเสี่ยวไป๋ ใช้ช่วงเวลานี้ไปพบกับอาจารย์ซีซือสักหน่อย เพื่ออธิบายเหตุผลที่ตนเองโดดการฝึกอบรมหลายวัน ด้วยเหตุนี้คนทั้งสามจึงรีบเคลื่อนตัวไปยังสนามฝึกอบรมเด็กใหม่ทันที
เย่เจียเฉวียนไม่ได้สงสัยตัวตนและชื่อของสือเสี่ยวไป๋แม้แต่น้อย ในสมองแสนทึ่มของเขาถูกยัดไปด้วยเรื่อง “หัวหน้าสือเสี่ยวไป๋ อาจจะอยู่ข้างกายพวกเขา” และ “ทีมสีแดงมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกคน” แค่สองเรื่องนี้ก็อัดแน่นเต็มสมองแล้ว เขาทำได้เพียงยิ้มหน้าบานอย่างซื่อๆ บางครั้งก็เผลอหัวเราะคิกคักออกมา
ตลอดทาง หลิงฉุนมักจะหาเรื่องมาสนทนากับสือเสี่ยวไป๋ หลักๆ จะพูดถึงเรื่องที่ควรระวัง เช่นข้อห้ามใหญ่ๆ ของอาจารย์ซีซือ บุคคลที่ไม่ควรไปหาเรื่องด้วยในกลุ่มเด็กใหม่รอบนี้ และการกระจายกำลังในวงเด็กใหม่ของหน่วย [ผู้ทำลาย]
“เด็กใหม่ของหน่วย [ผู้ทำลาย] รอบนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองทีมคือทีมสีแดงและทีมสีฟ้า ทีมสีฟ้านับว่าอยู่เหนือกว่ามาโดยตลอด อีกทั้งหัวหน้าทีมของพวกเขามีแต่ผู้แข็งแกร่งขั้นปฐมจิตชั้นสี่ทั้งนั้น ดังนั้นความสามัคคีของพวกเขาจึงสูงมาก เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่พวกเราทีมสีแดงกลับแตกแยกกันเองภายใน”
หลิงฉุนถอนหายใจเฮือกก่อนอธิบายว่า “เพราะความเห็นต่างกันเรื่องคะแนนเสียง ทีมสีแดงในตอนนี้จึงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดคือกลุ่มของซ่งเซียว และกลุ่มที่พยายามเลี่ยงการปะทะกับพวกเขาก็คือฉันและเย่เจียเฉวียนซึ่งอยู่กลุ่มของหานเฟิง ที่เหลือคือกลุ่มที่อ่อนแอสุดเป็นพวกที่เห็นว่าการลงคะแนนเสียงควรเป็นสิทธิส่วนบุคคล เป็นพวกที่เห็นต่างไม่ยินยอมเข้าร่วมกลุ่มใด”
“ความขัดแย้งภายในของทีมสีแดงหลังการลงคะแนนเสียงโหวตคนออกถึงสองครั้งได้ทวีความรุนแรงขึ้น จนถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ แม้ว่าซ่งเซียวจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทีม แต่ส่วนตัวฉันไม่เห็นด้วยกับวิธีการปฏิบัติของซ่งเซียวที่สุด ดังนั้นจึงไม่หวังให้นายเข้าร่วมกลุ่มของซ่งเซียว ทว่าเมื่อเข้าร่วมทีมสีแดงแล้ว นายอยากจะเข้ากลุ่มไหน พวกเราต่างเคารพการตัดสินใจของนาย”
สือเสี่ยวไป๋ ได้ฟังคำอธิบายของหลิงฉุน ก็พยักหน้าเบาๆ บางครั้งก็ส่งเสียง “อ้อ” เป็นการตอบรับบ้าง แม้ว่าท่าทางของสือเสี่ยวไป๋ ดูไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไร แต่หลิงฉุนก็ยังคงอธิบายเรื่องที่ควรระวังต่ออย่างอดทน
ความจริงแล้วสือเสี่ยวไป๋ ฟังไม่ค่อยจะเข้าหูสักเท่าไร เพราะเขากำลังคิดบางเรื่องที่สำคัญกว่าอยู่ เช่นเรื่องที่เย่เจียเฉวียนชกอากาศจนกำแพงเหล็กเป็นหลุมนั้น เขาทำได้อย่างไร? เรื่องที่หลิงฉุนโผล่มากลางอากาศนั้น เขาใช้วิธีการไหนกัน?
“กระทิงเหล็กอยู่แค่อันดับที่ 3 ของทีมสีแดง ไม่ได้อยู่ในห้าอันดับต้นๆ ของเด็กใหม่หน่วย [ผู้ทำลาย] ด้วยซ้ำ แต่แค่หมัดของเขา ก็มองไม่ออกแล้ว!”
สือเสี่ยวไป๋ นึกถึงการกระจายกำลังของสองทีมที่หลิงฉุนอธิบาย พลันเกิดแรงกดดันมหาศาล
“ดูไปแล้วยัยซาดิสม์ไม่ได้หลอก เกรงว่าในจำนวนเด็กใหม่รอบนี้ข้าจะอยู่ท้ายแถว”
สือเสี่ยวไป๋รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมรับความอ่อนแอของตัวเอง ทอดสายตามองไปยังชายหนุ่มผมเงินและชายนักกล้ามผู้ซื่อสัตย์ข้างกาย ในสมองพลันมีคำพูดประโยคหนึ่งแล่นขึ้นมา “บางทีสือเสี่ยวไป๋ อาจจะอยู่ข้างกายพวกเรามาโดยตลอด” ทันใดนั้นหน้าอกก็อุ่นวาบ
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ครั้งนี้ข้าต้องใช้ความพยายามสัก 1% ละกัน เป็นสือเสี่ยวไป๋ที่จริงจัง คนที่ขนาดตัวเองยังต้องรู้สึกกลัว”
“วู้ว ฮะฮ่า จงหัวเราะเถิด! ตื่นเต้นเถิด! บรรดาเด็กใหม่แห่งหน่วย [ผู้ทำลาย] ราชาของพวกเจ้ามาแล้ว!” สือเสี่ยวไป๋ คิดดังนี้ ครู่เดียวก็ปัดความกดดันในใจไปจนหมด เฝ้ารอการฝึกอบรมเด็กใหม่ที่ใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้น
......
ห้องเหล็กสำหรับซ้อมมวยของเย่เจียเฉวียนห่างจากสนามฝึกอบรมเด็กใหม่ไปไม่ไกล คนทั้งสามเดินเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงเป้าหมายแล้ว ระหว่างนั้นได้พบกับผู้คนไม่น้อย แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล่าวทักทายเย่เจียเฉวียนนิดหน่อย มีบ้างที่มองมายังสือเสี่ยวไป๋ อย่างใช้ความคิด แต่สำหรับหนุ่มหล่อไร้ที่เปรียบอย่างหลิงฉุนกลับถูกเมินอย่างกับนัดหมายกันมา
สือเสี่ยวไป๋แอบหัวเราะเยาะหนุ่มน้อยผมเงินในใจอยู่ครู่หนึ่งว่าเขาไม่ได้เป็นที่นิยมในหมู่ประชาสักเท่าไร แต่ว่าความสนใจของเขากลับถูกสนามฝึกอบรมเด็กใหม่ตรงหน้าดึงไปอย่างรวดเร็วเสียนี่
เบื้องหน้าคือสนามกีฬาที่ปูด้วยเหล็กกล้าขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอลสิบแห่งรวมกัน พื้นสนามกีฬาใต้ดวงอาทิตย์สะท้อนแสงเรืองรองอันร้อนระอุ มีสังเวียนขนาดยักษ์หลายเวทีกระจายอยู่ในนั้น
รอบๆ สนามกีฬามีบ้านเหล็กห้าหลังรายล้อมอยู่ ซึ่งแต่ละหลังก็มีประโยชน์ในการใช้งานแตกต่างกัน บางหลังใช้สำหรับสอนบรรยาย บางหลังใช้สำหรับการฝึกซ้อมพิเศษ และหนึ่งในนั้นก็คือที่พักสำหรับครูผู้ฝึก จะว่าไปเดิมทีครูผู้ฝึกเด็กใหม่ของหน่วย [ผู้ทำลาย] จะต้องมีสามคน แต่ภายหลังอาจารย์ซีซือเห็นว่าแค่ตัวเขาเองก็เพียงพอแล้ว จึงไล่ครูผู้ฝึกอีกสองคนออกไป
สำหรับความกระตือรือร้นในการสอนที่ผิดปกติของอาจารย์ซีซือ [ไกอา] ชั้นสูงก็รู้สึกว่ามันแปลกประหลาด แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะครูผู้ฝึกทั้งสองคนนั้นได้พบเจอประสบการณ์ความทุกข์ที่ยากจะบรรเทา ต่างก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับมาอีก
จากคำอธิบายของหลิงฉุน สือเสี่ยวไป๋ได้ร่างภาพคนที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นขึ้นมาในสมอง เป็นภาพคนแปลกๆท่าทางยโสอวดดีในโลกของเกม
เมื่อสือเสี่ยวไป๋เดินเข้าไปพบกับอาจารย์ซีซือตัวจริงยังห้องทำงานของเขา กลับรู้สึกว่าตัวจริงของเขาไม่ได้แปลกประหลาดเหมือนกับภาพที่ตนจินตนาการไว้สักเท่าไร
ทรงผมตั้งตรงสีแดงดุจเปลวไฟ ดวงตาหรี่เล็กโค้งคล้ายจันทร์เสี้ยวให้ความรู้สึกน่าหยอกเย้า แก้มซ้ายและแก้มขวาประทับรูปหยดน้ำตาและเครื่องหมายรูปดาวเอาไว้ ดูแล้วเดาอายุไม่ออก เรียวปากแขวนยรอยยิ้มชั่วร้ายไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ชายแต่ลักษณะหน้าตากลับเย้ายวนจนทำให้คนหลงเข้าใจผิด
เมื่อเขาลุกขึ้นยืน ร่างกายสูงโปร่ง กล้ามเนื้อเป็นสัดส่วน แขนขาเรียวยาว สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว รอบเอวรัดแน่นด้วยวงแหวนสีทองหลายชั้น คล้ายกับสปริงที่พันรอบเอวและสะโพกไว้แน่น รอบเอวที่เรียวบางใต้วงสปริงนั้นดูบอบบางซะจนเหมือนว่าแค่บีบก็หักแล้ว
“นายมาแล้ว”
เวลานี้ในห้องทำงานของซีซือเหลือเพียงเขาแค่สองคน ซีซือเป็นคนเอ่ยปากทำลายความเงียบก่อน น้ำเสียงของเขาไพเราะนุ่มนวล ย่างเท้าบางเบา ท่วงท่างดงามแต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกกดดันแปลกๆ ทุกย่างก้าวที่ย่ำเดินราวกับทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
ซีซือย่างกายมาตรงหน้าสือเสี่ยวไป๋ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจบางเบาออกทางปาก ดวงตาหรี่เล็กจนเป็นเส้นเดียว ผลิรอยยิ้มยั่วยวนขึ้นบนใบหน้า
“เช่นนั้น นายคิดจะทำอย่างไร? ของเล่นชิ้นโปรดของฉัน”
ซีซือยื่นสองนิ้วออกมาเชิดใต้คางของสือเสี่ยวไป๋ ให้เขาเงยหน้าขึ้น การกระทำนั้นคล้ายกับจอมวายร้ายที่กำลังหยอกล้อสาวน้อย
สือเสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วอยากจะถอยหลังออกห่างทันที แต่กลับต้องตกตะลึงเมื่อรู้สึกว่าร่างกายของเขาขยับไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ รู้สึกเพียงว่าควบคุมแขนขาของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป พยายามฝืนบังคับแค่ไหนก็ทำได้เพียงทำให้กล้ามเนื้อกระตุกสั่นเพียงเล็กน้อย
ซีซือใช้สายตาจดจ้องใบหน้าสือเสี่ยวไป๋ อย่างพินิจพิเคราะห์ นัยน์ตามีแสงประหลาดวาบขึ้นมา ราวกับว่ากำลังชื่นชมสิ่งของที่ตัวเองชื่นชอบอยู่
จู่ๆ ในใจของสือเสี่ยวไป๋ ก็เกิดอาการคลื่นไส้แปลกๆ ไม่พยายามขัดขืนสิ่งไร้รูปที่ผูกรัดร่างกายของเขาอยู่อีกต่อไป เขาอ้าปากตะโกนเสียงดัง “ข้าถู่ต้าเฮย โดดอบรมไปหลายวัน มาขอรายงานตัว!”
ซีซือได้ฟังคำก็ปล่อยเสียงหัวเราะพิสดารออกมา ก่อนจะคลายมือออกแล้วก้าวถอยหลังออกมาสองสามก้าว
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ตัวเลือกของนายน่าสนใจดี แต่ก็น่าเบื่อมากเช่นกัน นายอาจจะฉลาดพอที่คิดว่าฉันจะเห็นด้วยกับวิธีของนาย ถึงขนาดช่วยนายปิดบังตัวตน ทว่าของเล่นชิ้นโปรดของฉัน นายพลาดไปนิดหน่อย ฉันน่ะหวังว่าเกมนี้จะสามารถดำเนินต่อไป แต่ก็ยิ่งคาดหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย และก็ยิ่งชอบความซับซ้อนผิดธรรมดาด้วย ฉันเกลียดการที่จะมีใครมารู้ทัน เกลียดตอนจบที่ถูกกำหนดไว้แล้ว”
ซีซือพูดพลางหยิบไพ่โป๊กเกอร์ชุดใหม่เอี่ยมออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ ลวดลายบนหลังไพ่นั้นคือกริชสั้นประหลาดแทรกผ่านดาวหกแฉก
ทันใดนั้นซีซือก็โยนไพ่พวกนั้นกลางอากาศ ครู่เดียวไพ่หลายสิบใบก็ลอยกระจายอยู่กลางอากาศ คล้ายกับใบไม้ปลิวว่อนอยู่ ทว่าไพ่เหล่านี้กลับไม่ร่วงหล่นลงมาดั่งที่คิดไว้ แต่กลับหยุดค้างกลางอากาศราวกับถูกแช่แข็งในอากาศเช่นนั้น
“มาเถอะ ของเล่นชิ้นโปรดของฉัน ให้พวกเรามาเล่นเกมเล็กๆ ที่ไม่มีใครล่วงรู้จุดจบได้”
ซีซือยิ้มตาหยีทำให้หลงไหลไปชั่วขณะ
---------------------------------------------------------------------------