บทที่ 26 ถู่ต้าเฮย
บทที่ 26 ถู่ต้าเฮย
หนุ่มน้อยผมเงินชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ดูหล่อเหลาผิดไปจากปกติ มุมปากยกยิ้มเผยรอยยิ้มมั่นใจน่าหลงใหลและน่าไว้วางใจ
ครั้งนี้ไม่เพียงเย่เจียเฉวียนที่ตาเป็นประกาย แม้แต่สือเสี่ยวไป๋เองยังแอบลุ้นด้วยอีกคน วิธีที่ทำให้ผ่านด่านนี้ไปได้ คืออะไรกันแน่?
หลิงฉุนเอ่ย “มองผิวเผินสือเสี่ยวไป๋มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ทางแรกคือยอมถอนตัวจากตำแหน่งหัวหน้าทีมด้วยตัวเอง คิดหาวิธีเชื่อมสัมพันธ์กับซ่งเซียว ขอร้องไม่ให้โดนกำจัดออก แต่สำหรับสือเสี่ยวไป๋วิธีนี้ออกจะเป็นการคับข้องใจเกินไปหน่อย เกรงว่าแม้แต่เราสองคนก็ไม่อาจยอมรับได้”
เย่เจียเฉวียนได้ยินก็ส่ายหัวทันที เอ่ยเสียงดังว่า “ข้ารับไม่ได้!”
หลิงฉุนยิ้มน้อยๆ กล่าวต่อว่า “ทางเลือกที่สองคือโดดอบรมต่อไป รอให้ความสามารถพัฒนาถึงขั้นปฐมจิตชั้นสามค่อยปรากฏตัว เพียงเอาชนะซ่งเซียวได้ ตำแหน่งหัวหน้าทีมของสือเสี่ยวไป๋ก็จะไม่ถูกชิงไปได้”
“แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะระดับ S+ คนธรรมดาจะฝึกฝนถึงขั้นปฐมจิตชั้นสาม เร็วที่สุดยังต้องใช้เวลาถึงสามเดือน แม้ว่าการอบรมเด็กใหม่สำหรับอัจฉริยะอย่างสือเสี่ยวไป๋จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็ได้ แต่สำหรับเรื่องหัวหน้าทีมสีแดงนั้นสำคัญมาก ในเวลาสามเดือน คาดว่าหัวหน้าทีมสีแดงคงถูกคัดออกจนเหลือเพียงไม่กี่คน เพราะฉะนั้่นถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะใช้ได้ แต่ฉันที่เป็นหัวหน้าทีมสีแดง คงยอมมองสือเสี่ยวไป๋ตัดสินใจแบบนี้ไม่ได้”
เย่เจียเฉวียนเกาศีรษะ เอ่ยอย่างเห็นด้วย “ข้าก็ไม่หวังให้หัวหน้าทีมสือเสี่ยวไป๋โดดการอบรมไปตลอด แต่ข้า...คิดวิธีอื่นไม่ออก หลิงฉุนนายฉลาดขนาดนี้ นายมีวิธีใช่ไหม?”
สือเสี่ยวไป๋ได้ยินถึงตรงนี้ ก็มองไปทางหนุ่มน้อยผมเงินอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทางเลือกทั้งสองของหลิงฉุนร้อยทั้งร้อยเขาไม่มีทางยอม แต่ก็ยังคิดหาวิธีที่ดีกว่าไม่ได้ ดูจากท่าทางของหลิงฉุน ราวกับว่าคิดวิธีที่ใช้ได้ออกแล้ว สือเสี่ยวไป๋หูผึ่ง รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
หลิงฉุนไม่คิดจะอมพะนําต่อไปเอ่ยต่อไปว่า “วิธีน่ะมีอยู่แล้ว และวิธีนี้ก็ง่ายมาก ฉันคิดว่าสือเสี่ยวไป๋ควรจะมาเข้าร่วมการอบรมเด็กใหม่ แต่ต้องปิดบังตัวตน!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา สือเสี่ยวไป๋และเย่เจียเฉวียนต่างก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าวิธีที่หลิงฉุนมั่นใจนักหนาจะธรรมดาขนาดนี้ ฟังดูก็ไม่เหมือนมีอะไรลึกลับ เมื่อคิดอย่างจริงจัง การปิดบังตัวตนสามารถหลีกเลี่ยงทางเลือกทั้งสองก่อนหน้านี้ได้จริง แต่การปิดบังตัวตนจะง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?
เย่เจียเฉวียนสงสัย “ถึงข้าจะโง่ แต่ข้าก็รู้ว่าเด็กใหม่ก่อนจะเข้าทีมได้ต้องผ่านการตรวจสอบ หัวหน้าสือเสี่ยวไป๋ต้องทำยังไงถึงจะเล็ดรอดสายตาของอาจารย์ซีซือไปได้?”
หลิงฉุนยิ้มเล็กน้อย ถามกลับว่า “ทำไมจะต้องปิดบังอาจารย์ซีซือด้วยล่ะ?”
“ห๊า?” เย่เจียเฉวียนอึ้งไป
หลิงฉุนก็ไม่ได้คาดหวังว่าหัวสมองโล่งโจ้งอย่างเย่เจียเฉวียนจะสามารถเข้าใจความซับซ้อนในถ้อยคำของเขา จึงรีบเฉลยคำตอบทันที
“ฉันเคยบอกแล้วว่า ไม่ว่าผู้สร้างเกมคนไหนก็มักจะเหลือช่องทางชนะไว้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เพราะเกมที่ชนะไม่ได้นั้นไม่สนุก อาจารย์ซีซือถือเป็นคนคลั่งไคล้เกมคนหนึ่ง ในเมื่อจงใจออกแบบเกมน่าเบื่อนี้เพื่อท้าทายสือเสี่ยวไป๋ ก็ต้องเหลือช่องทางไว้เพื่อเป็นความบันเทิงของตัวเองแน่นอน”
สองมือของหลิงฉุนสอดเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง เอนกายไปด้านหลัง เงยหน้าขึ้นพลางพูด “และช่องโหว่ที่อาจารย์ซีซือทิ้งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็คือวิธีที่ฉันบอก ‘ปิดบังตัวตน’ สือเสี่ยวไป๋สามารถคิดหาวิธีปิดบังตัวตน แล้วค่อยๆ พัฒนาตัวเองในระหว่างเข้าร่วมการอบรมเด็กใหม่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยเปิดเผยตัวตน และเอาชนะซ่งเซียวได้ในที่สุด แบบนี้ไม่เพียงรักษาตำแหน่งหัวหน้าทีมไว้ได้ แต่ยังสามารถเข้าร่วมการอบรมได้ด้วย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวโดยแท้”
“อาจารย์ซีซือเป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องกังวล ที่จริงแล้วอาจารย์ซีซือยินดีอย่างยิ่งที่จะเห็นสือเสี่ยวไป๋ปิดบังตัวตน วิธีแก้เกมอย่างชาญฉลาดเช่นนี้แหละเป็นสิ่งที่ผู้สร้างเกมเฝ้ารอที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าอาจารย์ซีซือจะเพิ่มความยากของเกมยิ่งขึ้น แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ คืออาจารย์ซีซือไม่เพียงไม่มีทางเปิดเผยตัวตนของสือเสี่ยวไป๋ แต่กลับกันเขาอาจยังช่วยสือเสี่ยวไป๋ปิดบังตัวตนด้วย เพราะเขาหวังว่าเกมภายใต้การควบคุมของเขาจะเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงขึ้น”
“และที่สำคัญที่สุด ข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของสือเสี่ยวไป๋มีน้อยมาก ตามที่เล่ากันมา ตอนทดสอบเด็กใหม่สือเสี่ยวไป๋ปรากฏตัวและจากไปอย่างกะทันหัน ด้วยเหตุนี้คนอื่นๆ ในห้องทดสอบเลยไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้เลย [ไกอา] ชั้นสูงยิ่งไม่ยอมให้ข้อมูลของสือเสี่ยวไป๋หลุดออกมาแน่ และก็ไม่รู้ว่าทำไมเด็กใหม่ที่เข้าร่วมทดสอบพร้อมสือเสี่ยวไป๋ แค่คนอื่นพูดถึงสือเสี่ยวไป๋ก็ทำหน้าไม่พอใจแล้ว ทั้งยังไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น ดังนั้นถึงแม้ว่าเด็กใหม่ส่วนใหญ่จะรู้เรื่องคะแนนทดสอบที่สร้างความโกลาหลของสือเสี่ยวไป๋แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าสือเสี่ยวไป๋มีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง”
“อย่างที่เห็น ปิดบังตัวตนเป็นวิธีที่ใช้ได้แน่นอน”
วาทะศิลป์ของหลิงฉุนนั้นดีมาก การเล่าเรื่องก็ครบถ้วนกระบวนความ เย่เจียเฉวียนฟังแล้วได้แต่พยักหน้า ฟังมาถึงสุดท้ายจึงได้ตบมือชอบใจ ยิ้มอย่างเซ่อซ่า
สือเสี่ยวไป๋เองก็เข้าใจความหมายของหลิงฉุน รู้สึกว่าวิธีการที่หลิงฉุนพูดมาก็มีเหตุผลอยู่ ถ้าหากอาจารย์ซีซือเป็นอย่างที่หลิงฉุนวิเคราะห์จริง เป็นเกมเมอร์ผู้บ้าคลั่งความท้าทาย ถ้าอย่างนั้นกลวิธีในการรับมืออย่าง ‘การปิดบังตัวตน’ อยู่ในขอบเขตกติกาจริง ก็เป็นไปได้ว่าอาจารย์ซีซือก็จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ออกไป หากว่า [ไกอา] ชั้นสูงเจตนาปิงบังตัวตนของเขา บวกกับพวกหยางหยางปิดปากไม่ยอมพูด เช่นนั้นเด็กใหม่คนอื่นๆ ต้องไม่มีทางรู้ว่าเขามีหน้าตาอย่างไรแน่นอน
อีกอย่างถ้าหากนำสถานการณ์ตรงหน้ามาทำความเข้าใจอย่างเกมล่ะก็ เช่นนั้นสถานการณ์ที่สือเสี่ยวไป๋เผชิญอยู่ตอนนี้ที่จริงแล้วก็คือการอัพเลเวลและการเผชิญหน้ากับศัตรู หากอยากจะอัพเลเวลก็ต้องดวลกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองหลายเท่าให้รู้แพ้รู้ชนะ แต่ถ้าอยากเลี่ยงการปะทะนี้ก็ต้องสละหนทางการอัพเลเวลในรูปแบบปกติไป
แต่การปิดบังตัวตนกลับช่วยแก้ปัญหาทั้งสองข้อข้างบนได้ แอบปะปนอัพเลเวลอยู่ในกลุ่มศัตรู หลังจากพัฒนาถึงระดับที่เพียงพอจะจัดการบอสฝั่งศัตรูได้แล้วก็กบฏ ตรองอย่างละเอียดเป็นวิธีการผ่านด่านที่สุดยอดจริงๆ
“ถึงแม้ข้าจะชอบการเผชิญหน้าตรงๆ มากกว่า แต่ในสมัยที่วงการเกมกำลังเป็นที่นิยมข้าถูกขนานนามว่าเทพเจ้ากลยุทธ์ ‘ปิดบังตัวตน’ กลยุทธ์นี้เหมือนว่าจะน่าสนุกนะ!”
สือเสี่ยวไป๋เริ่มคิดอย่างจริงจังถึงข้อเสนอของหลิงฉุน
เย่เจียเฉวียนที่ยิ้มเซ่อซ่าอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่งแล้วเหมือนว่าจะคิดอะไรได้ สีหน้าสลดขึ้นทันใด กล่าวว่า “แต่ว่าวิธีการดีๆ แบบนี้ ข้าจะทำยังไงให้หัวหน้าทีมสือเสี่ยวไป๋รับรู้ได้ล่ะ?”
สือเสี่ยวไป๋ได้ยินก็ตะลึงไป ในใจแอบกระหยิ่มดีใจ
“ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีที่ยืน ไม่มีอะไรที่ไม่รู้!”
สือเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าตัวเองนิ่งเงียบมานานพอแล้ว พิจารณาว่าควรจะแสดงมหาเมตตาบอกพวกเขาถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ที่จริงคนตรงหน้าทั้งสองล้วนเป็นผู้ศรัทธาแสนซื่อสัตย์ของเขา ถึงแม้ว่าคนหนึ่งจะมุทะลุไร้สมอง อีกคนจะฉลาดนิ่งล้ำลึก แต่ระดับความศรัทธานั้นไม่ต้องพูดถึง
ขณะที่สือเสี่ยวไป๋กำลังลังเลอยู่นั้น หลิงฉุนก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้าทึ่มเย่ นายคิดว่าสิ่งที่ฉันคิดได้ สือเสี่ยวไป๋จะคิดไม่ได้งั้นหรอ? สือเสี่ยวไป๋น่ะนะ จะต้องฉลาดกว่าฉันมากแน่นอน!”
เย่เจียเฉวียนดวงตาเป็นประกายทันใด ยิ้มกล่าวว่า “ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง หัวหน้าสือเสี่ยวไป๋ต้องคิดวิธีนี้ได้แล้วแน่นอน!”
หลิงฉุนพยักหน้าพลางกล่าว “บางทีสือเสี่ยวไป๋อาจจะปิดบังตัวตนมาเข้าร่วมการอบรมเด็กใหม่ในเร็วๆ นี้ ไม่สิ บางทีตอนนี้เขาอาจจะซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเด็กใหม่แล้ว!”
เย่เจียเฉวียนตื่นเต้น “จริงหรอ!?”
หลิงฉุนยิ้มน้อยๆ “เพราะฉะนั้นก็รอเถอะ ถึงแม้ว่าสือเสี่ยวไป๋จะเป็นหัวหน้าทีมสีแดงไม่ได้ชั่วคราว แต่ช้าเร็วสักวันหนึ่งจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน พิสูจน์ความรุ่งโรจน์ของตัวเอง! บางทีใครสักคนข้างๆ ฉันกับนายที่จริงแล้วก็คือสือเสี่ยวไป๋ บางทีตอนที่ทีมสีแดงกำลังยากลำบากเขาก็แอบอยู่ข้างๆ พวกเรามาโดยตลอด กำลังเติบโตอย่างเงียบๆ! บางทีสือเสี่ยวไป๋กำลังเฝ้ามองความพยายามของพวกเราอยู่เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาที่เขาเปิดเผยตัวตน บางทีพวกเราก็อาจเป็นเพื่อนกับเขาไปตั้งนานแล้ว!”
หลิงฉุนยื่นมืออกจากกระเป๋า ชี้ไปยังดวงอาทิตย์บนท้องนภา กล่าวเสียงดังว่า “บางที พวกเราหลงคิดไปว่าเขาหลบอยู่ในราตรีอันมืดมิดรอคอยเวลารุ่งอรุณ แต่เขาได้มาอยู่ข้างกายเราตั้งนานแล้ว เหมือนพระอาทิตย์ที่มอบแสงสว่างและความอบอุ่น”
“เจ้าทึ่มเย่ บางทีสือเสี่ยวไป๋อาจจะอยู่ข้างๆ พวกเรามาโดยตลอด!”
เย่เจียเฉวียนได้ฟังใจก็เต้นตึกตัก ดวงตาแดงก่ำ พยักหน้าแรงๆ ไม่หยุด ปากพลางส่งเสียงรับ “อื้อ”!
สือเสี่ยวไป๋ได้ฟังก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างประหลาดเหมือนกัน รู้สึกเพียงว่าสือเสี่ยวไป๋ที่หลิงฉุนพูดถึงช่างกินใจเหลือเกิน ทำให้คนรู้สึกเคารพนับถือ
“ข้าอยู่ข้างกายพวกนายมาโดยตลอด!”
สือเสี่ยวไป๋เพียงคิดภาพว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะยืนพูดประโยคนี้ต่อหน้าทีมสีแดงทุกคน หัวใจพลันเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกรุ่มร้อนไปทั่วทรวงอก
“อ้อ ใช่แล้ว น้องชายท่านนี้ นายคิดได้แล้วหรือยังว่าจะเข้าร่วมกับทีมไหน?”
หลิงฉุนที่ไม่เคยมองสือเสี่ยวไป๋ตรงๆ มาก่อนพลันหันกายมาทางสือเสี่ยวไป๋ เอ่ยถามเสียงเบา
ระลอกความคิดของสือเสี่ยวไป๋ถูกขัดจังหวะ เขาไม่ได้ตอบสนองในทีแรก ตัดสินใจเอ่ยว่า “เข้าทีมสีแดง!”
เย่เจียเฉวียนพลันตะโกนด้วยความยินดี “ยอดเยี่ยมที่สุด!”
หลิงฉุนยิ้มน้อยๆ เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ยื่นมือไปทางสือเสี่ยวไป๋ “ยินดีต้อนรับสู่ทีมสีแดง ฉันชื่อเฉินหลิงฉุน”
นิ้วมือเรียวขาวอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้แสงสาดส่องของพระอาทิตย์ยังคงเห็นเส้นเลือดสีเขียวมรกตภายใต้ผิวใสกระจ่างอย่างชัดเจน
นั่นจะต้องเป็นมือนุ่มนิ่มไร้กระดูกคู่หนึ่งแน่ๆ
หลังจากที่สือเสี่ยวไป๋ลังเลเล็กน้อย ก็ยื่นมือขาวออกมาเช่นกัน แต่เป็นมืออบอุ่นที่เห็นเส้นเลือดอวบหนาชัดเจน แล้วจับมือกับหลิงฉุนเบาๆ
“ถู่ต้าเฮย[1]”
สือเสี่ยวไป๋บอกชื่อที่แต่งขึ้นมั่วๆเมื่อกี๊ ในใจยิ้มราวดอกไม้บาน
เพียงแต่สือเสี่ยวไป๋ไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าหนุ่มน้อยผมเงินตรงหน้าก็ผุดรอยยิ้มพึงพอใจ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับให้ความรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
[1] ถู่ต้าเฮย 土(ดิน) 大(ใหญ่) 黑(ดำ) เป็นชื่อที่ตั้งด้วยคำตรงข้ามชื่อเดิม : สือเสี่ยวไป๋ 石(หิน) 小(เล็ก) 白(ขาว)