DC บทที่ 41: เจ้าได้ยินแล้วนี่
หลังออกจากร้านอาหารซูหยางเดินตรงไปตามทางจนถึงประตูด้านตรงข้ามของเมือง
เมื่อเขาถึงประตูเมือง ซูหยางสังเกตเห็นคนกลุ่มใหญ่และรถม้าอีกสองสามคันรออยู่ด้านนอกประตูเมือง พวกเขาล้วนถืออาวุธสวมเกราะเหมือนว่าจะออกไปรบ ยังมีบางคนที่สวมชุดยาวดูเหมือนเป็นศิษย์ของบางสำนักปะปนอยู่ในกลุ่มคนด้วย
เมื่อถึงเวลาที่ซูหยางผ่านทหารยามและออกไปจากเมือง คนภายในกลุ่มนั้นหลายคนพากันมองไปที่เขาด้วยสายตาหลากความรู้สึก บ้างก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉาบ้างก็ดูถูกเหยียดหยาม แต่แน่นอนนั่นย่อมยังมีหญิงหลายคนในกลุ่มที่มองเขาด้วยประกายความหลงไหลในแววตา
ภายใต้การจ้องมองของคนกว่าห้าสิบคน ซูหยางเดินไปตามทางอย่างเยือกเย็นสงบเงียบดุจน้ำในทะเลสาบ เขาไม่กังวลสนใจว่าคนกลุ่มนั้นจะทำอะไรกัน อย่างไรก็ตามหูเขาก็ยังได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของฝูงชน
“นั่นมิใช่ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรอกหรือ”
“นิกายไร้ยางอายที่เลือกศิษย์โดยพิจารณาหน้าตาก่อนและพรสวรรค์เป็นอันดับรองนั่นเหรอ”
“ใช่ นิกายนั่นแหละ”
“พวกเขาเอาแต่ร่วมเพศกันทั้งวันและคืนโดยไม่ยอมฝึกฝนให้เหมาะสม แม้ว่าจะมีพลังการฝึกปรือสูง แต่กลับมีประสบการณ์การต่อสู้เป็นศูนย์”
“พวกเขาฝึกวิชาเพื่อหน้าตา ดังนั้นพวกเขาไม่สนใจว่าจะมีพลังฝีมือสูงหรือไม่...”
ซูหยางทำท่าเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินคำกล่าวอะไรเมื่อเหล่าศิษย์จากนิกายอื่นในฝูงชนพูดว่าร้ายนิกายของเขา เพียงแต่หัวเราะอยู่ในใจ แม้ว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะระคายหูแต่นั่นก็มีความจริงแฝงอยู่ในนั้น
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรู้จักกันดีว่ามีแต่คนสวยคนหล่อ ฝึกฝนเรื่องลามก และมีพลังการฝึกปรือสูง อย่างไรก็ตามศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนมีประสบการณ์น้อยมากจนถึงกับไม่มีเลยแม้แต่น้อยเมื่อพูดถึงเทคนิคการต่อสู้ อย่างน้อยศิษย์นอกก็เป็นเช่นนั้น
จากสิ่งที่ซูหยางได้รับมาจากความทรงจำและสิ่งที่เขาพบเห็นด้วยตนเองจากบรรดาศิษย์นอก เหล่าศิษย์นอกล้วนมุ่งเน้นไปแต่การเพิ่มพลังการฝึกปรือโดยแทบจะไม่สนใจฝึกฝนเทคนิคเพื่อนำไปใช้ในการต่อสู้จริง ไม่ถือว่าเกินจริงหากจะพูดว่าศิษย์นอกส่วนใหญ่ล้วนใช้เวลาบนเตียงกับคู่ฝึกมากกว่าที่จะจับกระบี่ฝึกฝนจนเหงื่อไหล
ทันใดนั้นบางคนจากด้านหน้าพลันตะโกนเสียงดัง ทำให้ทุกคนต่างพากันมองไปที่เขา ชายร่างใหญ่หัวล้าน
“เอาละทุกคน พวกเราพร้อมที่จะเดินทางไปยังหุบเขาฟ้าคำรามแล้ว ถ้าตัวเจ้ายังไม่พร้อมตอนนี้เจ้าก็ควรกลับบ้านไปซะ”
บางคนในกลุ่มหัวเราะกับคำพูดของชายร่างใหญ่
“ถ้าพวกเจ้ามีคำถามใด ถามได้เลยตอนนี้”
“ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการเดินทางไปยังหุบเขาฟ้าคำราม” ชายร่างผอมหนังหุ้มกระดูกถือธนูในมือถาม
“ห้าวันโดยประมาณ”
“เจ้าคิดว่ามีแมวสายฟ้ามากเพียงใดที่นั่นให้พวกเราล่า”
“ไม่รู้ว่าพวกเรามีจำนวนมากน้อยเท่าไหร่ แต่พวกมันมีจำนวนอย่างต่ำเป็นร้อย” ชายร่างใหญ่ตอบ เขายังกล่าวต่ออีกว่า “ฟังนี่ นั่นมีแมวสายฟ้าจำนวนมากวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วและพวกมันล้วนยากที่จะเอาชนะ อย่างไรก็ตามนี่หมายความว่าที่นั่นมีแต่ความมั่งคั่งให้พวกเราแบ่งปันกันภายหลัง”
เสียงคำรามข่มขวัญดุจฟ้าร้องกึกก้องพลันดังขึ้น จนเส้นผมซูหยางสั่นสะเทือน
“ช่างเป็นกลุ่มคนที่น่ารังเกียจ...” ซูหยางคิดในใจ เขามองดูกระดาษในมือ “ภารกิจนี้ดูท่าจะใหญ่กว่าที่คาด..”
–
–
–
ซูหยางออกจากเมืองขนนกพริ้วได้ชั่วเวลาหนึ่งแล้ว เขาเดินมือไพล่หลังอย่างเยือกเย็นอยู่บนทางกว้างเหมือนกับเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ เขามองซ้ายมองขวาดื่มด่ำอยู่กับธรรมชาติ เบื้องหลังเขาเป็นกลุ่มคนประมาณห้าสิบคน พวกเขาทุกคนมองซูหยางที่เดินนำหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมรู้สึกเหมือนว่าพวกเราถูกนำไปโดยเจ้าสุนัขนั่น” บางคนในกลุ่มชนพูดเสียงดัง
“เจ้าต้องการพูดว่า...ทำไมเราเดินตามรอยเขาหรือ”
“เรามิสามารถไปเร็วกว่านี้เพราะพวกเราถูกจำกัดไว้แค่นี้”
“นั่นยอมรับมิได้ ถ้าเป็นเช่นนี้พวกเราคงไปมิถึงที่นั่นภายในอาทิตย์หน้า เฮ้ย เจ้าเด็กเลวชุดขาว หลบไปให้พ้นทางก่อนที่พวกเราจะเหยียบเจ้า” ชายร่างใหญ่ร้องตะโกนเสียงดังน่าสะพรึงกลัว
เมื่อได้ยินเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมาจากด้านหลัง ซูหยางหันหน้ามองไปยังกลุ่มคน อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้หยุดเดินเพียงมองกลับไปด้านหน้าหลังจากเหลือบมองไปเพียงครั้งเดียว
การกระทำเรียบง่ายเปี่ยมด้วยความทระนงของเขาทำให้หลายคนในกลุ่มโกรธแค้นขึ้นทันใด
“เจ้าเด็กเลว เจ้าอยากจะสู้กับพวกเราทุกคนด้วยตนเองรึ”
“หาที่ตายชัดๆ”
ซูหยางไม่ได้สนใจที่จะหันมามองอีกเป็นครั้งที่สองและก้าวเดินต่อไปอย่างผ่อนคลาย ทุกคนในกลุ่มล้วนมีพลังการฝึกปรืออย่างต่ำอยู่ที่เขตปฐมวิญญาณระดับเจ็ดโดยมีบางคนอยู่ที่เขตคัมภีร์วิญญาณระดับต้นๆ
คนกลุ่มใหญ่ย่อมแผ่แรงกดดันมากซึ่งทำให้คนขวัญอ่อนหวาดกลัวโดยง่าย แต่ในสายตาของซูหยาง พวกเขาเป็นเพียงแค่กลุ่มคนโง่เสียงดัง
“ฮึ่ม ดูซิว่าเจ้าจะกล้ามิสนใจอีกหรือไม่ หลังจากที่ข้าฟาดขวานใส่” ชายร่างใหญ่ก้าวตรงไปยังซูหยางพร้อมขวานเหล็กใหญ่ในมือ
ในเวลานั้นเองซูหยางพลันหยุดเดินหันกายมาเผชิญหน้ากับฝูงชน
“ข้ามิห้ามเจ้าให้แกว่งของเล่นนั่นมาที่ข้า แต่ให้รู้ไว้ว่าเจ้าจักมิได้ก้าวเท้าเข้าไปในหุบเขาฟ้าคำรามหากเจ้าทำเช่นนั้น...ตลอดไป” ซูหยางกล่าวเบาๆด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยดังเช่นปกติ แต่เสียงกล่าวเบาๆของเขากลับดังราวกับแมลงบินอยู่ในหูของชายร่างใหญ่
“เจ้าพูดอะไรกับข้า เจ้าเด็กเลว” หน้าผากชายร่างใหญ่พลันมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาเมื่อเขาได้ยินคำขู่ของซูหยาง ใบหน้าแดงด้วยความโกรธ
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าได้ยินแล้วนี่” เขาหันกายเริ่มเดินไปอีกครั้ง