บทที่ 25 ทองถังแรก
บทที่ 25 ทองถังแรก
เถี่ยซินหยวนตัดสินใจว่า ต่อไปเขาจะไม่สืบเรื่องราวในอดีตของมารดาอีกแล้ว
เมื่อสืบครั้งหนึ่ง มารดาก็จะต้องเสียใจครั้งหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่บุตรอย่างเขาสมควรทำ
เขานึกว่าหากอาศัยสติปัญญาที่เหนือว่าคนทั่วไปและการเจรจาโต้ตอบอย่างเหมาะสม ก็จะทำให้คนอย่างซย่าส่งรู้สึกดีกับเขาได้ ตอนนี้ดูรูปการณ์แล้วเป็นความปรารถนาของเขาฝ่ายเดียวมาตั้งแต่ต้นโดยแท้
ถ้าหากมิใช่ว่ามารดาของเขาเป็นหลานของปู่หวังตั้น เกรงว่าคงไม่อาจเข้าใกล้ซย่าส่งได้ด้วยซ้ำ ยังจะกล่าวถึงเรื่องคารวะอาจารย์อะไรอีก
ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องจำพวกสายตาอันเฉียบคมแยกแยะของล้ำค่าได้มีน้อยเกินไป ฉะนั้นขอเพียงเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็ทำให้ผู้คนอาลัยอาวรณ์ไปเนิ่นนาน
ความจริงแล้วเถี่ยซินหยวนรู้สึกดูแคลนตัวเองในตอนนี้เหลือเกิน หลังจากเกิดเรื่องของหนิวเอ้อร์ ทำให้เขาเข้าใจหลักการอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือฤดูใบไม้ผลิร้อยบุปผาเบ่งบานอวดโฉม ดอกหางหมา[1]ก็มีสิทธิ์ผลิดอกเบ่งบานเช่นกัน
ส่วนข้าจะเบ่งบานจนมีหน้าตาอย่างไรนั้น ก็เหมือนดอกหางหมาที่ดอกโบตั๋นอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องสู่รู้
เมื่อย้อนคิดถึงสิ่งที่ซย่าส่งเตรียมเอาไว้ทั้งหมดแล้วก็อดโมโหไม่ได้ ถ้าหากตาเฒ่านั่นยังสวมเสื้อผ้าคร่ำคร่าดังเดิม เขาอาจไม่ปฏิเสธที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ก็ได้
แต่เมื่อเห็นซย่าส่งสวมชุดขุนนางยามเข้าในท้องพระโรง นั่งอยู่บนเบาะปักดิ้นเงินดิ้นทองพร้อมด้วยของที่ใช้ในพิธีเรียบร้อย วิธีการเช่นนี้ทำให้เถี่ยซินหยวนรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมา
ในเมื่อเป็นคนฉลาดกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาวางกฎเกณฑ์ไว้ก่อนตั้งแต่ทำพิธีคารวะอาจารย์กระมัง? ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์เหล่านี้เอง แต่เห็นได้ชัดว่าจะต้องเคารพเชื่อฟังคำสอน ‘สามหลักห้าคุณธรรม’[2] อะไรนั่น
ถ้าหากมีกฎเกณฑ์ควบคุมเอาไว้ วันหน้าเขาจะมีอิสระเสรีได้อีกหรือ?
ชาติก่อนเขาก็เป็นทาสเงินตรามาทั้งชีวิตแล้ว ในชาตินี้เขายังต้องเดิมพันทั้งชีวิตเพื่อเกียรติยศและความมั่งมีอีกทำไม?
มารดายังมีหลักคุณธรรมที่ยึดมั่น แล้วเหตุใดเขาจะมีไม่ได้?
หวังโหรวฮวาเห็นบุตรชายกำลังออกแรงเช็ดถูโต๊ะเต็มที่ แต่พอมองให้ดีแล้วเด็กคนนี้กำลังเช็ดอย่างเอาเป็นเอาตายต่างหาก เขาเช็ดจนสะอาดไม่เหลือรอยฝุ่นแล้วชัดๆ ยังจะตั้งตาตั้งตาเช็ดอยู่นั่น
บุตรชายของนางความคิดอ่านลึกซึ้งตั้งแต่เด็ก ตอนนี้นางก็คาดเดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ขอกระดูกหมูให้ข้าอีกหน่อยได้ไหม? เสี่ยวลิ่วจื่อไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันแล้ว”
เสียงเรียกอย่างขลาดกลัวดึงเถี่ยซินหยวนออกจากห้วงอารมณ์เดือดดาล เมื่อเขาเงยหน้ามองก็พบขอทานน้อยที่มาขอผ้าปิดหน้าให้หนิวเอ้อร์กับตน
วันนี้เขามีสภาพน่าเวทนานัก จมูกมีรอยฟกช้ำใบหน้าบวมปูด แค่เห็นสภาพนี้เถี่ยซินหยวนก็เข้าใจแล้ว เจ้าเด็กคนนี้โดนขอทานคนอื่นซ้อมมา
ขอทานในเมืองหลวงมีสัญชาตญาณหวงแหนเขตแดนของตนสูงยิ่ง กลุ่มขอทานจากถนนตงต้าเจียจะไปขอทานที่ถนนซีต้าเจียไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากข้ามเขตไปบทลงโทษสถานเบาก็คือรุมซ้อมยกหนึ่ง ส่วนสถานหนักคงต้องไปหาศพในทางระบายน้ำแล้ว
ในเมืองหลวงของต้าซ่งมิใช่ว่าไม่มีโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า เพียงแต่สถานที่เช่นนั้นหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปข้องเกี่ยวได้เป็นดีที่สุด โดยเฉพาะเด็กน้อยที่มีใบหน้างดงาม
ถ้าหากเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักก็จะโดนส่งไปหอนางโลมให้แม่เล้าอบรมเลี้ยงดู ถ้าหากเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่าเอ็นดูสักหน่อยก็จะโดนส่งเข้าหอบำเรอชาย หรือไม่ก็กลายเป็นเด็กรับใช้ที่ถูกฝึกหัดแต่เล็กในตระกูลร่ำรวยก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ถ้าหากหน้าตาอัปลักษณ์ข่มขวัญผู้คนหรือพิการส่วนใดก็จะมีคนในกลุ่มขอทานมารับตัวไป เพราะเด็กตัวน้อยเช่นนี้กระตุ้นให้เกิดความสงสารน่าเห็นใจง่ายดายที่สุด แน่นอนว่า เพื่อให้ความรู้สึกสงสารเพิ่มเป็นทวีคูณ พวกเขาก็ไม่ถือสาที่จะลงไม้ลงมือให้ดูย่ำแย่กว่าเดิมอีกนิด
ความจริงกลุ่มที่เคราะห์ร้ายที่สุดก็คือเด็กที่หน้าตาธรรมดาๆ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครรับไป ก็ได้แต่ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ไปตามยถากรรมแล้ว
นี่คือสภาพที่แท้จริงของโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า สำหรับหน่วยงานดูแลคนชราของต้าซ่งที่ในประวัติศาสตร์มีการยกย่องชื่นชมมานานนับพันปี ก็อย่างเช่น บ้านกูเหล่า บ้านฝูเถียน[3] มีที่แห่งใดบ้างที่เลิกม่านมองเข้าไปภายในแล้วไม่ลึกลับดำมืด เต็มไปด้วยคราบเลือดรอยน้ำตา?
ทุกวันเขาได้เห็นตาเฒ่ายายเฒ่ากลุ่มหนึ่งออกมากวาดถนน การใช้แรงงานเพื่อเลี้ยงชีพเช่นนี้ก็ไม่เลวร้ายอะไร อย่างน้อยก็มีโอกาสไปขอโจ๊กจากร้านค้าใกล้ๆ มากินสักชาม
เถี่ยซินหยวนเคยเห็นผู้เฒ่าหลายคน ทางหนึ่งรับถังใส่สิ่งปฏิกูลจากบ้านผู้อื่น ทางหนึ่งยื่นมือไปรับขนมชุยปิ่งครึ่งชิ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย...
เขารอมาสองวันแล้ว ในที่สุดก็รอจนขอทานน้อยกลุ่มนี้ย้อนกลับมาหาอีกครั้ง
เถี่ยซินหยวนตักเนื้อในหม้อขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วใช้ใบบัวห่ออย่างดี จากนั้นเขายังหยิบขนมชุยปิ่งตากแห้งสี่ห้าชิ้นมาห่อด้วยผ้าฝ้ายเรียบร้อย ค่อยส่งให้ขอทานน้อยรายนี้แล้วกล่าวว่า “ต่อไปพวกเจ้าไปพักที่คฤหาสน์ร้างทางตะวันออกเถอะ”
ขอทานน้อยกอดห่ออาหารเอาไว้ พลางเอ่ยด้วยความลำบากใจอยู่บ้างว่า “ช่วงนี้พวกเราเข้าไปในคฤหาสน์ร้างนั่นไม่ได้ ได้ยินว่ามีผู้สูงส่งคนหนึ่งศึกษาธรรมะกับพระอาจารย์อยู่”
“ผู้สูงส่งนั่นไปแล้ว ข้าจะขอให้ทหารแถบประตูซีสุ่ยช่วยดูแลพวกเจ้า ไม่อนุญาตให้ขอทานกลุ่มอื่นมารบกวน ไปอยู่ที่นั่นอย่างสบายใจเถอะนะ อีกสองสามวันข้าจะไปหา”
เนื่องจากเถี่ยซินหยวนเพิ่งจะให้อาหารเขามาห่อใหญ่ ขอทานน้อยจึงยอมรับการตัดสินใจและอำนาจของเถี่ยซินหยวนโดยไม่สงสัยอะไร เขาพยักหน้ารับติดๆ กันหลายครั้ง ก่อนหันกายวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
“จุ๊ จุ๊ จุ๊.. ลูกชายโง่งมของข้าวันนี้มีจิตเมตตาสงสารผู้อื่นครั้งใหญ่? แต่เรื่องนี้ไม่นับว่าดีและไม่นับว่าแย่ เจ้าอยากให้ร้านทังปิ่งของบ้านเราหมดทางทำกินหรือ?”
หวังโหรวฮวานั่งยิ้มจนตาหยีขณะที่เฝ้ามองเถี่ยซินหยวนมอบอาหารให้ขอทานน้อย เมื่อครู่เด็กคนนี้อารมณ์ไม่ดีนัก ถ้าหากการบริจาคทานช่วยให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้ อาหารที่มอบให้ผู้อื่นก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว แต่การกระทำเช่นนี้ควรเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่ควรมีครั้งที่สอง มิฉะนั้นเท่ากับเรียกขอทานทั้งหมดในเมืองหลวงให้แห่กันมาที่นี่
เถี่ยซินหยวนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ บนโลกใบนี้ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์ แต่ต้องดูว่าท่านจะหาทางใช้ประโยชน์จากคนผู้นั้นอย่างไร ถ้าหากวันใดหาพบแล้ว เงินทองก็จะไหลมาเทมาที่บ้านของเราเหมือนสายน้ำ”
หวังโหรวฮวาเผยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม นางยื่นมือออกมาคว้าผมหางม้าของบุตรชายเอาไว้แน่น “เช่นนั้นก็ดีน่ะสิ ตอนนี้เจ้าก็เป็นชายคนเดียวในบ้าน แม่จะออกไปหาเงินน้อยลงหน่อย รอดูว่าเจ้าจะใช้ขอทานกลุ่มนั้นหาเงินอย่างไร”
ขณะที่สองคนแม่ลูกกำลังสนทนากัน ก็มองเห็นบัณฑิตสวมชุดคอกลมสีครามกลุ่มหนึ่งเดินเตร็ดเตร่จากถนนหม่าสิงมาทางนี้พอดี ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ชี้มาที่ป้ายร้านทังปิ่งพี่ชี มีบัณฑิตคนหนึ่งถือพัดกลมเอ่ยวาจาเหน็บแหนมว่า “เนื้อหมูเอย เนื้อหมู เนื้อเคล้าปฏิกูล เนื้อสกปรก เดรัจฉานอยู่กับโคลน กินอาหารจากถังโสโครก เหตุใดจึงนำมาเป็นอาหารได้?
ท่านเก๋อยวนเพียงเห็นใจความมุมานะในการหาเลี้ยงชีพของชาวบ้านพวกนี้ ถึงขนาดยอมลดเกียรติมาลิ้มรสเนื้อหมูด้วยตัวเอง ยังเป็นพ่อสื่อนำไปฝากผู้อื่นด้วย นี่เป็นการยกระดับจิตใจอย่างหนึ่ง
พวกเราทั้งหลายแค่เอาอย่างจิตใจกว้างขวางของท่านผู้นั้น เนื้อหมูไม่กินก็ช่างเถิด มอบเงินให้สักเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว”
เมื่อกล่าววาจาแสดงความใจกว้างจนจบ ก็กวักมือเรียกเถี่ยซินหยวนให้เดินไปหา
เถี่ยซินหยวนย่อมวิ่งไปหากลุ่มบัณฑิตด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง เขาอยากรู้ว่าคนกลุ่มนี้ต้องการสิ่งใดกันแน่
ผู้นำของกลุ่มบัณฑิตเห็นว่าเถี่ยซินหยวนสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ใบหน้างดงามโดดเด่น ผมหางม้าหลังศีรษะกวัดแกว่งไปมาแลดูน่ารักน่าชังยิ่ง มือที่ยกปิดจมูกของตนไว้ก็วางลงข้างตัว ชี้มาที่เถี่ยซินหยวนแล้วกล่าวกับบัณฑิตคนอื่นว่า “ทุกท่านดูสิ นี่ก็คือบุตรหลานของครอบครัวค้าขาย ไม่ทราบว่าพี่ชายทุกท่านสังเกตเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่?”
เถี่ยซินหยวนก้มหน้าลงเหลือบมองเสื้อผ้าของตัวเอง ก็ใช่น่ะสิ เสื้อผ้าของเขาสะอาดเอี่ยม มือทั้งสองไม่มีร่องรอยสกปรก รองเท้าของเขาก็ไม่เปรอะเปื้อนดินโคลน
ไม่เพียงเถี่ยซินหยวนรู้สึกสับสนงุนงง คนที่เหลือก็รู้สึกไม่ต่างกัน บัณฑิตสวมชุดสีขาวคนหนึ่งในกลุ่มประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า “พี่ฝานหมิง เด็กคนนี้น่ารักมีชีวิตชีวา ไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสมกระมัง”
พี่ฝานหมิงของบัณฑิตผู้นั้นโบกพัดในมืออย่างเบิกบานใจแล้วตอบว่า “พี่เจ๋อหลินจะกล่าวเช่นนี้มิได้ เล่ห์เหลี่ยมของพวกพ่อค้าอยู่ที่ตรงนี้เอง เด็กตัวเล็กๆ เช่นนี้ ดูเหมือนสดใสไร้เดียงสา ความจริงแล้วกลับซุกซ่อนอุบายเต็มท้องเลยเชียว”
พี่เจ๋อหลินเดินวนรอบตัวเถี่ยซินหยวนรอบหนึ่ง จนเถี่ยซินหยวนต้องรีบปั้นรอยยิ้มกว้างเผยฟันขาวหลายซี่เพื่อแสดงตนเป็นเด็กซื่อสัตย์เสียเหลือเกิน
พี่เจ๋อหลินที่ไม่ได้พบอะไรเลยส่ายหน้าอย่างจนใจ เพราเขาไม่ทราบว่าหลี่ฝานหมิงหมายถึงสิ่งใดกันแน่
เมื่อผู้คนรอบกายส่งสายตาสงสัยมาทางตน หลี่ฝานหมิงถึงได้เสียบพัดกลมไว้ที่คอเสื้อของตัวเอง จูงมือน้อยๆ ขาวสะอาดของเถี่ยซินหยวนมาให้ทุกคนดูชัดๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “มองออกแล้วใช่ไหม? พวกท่านไม่คิดว่าเด็กคนนี้ดูสะอาดจนเกินไปหรอกหรือ?”
พี่เจ๋อหลินส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เด็กคนนี้หน้าตาสะอาดสะอ้าน มิได้บ่งบอกหรือว่าบิดามารดามีมานะพากเพียร รักใคร่บุตรของตน ยังจะบอกสิ่งใดได้อีก?”
หลี่ฝานหมิงสั่นศีรษะดิกๆ อย่างอิ่มเอมใจ “พี่เจ๋อหลินกล่าวเช่นนี้มิได้ นิสัยใจคอของชนชั้นพ่อค้าไม่อาจใช้ความคิดคนทั่วไปมาพิจารณาได้เด็ดขาด เมื่อวัยเยาว์ท่านและข้าล้วนสวมเสื้อผ้าสะอาดหมดจด สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าบุพการีของพวกเราทั้งหลายมีใจรักใคร่บุตรของตนโดยแท้จริง
แต่ชนชั้นพ่อค้ากลับมิเป็นเช่นนั้น เหตุที่ร้านทังปิ่งพี่ชีมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วเมืองหลวงได้ อีกทั้งยังทำให้ท่านเก๋อยวนชื่นชมไม่ขาดปาก เกรงว่าคงอาศัยคำว่า ‘สะอาด’ สองคำนี้กระมัง
พี่ชายทั้งหลายลองใคร่ครวญดูสักหน่อยเถิด เนื้อหมูเป็นเนื้อสัตว์ที่จัดว่าสกปรกนัก แม้หลังจากเชือดแล้วจะไม่มีคราบใดหลงเหลืออยู่อีก แต่ก็ปกปิดเนื้อแท้ที่ส่งกลิ่นสาบเหม็นคาวได้ยากทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ ร้านทังปิ่งพี่ชีจึงทำให้ประตูหน้าร้านสะอาดเอี่ยมอ่อง ประกอบกับน้ำชาใสกระจ่าง อาหารรองท้องรสชาติสดใหม่ สุราหมักกลิ่นหอมกรุ่น รวมถึงเด็กน้อยหน้าตาขาวสะอาดคนนี้และหญิงรับใช้สวมเสื้อผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อท่านเก๋อยวนกำลังเคี้ยวเนื้อหมู ดื่มสุรารสเลิศ ลิ้มลองอาหารสดใหม่ ทอดสายมองถ้วยจานชามที่ปราศจากฝุ่นละอองตรงหน้า ประจวบเหมาะอีกเรื่องที่ว่าทังปิ่งร้านนี้รสชาติไม่เลว จึงถูกปากท่านเก๋อยวน
พวกท่านลองพิจารณาดูสิ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ข้ากล่าวไปนั้น ท่านเก๋อยวนดื่มสุราเมามายไปครึ่งส่วนแล้ว ยังจะจำได้อีกหรือว่า เนื้อหมู..เดิมทีเจ้ามีเนื้อแท้ที่สกปรกยิ่งนัก
เล่ห์เหลี่ยมพ่อค้าที่ข้าน้อยกล่าวถึงก็เป็นเช่นนี้เอง แม้แต่ท่านเก๋อยวนยังพลาดพลั้งโดยมิทันสังเกต เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้น่ารังเกียจเพียงใด”
บัณฑิตทั้งหลายได้ฟังแล้วไม่มีผู้ใดไม่กระจ่างแจ้ง ต่างประสานมือคารวะแสดงความเคารพเลื่อมใส
เถี่ยซินหยวนมองหลี่ฝานหมิงที่วางท่าภูมิอกภูมิใจ แล้วกวาดสายตามองบัณฑิตคนอื่น ก่อนจะเบ้ปากร้องไห้เสียงดังขึ้นมาโดยพลัน จากนั้นก็นวดคลึงเปลือกตาพลางกล่าวว่า “ท่านแม่บอกว่านี่เป็นเคล็ดลับที่ไม่อาจเผยแพร่ของร้านเรา ถ้าหากร้านของผู้อื่นรู้เข้า ข้าก็จะไม่มีข้าวกิน แล้วก็ไม่เงินไปซื้อของกำนัลมอบให้อาจารย์แล้ว”
หลี่ฝานหมิงตบศีรษะเถี่ยซินหยวนเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ร้องไห้ทำไมกัน คิดว่าคนอย่างข้าจะเอาเล่ห์กลพื้นๆ ที่ร้านเจ้าใช้หลอกผู้คนไปเปิดโปงจนทั่วหรือไร ปัญญาชนกินเนื้อแพะ สามัญชนกินเนื้อหมูพบเห็นได้ทั่วไป ขอเพียงพวกเจ้าไม่หลอกลวงชนชั้นบัณฑิตอย่างเรา ใครจะถือสาให้มากความ”
เถี่ยซินหยวนร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาชี้นิ้วไปทางผู้คนที่มามุงดูเรื่องสนุกรอบข้างแล้วกล่าวว่า “พวกเขาได้ยินหมดแล้ว ข้าจะไม่มีข้าวกินแล้ว ไปสำนักศึกษาไม่ได้แล้วด้วย”
หลี่ฝานหมิงเผยรอยยิ้มเย้ยหยันจางๆ จากนั้นจึงหยิบถุงเงินใบใหญ่ออกมาจากแขนเสื้อ เอาคล้องคอเถี่ยซินหยวนแล้วกล่าวว่า “คนอย่างข้ารึจะปล่อยให้บ้านเจ้าไม่มีอะไรกิน รับไปสิ เงินครึ่งตำลึงเชียวนะ”
บัณฑิตทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าหลี่ฝานหมิงมาเปิดโปงหนทางทำมาหากินของผู้อื่นกลางถนนใหญ่เช่นนี้ ดูแล้วไม่ใช่สิ่งที่วิญญูชนพึงกระทำเท่าไรนัก พวกเขาจึงพากันมอบเงินให้เถี่ยซินหยวนด้วย เมื่อเห็นว่าผู้คนมามุงดูเพิ่มมากขึ้นทุกที ก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินอาดๆ จากไป
หวังโหรวฮวานั่งสองมือเท้าคางอยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน มองดูบุตรแสดงท่าทางซุกซน ไม่คิดว่าพริบตาเดียวก็จะเห็นบุตรชายเดินถือถุงเงินสี่ห้าใบกลับมา ถุงเงินแต่ละใบส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ดูท่าข้างในถุงคงจะมีเงินไม่น้อยเลย
“ต่อไปเงินค่าอาหารของขอทานน้อยกลุ่มนั้นก็ใช้เงินส่วนนี้แล้วกัน” เถี่ยซินหยวนยัดถุงเงินใส่มือมารดา จากนั้นจึงมองกลุ่มบัณฑิตที่เดินจากไปไกลด้วยสายตาใคร่ครวญ
หลังจากนับเงินเรียบร้อยแล้ว หวังโหรวฮวาก็ตบไหล่เถี่ยซินหยวนที่นั่งนิ่งอึ้งอยู่ด้วยความพอใจ “คิดจะทำอะไรรึ?”
เถี่ยซินหยวนตอบอย่างจริงจังว่า “ทำไมลูกถึงโง่งมเช่นนี้นะ เจ้าคนร่ำรวยพวกนี้ถึงจะกอบโกยได้ดีที่สุดต่างหาก”
----------------------------
[1] ดอกหางหมา(狗尾巴花)มีชื่อเรียกแบบนี้เพราะลักษณะดอกคล้ายกับหางหมา เมื่อนำผลมาทำยา มีสรรพคุณช่วยให้เลือดไหลเวียน ระงับความเจ็บปวด สลายสิ่งตกค้าง ขับปัสสาวะ
[2] สามหลักห้าคุณธรรม(三纲五常)โดยสามหลัก(三纲)ประกอบด้วย กษัตริย์เป็นหลักขุนนาง(君为臣纲) บิดาเป็นหลักของบุตร (父为子纲)สามีเป็นหลักของภรรยา(夫为妻纲) ส่วนห้าคุณธรรม(五常)ประกอบด้วยเมตตา(仁) ซื่อสัตย์(义) ปัญญา(智)จารีต(礼)และสัจจะ(信)
[3] บ้านกูเหล่า (孤老院)เป็นชื่อเรียกสถานที่รับดูแลคนชราฐานะยากจนและไร้ญาติในสมัยโบราณ ส่วนบ้านฝูเถียน(福田院)ก็เป็นชื่อเรียกสถานที่รับดูแลคนชรา เด็กเล็ก คนพิการซึ่งไร้ที่พึ่งพา มีข้อมูลปรากฏว่าในสมัยราชวงศ์เหนือรัชกาลซ่งอิงจง(宋英宗)มีการก่อตั้งบ้านฝูเถียนเพิ่มทางทิศใต้และทิศเหนือของเมือง จากเดิมมีอยู่แล้วทางทิศตะวันออกและตะวันตก รวมเป็น 4 แห่ง