ตอนที่ 43: เหนือกว่า "ศักดิ์ศรี" คือ "ความกลัว"
ตอนที่ 43: เหนือกว่า "ศักดิ์ศรี" คือ "ความกลัว"
“เฮ้อ...” เฮเซคียาห์เกร็งตัวเล็กน้อย รู้สึกซ่านเสียวบริเวณท้อง ก่อนรับรู้ได้ว่ากระสุนที่เจาะเข้าไปในร่างถูกดันออกมา และผิวเนื้อของเขากำลังสมานปิดเข้าหากันเหมือนเดิม นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเกิดขึ้นกับเสื้อหนัง รูที่เกิดจากกระสุนปืนค่อยๆ สมานปิดตัวเข้าหากัน
“ปล่อย!” บรอธกระตุ้นเขาพร้อมกับช็อตกระแสไฟฟ้าเบาๆ ไปที่มือ
ชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัว การถูกช็อตทำให้เขาปล่อยมือออกจากบรอธง่ายๆ เขารับรู้ได้ว่าร่างกายกำลังแหวกลมขณะหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง แต่ไม่มีเสียงร้องหลุดรอดออกจากปาก เพราะเขาเห็นอยู่ว่าบรอธไม่ได้ตั้งใจโยนเขาหล่นพื้น ทิศทางการเคลื่อนไหวของมัน และการกระทำยืนยันให้เขารู้ชัดว่ามันมีแผน
บรอธขยายขนาดของมันออกให้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเฮเซคียาห์ บังกระสุนที่ถูกยิงเข้าใส่เขาอีกหลายครั้ง
“เข้ามา...” บรอธเร่งความเร็วเพื่อลงไปช้อนตักร่างกายของเขาใส่ไว้ในตัวมันกลางอากาศ
ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งพวกเขาอยู่ในอวกาศ เพราะบรอธไม่ปิดฝาด้านบนของมันลง ชายหนุ่มจึงมีอากาศหายใจ และขณะเดียวกันอาวุธจากยานของเจ้าหน้าที่ไม่อาจทำร้ายเขาในตัวของบรอธได้ง่ายๆ เพราะตัวบรอธมีความแข็งแรงทนทาน อีกทั้งยังสามารถสร้างเกราะด้วยกระแสไฟฟ้าที่ไหลเวียนอยู่รอบกาย
“ยิงยานลำนั้นให้ตก” บรอธจัดตำแหน่งของมันให้อยู่ตรงกับยานของเจ้าหน้าที่ซึ่งระดมยิ่งมาอย่างไม่บันยะบันยัง
เฮเซคียาห์กำหนดจิตของเขาไปที่แก่นพลังกำเนิดอาวุธ เปลี่ยนมันให้อยู่ในรูปปืนซึ่งมีด้ามเล็กแต่ตั้งวางอยู่กับขาตั้งสูงระดับสายตาของเขา ขณะที่ปลายกระบอกปืนมีขนาดใหญ่กว่าด้ามปืนมาก มองเผินๆ คล้ายกล้องส่องดูดาว แต่แท้ที่จริงปืนนี้มีเครื่องกำเนิดพลังงานเล็กๆ จำนวนมากซึ่งจะปั่นก้อนพลังงานจากเล็กให้ใหญ่ ก่อนจะผลักออกไปอย่างแรง มีอานุภาพทำร้ายล้างสูง
ซู้ม... ม... ม!!!
ลำแสงใหญ่หนึ่งบีมพุ่งตรงในลักษณะที่ยาวยืดไปไม่ขาดจากหางตรงไปที่ยานของเจ้าหน้าที่ และเมื่อลำแสงกระทบเข้ากับยานนั้นอย่างแรง ส่วนหางของลำแสงซึ่งยังยึดอยู่กับปลายกระบอกปืนค่อยๆ วิ่งเข้าไปหาหัวแสง ส่งแรงอัดไปที่ยานเจ้าหน้าที่ถี่ๆ รัวๆ ต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า
“ฮ้า... ฮ้า... โอ๊ย” เฮเซคียาห์คราง ร่างเขากระแทกเข้ากับฝาผนังของบรอธด้านตรงข้ามกับอาวุธ แขนข้างหนึ่งขาดออกจากตัวไปกองอยู่ใกล้ๆ
เขาค่อยๆ ขยับตัวไปหยิบแขนมาต่อกับหัวไหล่ และรอครู่หนึ่งเพื่อพบว่าร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟู ซึ่งการขยับแขนก็ยังขัดๆ อยู่บ้าง ในขณะที่ชุดหนังสีดำก็ค่อยๆ ฟื้นฟูตัวมันเองกลับสู่สภาพสมบูรณ์เช่นกัน
เฮเซคียาห์พุ่งกายไปเกาะขอบกล่องเศวตศาสตรา มองไปยังยานของเจ้าหน้าที่ และรีบจัดการยิงลำแสงที่สร้างพลังทำลายล้างหลายสิบเท่ากว่าปกติไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเห็นเองได้กับตาว่าอนุภาคของเกราะถูกฉีกกระฉายออกในอากาศ และพลังที่อัดซ้ำๆ ถี่ๆ จากการยิงเพียงหนเดียวก็ฉีกยานออกเป็นครึ่ง กับอีกครึ่ง
“แสกนหาพวกเจ้าหน้าที่ชาวมัสตินที่อยู่บนพื้น” เฮเซคียาห์เคาะผนังด้านหนึ่งในตัวบรอธ
บรอธค่อยๆ แล่นลงต่ำ
“รายงาน: สองร่างเพิ่งฟื้นฟูเสร็จสมบูรณ์ อีกสองร่างไลฟ์ควอตซ์กำลังเรียกรวมเซลล์ที่ใกล้ที่สุดเพื่อกระตุ้นการแบ่งเซลล์และการฟื้นคืนสภาพ”
เฮเซคียาห์เพ่งจิตของเขาไปที่แก่นพลังกำเนิดอาวุธ เปลี่ยนมันให้เป็นมีดคู่คล้ายกับของมูนนี่ซึ่งเขาเคยใช้
บรอธทำให้เขาแปลกใจด้วยการเปิดฝาผนังด้านหนึ่งของมันออกราวกับเป็นประตูยาน และเฮเซคียาห์สามารถก้าวเดินลงมา และกระโดดลงในดงข้าวโพดได้อย่างง่ายดาย เขาหันกลับไปมองบรอธที่เปลี่ยนขนาดกลับไปเล็กจิ๋วได้ในพริบตาอย่างพอใจ ถือว่าตัวเองได้เรียนรู้คุณลักษณะของมันอีกอย่างแล้ว
“รายงาน: เจ้าหน้าที่ฯ สองคนกำลังมุ่งหน้ามา เตรียมเข้าปะทะ”
เฮเซคียาห์เข้าใจคำพูดของบรอธก่อนที่มันจะพูดออกมาทั้งหมดเสียอีก บางครั้งก็เป็นเช่นนี้ มันไม่ใช่แค่ส่งสาสน์ผ่านเข้ามาทางหูของเขาแต่ยังส่งคำพูดมายังสมองของเขาโดยตรงไปพร้อมกัน ดูวุ่นวายสับสนแต่ช่วยให้เฮเซคียาห์รู้เท่าทันเหตุการณ์
เขากางแขนออก ตวัดมีดทั้งสองอย่างแรงในอากาศ พร้อมกับกดกลไกที่ทำให้พื้นที่ส่วนหนึ่งของมีดหดเข้าไป มีดที่คมอยู่แล้วดูอันตรายขึ้นไปอีกเพราะคมยึกยักถี่ๆ ราวกับฟันเกๆ เรียงตัวไม่สม่ำเสมอของปลากินเนื้อ
เสียงสวบสาบดังเข้ามาที่หู แต่อยู่ไกลออกไปพอสมควร ซึ่งยากจะมองเห็นเป้าหมายได้เพราะต้นข้าวโพดสูงท่วมหัวอยู่รอบด้าน ตัวเฮเซคียาห์ได้ยินบรอธเอ่ยคุยกับเขา แต่เขาขำอย่างพึงพอใจในตัวเองอย่างยิ่งเพราะเหมือนรู้อยู่แล้วถึงสิ่งที่บรอธจะบอก การได้ต่อสู้ในแต่ละครั้งก่อนหน้านี้ช่วยปลุกเร้าสัญชาติญาณในตัวเขา สมองของเขาเริ่มฟื้นคืนการคิดกระบวนท่าเคลื่อนไหวที่สอดคล้องต่อการถูกโจมตีจากศัตรูได้ รวมถึงระดับทักษะการอ่านสถานการณ์ของเขา
เขากดปุ่มใช้กลไกอีกตัวบนมีด น้ำมันพุ่งออกมาจากด้านมีดและขอบมีดบางส่วน ไฟลุกอาบตัวมีดแดงฉานในจังหวะที่เฮเซคียาห์ตวัดมีดทั้งสองในอากาศตัดกระสุนอากาศและดินที่พุ่งเข้ามาหาเขา
“พวกแกสูญเสียอาวุธไปกับยานสินะ ถึงได้ใช้แต่พลังธาตุแบบนี้” เขาปัดป้องทุกกระสุนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการแนะนำจากบรอธ และเป็นฝ่ายเดินรุกคืบไปทางด้านหน้า สัมผัสได้ถึงความกลัวของอีกฝ่ายที่ยังพยายามโจมตีเขา “ถ้ากลัวฉันขนาดนั้น น่าจะหนีไปนะ”
พูดจบแค่นั้น มีเสียงเคลื่อนไหวเร็วๆ ทางด้านซ้าย เฮเซคียาห์ยิ้มออกมาและสะบัดมือเบาๆ เปลี่ยนคมมีดย้อมไฟลุกโชนให้ยาวออก แล้วเหวี่ยงไปยังทางนั้นอย่างแรง ขณะที่อีกมือขยับปัดลูกกระสุนที่ระดมยิงมาจากอีกด้านไม่หยุด กระสุนบางนัดเจาะทะลุร่างของชายหนุ่มสำเร็จ แต่เขาไม่สะท้านหนัก เพียงกัดฟันแน่นในจังหวะเนื้อทะลุ
อาวุธของเขาบินตัดต้นข้าวโพดขาด และจุดไฟไปทั่วบริเวณ
“บรอธ เอาฉันขึ้นซิ” เขายิ้มสะใจ
“ไม่!”
“หืม?”
“บอกว่าไม่! นายอยากโดดมาอยู่บนตัวฉันอย่างเท่ห์ๆ แล้วเหินฟ้าอย่างนั้นเหรอ ฉันไม่อนุญาต” บรอธเลือกในสิ่งที่ผิดไปจากแผนของเฮเซคียาห์
“อย่างี่เง่าน่า มันอะไรนักหนา ทำไมฉันขึ้นไปนั่งหรือขี่บนตัวนายไม่ได้” มีดของเฮเซคียาห์ข้างหนึ่งไม่ต้องจัดการปัดเป่ากระสุนปืนแล้ว ตัวเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งมุ่งมั่นจะยิงให้โดนเขาในตอนแรกเผ่นไป ส่วนอีกรายซึ่งเขาล็อกเป็นเป้าหมายก่อน อาวุธที่เขวี้ยงออกไปปักเข้ากลางหลัง รายนั้นจึงดิ้นพราดๆ ร่างกายลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง เขาสามารถมองเห็นได้ผ่านทุ่งเตียนซึ่งเกิดจากอาวุธเดียวกับที่ส่งออกไปถากถางนั่นเอง
“ไฟไหม้อยู่! เห็นไหม! จะปล่อยให้ฉันถูกย่างสดเหรอบรอธ” เฮเซคียาห์มองเปลวไฟที่ลามติดทุ่งข้าวโพดเพราะอาวุธของเขาอย่างแขยง เท้าก้าวถอยหลังเมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนที่ลามมาใกล้
แต่ในทันใด เฮเซคียาห์นึกออกถึงคำพูดของเมเดียนที่ว่าชุดหนังของเขาทนความร้อนได้มากกว่าอันที่ได้สวมใส่เพื่อเข้าช่วยเหลือชาวบ้านที่เซนต์กิลเจน เขาแตะกดปุ่มบนอกเป็นผลให้หมวกคลุมเลื่อนมาปิดส่วนศีรษะของรวดเร็ว มือเก็บอาวุธที่ตอนนี้กลับไปอยู่ในรูปแก่นพลัง แต่พอสาวเท้าเข้าไปใกล้ไฟกลับรู้สึกร้อน
“หลอกหรือเปล่านะ” เขาถอยกรูดออกห่างไฟอย่างรวดเร็ว
แต่หลบไม่พ้น ไฟลามอย่างเร็วเพราะเฮเซคียาห์ยืนอยู่ใต้ลมที่พัดมาพอดี ทางเขาจึงยืนนิ่งรับไฟ ใจนึกว่าคงต้องปวดแสบปวดร้อนสุดทรมาน แต่ที่ไหนได้ จู่ๆ ความร้อนที่รับรู้ได้วูบหนึ่งกลับเปลี่ยนเป็นความเย็นเหมือนมีคนเอาเมนทอลมาทาผิวหนังให้เสียเฉยๆ ดังนั้นเมื่อตั้งสติได้ว่าร่างกายปกติร้อยเปอร์เซ็นต์ เฮเซคียาห์จึงก้าวเท้าด้วยความมั่นใจไปยังพื้นที่ซึ่งเคยมีร่างไหม้ไฟดิ้นทุรนทุราย
ตรงจุดนั้นตอนนี้หลงเหลือกะโหลกศีรษะซึ่งนอกจากจะแข็งเป็นพิเศษแล้ว มันยังปกป้องสมองของชาวมัสตินไว้ไม่ให้ถูกทำลายลงด้วยสิ่งอื่นเช่นไฟด้วย
เฮเซคียาห์ล้วงหยิบแก่นพลังฯ เพื่อเปลี่ยนมันเป็นเหล็กแหลม เขาเสียบมันเข้าไปในกะโหลกและควานเอาเนื้อสมองออกมา กลิ่นสาบๆ คาวๆ ของสมองทำเอาเฮเซคียาห์อยากอาเจียน แต่เขากลั้นอาเจียนไว้ได้ แล้วลุกเดินหาเจ้าหน้าที่ชาวมัสตินคนอื่น
บรอธรายงานถึงพิกัดของอีกสามคน และรายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับพวกเขา เช่นความเร็วในการเคลื่อนที่
“เห็นไล่ตามหลังมาติดๆ ก่อนหน้านี้ นึกว่าจะแน่!” เฮเซคียาห์หัวเราะหึๆ อย่างสบายใจ ตนคงเป็นอิสระจากการถูกไล่จับไปอีกพักใหญ่
“ปล่อยไปแบบนี้จะดีเหรอ”
“ฉันคิดจะกำจัดพวกเขาเพราะคิดว่าพวกเขาจะดื้อดึง ไล่ล่าฉันอย่างถึงที่สุด” เฮเซคียาห์ส่ายหน้าเบาๆ อย่างนึกสมเพชการต้องมารับรู้ถึงความอ่อนแอในตัวของพวกเจ้าหน้าที่ “แต่กลายเป็นพวกเขาพยายามหนีจากฉัน พวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีอย่างชาวมัสตินบ้างเลย”
“นายรู้ไหมว่าพวกเขาเป็นใครบ้าง ชื่ออะไร?” บรอธจู่ๆ ถามในเรื่องซึ่งเหมือนนอกประเด็นไปบ้าง
ชายหนุ่มหมุนกายไปยังทิศทางซึ่งเขาสามารถเดินทางไปชุมชนของมนุษย์ได้ รอบกายตกอยู่ในเปลวเพลิง
“อ๋อ รู้สิ” เฮเซคียาห์ตอบไป แล้วเขาเปิดปากระบุข้อมูลทั่วไปของเจ้าหน้าที่ทั้งสี่คน ซึ่งรวมถึงผู้เสียชีวิตไปแล้วด้วย
“ก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขากลัว นายรู้จักพวกเขา นายต้องรู้จุดอ่อนของพวกเขา พวกเขาคงกลัว”
“แค่เคยเห็นในแฟ้มประวัติเจ้าหน้าที่แว๊บๆ มันเข้ามาอยู่ในหัวสมองเองทั้งนั้น” เฮเซคียาห์ยังเดินไปเรื่อยๆ “ข้อมูลของทุกคนจำเป็นต่อการวางแผนต่างๆ มันช่วยให้ฉันสามารถจัดการทุกอย่างภายใต้การปกครองได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะสร้างอะไรให้ใคร สร้างที่ไหนสำหรับทำอะไร”
“พวกเขาไม่ได้ทิ้งศักดิ์ศรีไปง่ายๆ หรอกนะ แต่นายเป็นอะไรที่น่ากลัวเกินกว่าพวกเขาจะรับมือ”
เฮเซคียาห์ยิ้มออกมาอย่างรู้สึกยินดี เขาเห็นคำพูดของบรอธเป็นคำชื่นชม
“แม้ฉันจะเปลี่ยนไป แต่ฉันก็ยังยืนอยู่บนจุดที่พวกเขากลัว นั่นเป็นเรื่องดี” เขายกมือปัดไปตามเปลวไฟรอบด้าน เล่นกับมัน และแหงนหน้าหัวเราะออกมาดังๆ ก่อนจะกระโดดไปทางด้านหลังปล่อยร่างของตัวเองให้ล้มนอนลงบนกองเพลิง สายตาเหลือบมองท้องฟ้าซึ่งกำลังเปิดอยู่ ดาวนับล้านเปล่งประกายระยิบระยับ ดาวฤกษ์บางดวงกะพริบแสงเป็นพักๆ
“เราน่าจะนอนนี่สักคืนนะ ฉันไม่เคยมีประสบการณ์หลับในกองไฟมาก่อน” เฮเซคียาห์ประสานมือไว้บนหน้าอก ปิดเปลือกตาลง
“อย่าตลก! ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ชุมชนข้างหน้าต่อ”
“เพราะอะไรกันล่ะ” เฮเซคียาห์หาวออกมา ตอนนี้ช่วงค่ำแล้ว และวันนี้ของเขาก็ช่างยาวนานเหลือเกิน
“ไม่อย่างนั้นตอนเช้านายจะเด่นอยู่ในทุ่งนี้เลยน่ะสิ ง่ายที่จะถูกจับ หรือบางทีอาจไม่ต้องถึงตอนเช้านายก็ถูกจับได้แล้ว” บรอธไม่มีอารมณ์ขันกับสิ่งที่เฮเซคียาห์เย้าถามอย่างนึกขัน
เฮเซคียาห์เปิดเปลือกตาขึ้นมา แล้วขยับลุกยืนอย่างเชื่องช้า ในสมองคิดถึงความสนุกในอีกรูปแบบหนึ่งและร่างกายทำตามที่สมองคิดอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งร่างของเขาทะยานไปด้านหน้า ด้วยสมรรถนะของชุดที่สวมอยู่ เฮเซคียาห์พบว่าความเร็วของเขาผิดจากธรรมดา
“โว้ว!” เขาตะโกนด้วยความสบายใจ มีการเหลียวไปมองทางด้านหลังแล้วพบว่าหญ้าถูกกดทับด้วยฝีเท้าของเขาเป็นทาง เปลวไฟลุกโชนในบริเวณที่ราบเรียบลงไป เล่นระดับกับไฟบนพื้นที่โดยรอบบริเวณนั้น
“คำเตือน: มีมนุษย์กำลังขับเครื่องบินแบบโบราณมาเพื่อโปรยน้ำดับไฟ”
“ถ้าฉันพ้นพื้นที่ตรงนี้ไป จะเจอมนุษย์มุงไหม” เฮเซคียาห์หยุดเคลื่อนไหว อันนี้เขาจริงจังกับการได้คำตอบ
“มี พวกเขาจับจ้องพื้นที่นี้อยู่ เผื่อจะช่วยสกัดไฟไม่ให้ลามไปยังพื้นที่เพาะปลูกส่วนอื่นหรือตัวชุมชน หากว่าการโปรยฝนด้วยเครื่องบินยังไม่สามารถยับยั้งไฟไหม้ได้”
“ยังไงฉันก็หายตัวอยู่ พวกเขาคงไม่เห็นอยู่ดี เรารีบพุ่งตัวผ่านพวกเขาไปด้วยกันดีกว่า” เขาออกแรงถีบตัวไปข้างหน้า ร่างพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ภาพเปลวไฟด้านข้างที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัวขณะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วช่างวิจิตรสวยงามและมีแรงดึงดูด ทำเอาเขาอยากวิ่งอยู่ในเปลวไฟที่โหมกระพือนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“อุ๊!” เฮเซคียาห์อุทาน เขาโผล่พ้นทุ่งข้าวโพดออกมา และพบมนุษย์ยืนมองไปบนท้องฟ้าด้วยอิริยาบถต่างๆ
เขาเหลียวกลับไปมองบ้าง และได้เห็นเครื่องบินแบบใบพัดหมุนรุ่นโบราณบินอยู่เหนือทุ่งสูงขึ้นไป น้ำบางส่วนค่อยๆ ถูกปล่อยลงมา
“ไปเถอะ” บรอธกระซิบกับเขา
เฮเซคียาห์พยักหน้า และพุ่งกายฝ่าฝูงชนกลุ่มเล็กเพื่อตรงไปยังในตัวชุมชน และเมื่อถึงทางเข้าที่มีป้ายหินจัดแต่งประดับประดาสวย เขายิ้มออกและชะลอความเร็วลง เปลี่ยนจังหวะการเดินเป็นค่อยๆ เดินอย่างสำรวจตรวจตรา เขามองหาโรงแรมซึ่งเขาสามารถพักค้างคืนได้และอาบน้ำสักหน่อย
เขาผ่านบ้านหลังหนึ่งมีเสื้อผ้าถูกแขวนไว้ จึงหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งมาใช้อย่างไม่รู้จักละอาย ในขณะเดียวกันใจของเขาก็อดไม่ได้จะคิดถึงผ้าคลุมผืนสวยทนทานที่เคยได้จากมูนนี่
“นั่นโรงแรมใช่ไหม?” เขาเอ่ยอย่างเหน็ดเหนื่อยในสภาพออกจากการล่องหน
เขาจับหมวกคลุมหน้าปิดหน้าไว้ให้ดี และเดินตรงไปยังหน้าโรงแรม คืนนี้ถึงเวลาต้องพักเสียที