ตอนที่ 42: สละยานยนต์ AVM-32
ตอนที่ 42: สละยานยนต์ AVM-32
ถนนภายในเขตการปกครองของชาวมัสติน ไม่ได้เป็นในพื้นคอนกรีตหรือพื้นราดด้วยวัสดุอื่นเสมอไป แต่อาจจะเป็นพื้นที่ในอากาศโล่งๆ ซึ่งจะเห็นเส้นกำหนดพื้นที่ถนนได้ต่อเมื่ออยู่ในยานยนต์ เช่นตอนนี้ ภาพที่เฮเซคียาห์เห็นจากยานยนต์ AVM-32 ปรากฏเส้นประในอากาศประกบด้านข้างวิถีที่เขาพายานพุ่งไป
เขามองด้านล่างของหน้าจอ ภาพยานยนต์ของเจ้าหน้าที่มหาดไทยสองคันที่เร่งความเร็วตามมาถูกฉายขึ้นมา พร้อมกับคำแนะนำว่าเขาควรหยุดจอดและพบกับเจ้าหน้าที่
“หยุดก็โง่สิวะ” ชายหนุ่มพึมพำ เร่งเครื่องยนต์ของ AVM-32 อย่างเต็มกำลัง และใช้คันบังคับหักหลบยานยนต์คันอื่นบนถนนเดียวกันด้วยความชำนาญในการขับขี่ เสียงไซเรนดังไล่ตามมาทางด้านหลัง
เฮเซคียาห์บังคับยานยนต์เข้าไปยังถนนเส้นหนึ่งที่ค่อนข้างแคบระหว่างตัวอาคารสูงใหญ่ รายงานจากหน้าจอแจ้งว่าเวลานี้ไม่มียานยนต์อื่นบนถนนเส้นนี้ในระยะหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งไม่น่าแปลก ถนนเส้นนี้ตัดผ่านชุมชนของทาสชาวมนุษย์ระดับอภิสิทธิ์ชน ซึ่งทำงานให้กับเจ้าของในโซนสี่ไล่ไปจนถึงโซนหนึ่ง
“ตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว ยานยนต์รับส่งมนุษย์น่าจะกลับไปที่สถานีแล้ว” เฮเซคียาห์มองนาฬิกาและเหลือบตามองไปทางขวามือ อาคารสูงเสียดฟ้าแออัดยัดเยียดกันและขนานคู่กันมากับถนนที่ใช้ก่อนหน้านี้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ตอนนี้ทางด้านขวาของเขาสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ดวงโตที่สุดขอบฟ้าเป็นสีแดงฉาน ขณะที่ด้านซ้ายเห็นท้องฟ้าโล่ง
“ปรับบรรยากาศให้เหมือนการลอยตัว ผนังห้องโดยสารทุกส่วนโปร่งใส” เขาออกคำสั่งกับเซ็นเซอร์
ภายในห้องโดยสารสีขาวซึ่งบรรยากาศอมฟ้าเพราะแสงจากบนพื้นและหน้าปัดควบคุมต่างๆ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มต้นจากพื้นที่ใกล้หน้าจอ เฮเซคียาห์สามารถเห็นท้องฟ้าภายนอกได้ทีละน้อย และที่สุด ทั้งห้องโดยสารอันตรธานไป เขาก้มลงมองที่เท้าก็พบว่าสามารถมองเห็นพื้นโลกเบื้องล่างได้ และด้านหลังของเขาก็เปิดโล่ง
เฉพาะมือของเขาที่มีอุปกรณ์ควบคุมทิศทางของยานยนต์อยู่ในมือ ร่างของเขาเหมือนลอยเฉยๆ อยู่ในอากาศในท่านั่ง
“เอาล่ะ ถ้าเป็นแถวนี้ละก็ ฉันคงออกนอกเส้นทางได้สบาย แล้วจัดการไอ้พวกบ้านั่นได้ง่ายๆ”
เฮเซคียาห์มองที่มุมล่างของหน้าจอ คำแนะนำให้หยุดเครื่องยังแจ้งเตือนอยู่ เห็นแล้วขัดลูกนัยน์ตา
“หยุดการแจ้งเตือนเกี่ยวกับกฎหมายจราจรทั้งหมด!”
คำแนะนำหายไปจากหน้าจอ
“บรอธ มียานลำอื่นตามฉันมาอีกนอกจากสองยานนั้นไหม”
“อีก 5 ลำกำลังแล่นตามมา อีก 3 นาทีจะมารวมตัวกันที่นี่ และเป็นไปได้ว่ามียานยนต์ลำอื่นวิ่งมาจากโซนชั้นในเพื่อมาสมทบ ฉันรับรู้ได้ถึงการที่ยานลำนี้ถูกล็อกเป็นเป้าหมาย แต่ให้รายละเอียดไม่ได้ การทำงานเพื่อตรวจสอบพื้นที่และข้อมูลของฉันภายในเมืองนี้ถูกรบกวนตลอดเวลา นั่นคงเพราะคลื่นพลังงานของไลฟ์ควอตซ์กระจายอยู่ทั่ว ทั้งที่แผ่มาจากไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิดโดยตรง และจากเศษไลฟ์ควอตซ์ในตัวผู้คน”
“ฉันจะจัดการไอ้ยานสองลำที่แล่นตามมาก่อน แล้วเดี๋ยวเราลงเดินเท้าเข้าไปในชุมชนข้างหน้า”
“คำเตือน: การเดินเท้าผ่านชุมชนดังกล่าวทำให้การเดินทางไปถึงวังหลวงเป็นไปอย่างล่าช้า”
“ล่าช้าเหรอ จะล่าช้าไปมากน้อยเท่าไหร่กันเชียว”
“วิเคราะห์: ยานลำนี้มีส่วนสนับสนุนการทำภารกิจเข้าเฝ้าราชินีเอสเธอร์ โดยเวลาที่คาดคะเนว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น คือ 3 วัน”
“อ้าว! นี่แกกำหนดความต้องการของฉันเป็นภารกิจเลยเหรอ” เฮเซคียาห์นึกขำ
“นี่คือภารกิจ!”
“เอ้า! ตามใจแกแล้วกัน จะเรียกว่าอะไรก็ได้” ชายหนุ่มเหลือบมองต่ำไปยังบริเวณที่วางเท้าซึ่งตอนนี้เขามองเห็นทะลุได้ พื้นที่เบื้องล่าง ไกลลิบจากยานยนต์ที่ลอยตัวอยู่ เขาคิดว่าเป็นทุ่งข้าวบาร์เลย์ และเขายังเห็นต้นไม้อย่างอื่นที่ถูกปลูกเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบ “แล้วถ้าฉันลงเดินเท้า ภารกิจจะเสร็จสิ้นล่าช้าไปกี่วัน”
“วิเคราะห์: เวลาที่คาดคะเน 10 วัน”
“ทำไมมันต่างกันขนาดนั้น” เฮเซคียาห์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ตรวจพบอุปสรรคสำหรับนักโทษ! ชุมชนดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่พิเศษซึ่งมีความชำนาญและแข็งแกร่งเป็นพิเศษในการล่าจับนักโทษ ปกติจะปฏิบัติการกับพวกมนุษย์ด้วยกันเอง”
“เจ้าหน้าที่ที่คอยควบคุมมนุษย์ให้อยู่ในความสงบ? คนแบบนั้นนี่นะ จะมาทำให้ฉันเดินทางล่าช้าไปหลายวัน”
“ใช่! เธอเป็นมนุษย์ภายใต้การควบคุมของเอ็ดก้า มาราแรง ซึ่งเขาขอใบอนุญาตพิเศษในการรับเลี้ยงเธอเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว...”
“จะเก่งแค่ไหน ก็แค่มนุษย์”
“เธอเป็นผู้ใช้เศวตศาสตรา!”
เฮเซคียาห์นิ่งไปพร้อมกับกลั้นใจ แล้วอีกหลายวินาทีต่อมา เขาค่อยๆ ถอนหายใจยาว
“ฉันนึกออกแล้ว เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเอ็ดก้า มาราแรงมีลูกน้องพรรค์นั้นอยู่”
“เธอมีหน้าที่จัดการกับมนุษย์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมให้ได้รับโทษ รวมถึงจัดการกับเด็กๆ ที่พบว่าให้กำเนิดเศวตศาสตราออกมา และเคยร่วมจัดการปัญหาความไม่สงบในเมืองที่เกิดจากเผ่าพันธุ์อื่นอยู่หลายครั้ง” บรอธให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เฮเซคียาห์ฟังไปเรื่อยๆ พร้อมกับวางแผนจัดการกับยานยนต์สองลำทางด้านหลัง “เอ็ดน่า มาราแรง เธออันตรายกับทุกคน ทั้งผู้ใช้เศวตศาสตรา ชาวมัสตินและเผ่าพันธุ์อื่นๆ”
“ฉันชักอยากเจอเธอแล้วสิ เอ็ดก้าให้เธอใช้นามสกุลของเขาเสียด้วย ฝีมือคงเจ๋งแน่ๆ แต่ยังไงฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะทำให้ฉันต้องชักช้าอืดอาดอยู่แถวโซนสี่หรือสามนานขนาดที่แกว่า”
“ฉันเชื่อได้นะคีห์”
“บางครั้งเท่านั้นแหละ” เฮเซคียาห์ขัดการสนทนาของบรอธ เขาเองมีเหตุผลที่ต้องลงเดิน “ยานลำนี้เร็วก็จริง แต่มันถูกตรวจจับได้จากระบบงานจราจรว่ากำลังอยู่ที่พิกัดไหน สิ่งที่ฉันกับแกต้องการตอนนี้คือยานพาหนะที่พวกมนุษย์ใช้ ไม่อย่างนั้นพอฉันลงจากยาน คงมีชาวมัสตินตรงเข้ามารุมทึ้งฉันเป็นกองทัพ”
“จากการวิเคราะห์ประวัติการต่อสู้ของนายเพื่อปกป้องหมู่บ้านเซนต์กิลเจน คาดว่าต้องใช้ชาวมัสตินที่มีความชำนาญในการต่อสู้ไม่ต่ำกว่า 500 คนเพื่อต่อสู้กับนายคนเดียวอย่างสูสีขณะที่นายใส่ชุดตัวนี้ มีฉัน และมีแก่นพลังกำเนิดอาวุธ”
“เมื่อก่อนให้ฉันสู้กับคน 2,000 คนด้วยตัวคนเดียว ยังได้เลย เฮอะ!” ชายหนุ่มเบื่อหน่ายที่ต้องมารับฟังว่าเขาในปัจจุบันมีความสามารถต้อยต่ำลง
“แต่ยังไงก็เถอะ ฉันแนะนำให้ใช้ยานลำนี้เดินทางเข้าสู่โซน 2 และลงจอดที่นั่นเพื่อหาทางขโมยบัตรประจำตัวของคนที่นั่น เพราะหากไม่มีบัตรประจำตัวของพลเมืองระดับสูง หรือบัตรเชิญพิเศษ เป็นเรื่องยากที่จะเข้าสู่พระราชวังได้ ที่นั่นมีการรักษาความปลอดภัยหนาแน่น”
“ขโมยจากพวกมนุษย์ก็ได้ บางคนในชุมชนนี้ทำงานในวังหลวง” เฮเซคียาห์ถกเถียงกับบรอธ
“แต่บัตรของพวกเขาถูกจำกัดบริเวณเข้าถึงได้” บรอธพอมีความรู้เกี่ยวกับชีวิตการทำงานของมนุษย์ในเมืองหลวง “ฉันเข้าใจว่าพวกเขาต้องเข้าสู่พื้นที่ตรวจสอบ เพื่อเปลี่ยนไปใช้บัตรอีกใบ ถ้าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่รับใช้สมาชิกของราชวงศ์และต้องเข้าถึงพื้นที่เฉพาะ”
“นายเข้าใจถูกแล้ว”
“ทำแบบที่นายคิดไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ไม่ใช่เรื่องดี”
“หุบปากน่า! เจอกับผู้ใช้เศวตศาสตราที่ทำงานให้ชาวมัสตินอย่างเอ็ดน่า มันก็น่าทึ่งจะตาย” เฮเซคียาห์มีความเชื่อว่าเขาจะจำกัดเอ็ดน่าไม่ให้เข้ามาขัดขวางการเดินทางไปที่วังหลวงของเขา ไม่เชื่อว่าตนเองจะปรับเปลี่ยนผลวิเคราะห์ของบรอธไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการวิเคราะห์ของบรอธ แต่ขึ้นอยู่กับทางเลือกด้านพฤติกรรมของเขาต่างหาก หากเขาต่อรองดีๆ ไม่แน่ว่าเอ็ดน่าอาจมาเข้าพวกกับเขาด้วย
“หยุดนะคีห์!” บรอธคุยกับเขา ช็อตไฟฟ้าใส่เขาอ่อนๆ ด้วย ขณะที่เฮเซคียาห์บังคับยานให้หมุนกลับ
“อย่ายุ่ง! ฉันเลือกสิ่งที่ฉันต้องทำเอง” เขาตบมือไปด้านข้างกระแทกเข้ากับผนังโถงโดยสาร เครื่องรวนไปเล็กน้อยทำให้เขาเห็นผนังเป็นสีขาว แต่เพียงพริบตาเดียว ภาพของท้องฟ้าก็กลับเข้ามาแทนที่
เฮเซคียาห์โยกคันบังคับยาน นำพายานออกสู่พื้นที่ที่ถูกกำหนดไว้ให้เป็นถนน และเร่งความเร็วเพื่อเข้าเสียดสีกับยานของเจ้าหน้าที่ ยานลำนี้ไม่ได้ติดอาวุธเอาไว้ และยานเจ้าหน้าที่จะเริ่มใช้อาวุธได้เมื่อเขาเริ่มใช้อาวุธหรือความรุนแรงในรูปแบบอื่นเนื่องมาจากป้องกันความเสียหายต่อพลเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องบนท้องถนน ซึ่งเฮเซคียาห์ในตอนนี้ต้องการเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธกับเขา
ภาพท้องฟ้าเบื้องหน้าที่สามารถมองเห็นได้จากในห้องโดยสาร มีตัวอักษรขึ้นเตือนว่ายานของเจ้าหน้าที่ส่งกระสุนอากาศออกมา
ชายหนุ่มรีบหลบอย่างรวดเร็ว เขาดึงยานลงดิ่งและชักให้พุ่งกลับขึ้นมา หนีเจ้าหน้าที่ต่ออย่างมีลูกเล่น
“เฮ้! บรอธ นายต้องบังคับยานให้ฉัน”
“หืม? อะไรนะ?”
“ฉันจะโผล่ผ่านช่องด้านบน แล้วใช้แก่นอาวุธสารพัดนึก ยังไงเราต้องสอยพวกเจ้าหน้าที่ซะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ได้เดินดีๆ เข้าไปในหมู่บ้านแน่ๆ” เฮเซคียาห์ยกมือของเข้าขึ้น และแตะสัมผัสเหนือศีรษะจนพบขอบของช่องทางออกเหนือศีรษะ เขาออกแรงดันหลายทีจนมันเปิดออก
“ขู่ไว้ก่อนว่าถ้านายไม่ช่วยฉันจัดการกับเจ้าพวกนี้ก่อนลงไปถึงด้านล่าง พวกมนุษย์ในเมืองอาจจะเสี่ยงไปด้วย เพราะฉันเข้าไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่คงกระเหี้ยนกระหือรือจะจัดการกับฉัน พวกเขาอาจยิงปืนไปโดนคนตายสัก 2-3 คน”
“นายข่มขู่? นายกำลังข่มขู่!”
“แกไม่ค่อยอยากให้มนุษย์บาดเจ็บ แล้ววัตถุประสงค์ของการคงอยู่ของแกคือการปกป้องมนุษย์จากพวกมัสตินนี่ แกจะปล่อยให้มนุษย์ถูกพวกมัสตินฆ่าตายหรือไง”
“ฉันวางเฉยได้ เหตุการณ์พวกนั้นอาจไม่เกิด”
“เอ้า! ตามใจแกละกัน แต่ชีวิตฉันก็จะเสี่ยงมาก ถ้าแกไม่ควบคุมยานลำนี้ดีๆ” เฮเซคียาห์หัวเราะอย่างไม่เกรงกลัวต่ออนาคตที่เขาไม่รู้แน่ชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้น บรอธจะช่วยเขาหรือไม่ ถ้าเขาหลุดไปจากยานลำนี้ หรือยานลำนี้ระเบิดแล้วเขาร่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง ก็ใช่ว่าเขาจะตายไป
เฮเซคียาห์ผุดลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้โดยสาร และโผล่ครึ่งตัวออกไปทางช่องด้านบน เขาได้ยินเสียงบรอธแจ้งเตือนให้เขากดศีรษะลง ซึ่งเขารีบทำตามทันทีและรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเพิ่งถากศีรษะของเขาด้านบนไป เขาแตะผมตัวเองและพบว่ามีบางส่วนหดสั้นลงเพราะไหม้จากการถูกเสียดสีอย่างรุนแรง สิ่งที่ยานของเจ้าหน้าที่ส่งออกมาโดนเขาคงเป็นกระสุนอากาศเหมือนตอนต้น
เฮเซคียาห์ดึงแก่นพลังกำเนิดอาวุธออกมา และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นปืนที่ใช้กระสุนแบบนำวิถี
เมื่อเขายิงออกไป ประกายไฟฟ้าเป็นเส้นเห็นได้ในอากาศ ซึ่งแสดงว่ากระสุนแบบนำวิถีกระแทกเข้ากับเกราะของยานยนต์ที่เปิดใช้อยู่
“วิเคราะห์: ยิงต่อเนื่อง 1,500 นัดเพื่อทำลายเกราะของอีกฝ่าย”
ใจของเฮเซคียาห์อยากทำตามที่บรอธบอกให้สำเร็จในทีเดียว แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะยานอีกลำไม่ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายโจมตีแต่เพียงผู้เดียว กระสุนแบบนำวิถีถูกส่งออกมาโต้ตอบ นี่เป็นเพราะเฮเซคียาห์ใช้งานอาวุธที่มีความร้ายกาจมากขึ้น มันจะปลดล็อคอาวุธที่ร้ายแรงขึ้นของเจ้าหน้าที่
ยาน AVM-32 เป็นยานของพลเมืองทั่วไป ดังนั้นมันไม่มีเกราะ บรอธจึงควบคุมยานให้บินฉิวฉวัดเฉวียน ทางเฮเซคียาห์เองใช้เท้าเกี่ยวบริเวณที่รองศีรษะของเบาะที่นั่งไว้แน่น มือข้างหนึ่งจับขอบของช่องที่ตนโผล่หน้ามาไว้แน่น และเขาเปลี่ยนไปใช้อาวุธเลเซอร์วิถียาวเพื่อยิงลำแสงเลเซอร์ออกมาเพื่อหวังผลให้ทำลายเกราะอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่แน่นอนว่าการยิงเองจะทำให้พลาดเป้าไปบ้าง
“วิเคราะห์: ยิงต่อเนื่องอีก 300 ครั้งเพื่อบรรลุเป้าหมาย” บรอธทำให้เฮเซคียาห์มีกำลังใจขึ้น
เขายังคงยิงอยู่ แม้จะเริ่มหน้ามืดและวิงเวียน เพราะยานบินขึ้น บินลง แถมบางทียังกระเทือนอย่างแรงเพราะกระสุนที่ส่งมาจากยานของเจ้าหน้าที่เฉียดกระทบเข้ากับยานอยู่บ้าง
“บรอธ แกเข้าใจความคิดของฉันหรือเปล่า คอนเฟิร์มเดียวนี้” เฮเซคียาห์คิดบางอย่างออก และต้องการมั่นใจว่าบรอธจะทำในสิ่งที่สนับสนุนการกระทำของเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
บรอธส่งภาพจำลองการเคลื่อนไหวของเฮเซคียาห์และการทำงานของมัน แทนการตอบด้วยคำพูด ภาพที่เห็นนั้นแจ่มชัดจนอาจเรียกว่าเป็นภาพในอนาคตแทนภาพจำลองก็ยังได้
ยาน AVM-32 เคลื่อนที่เข้าไปใกล้ยานเจ้าหน้าที่มากขึ้น แต่ขับเคลื่อนซิกแซ็ก เดี๋ยวขึ้นบน เดี๋ยวลงล่าง เดี๋ยวไปทางซ้าย และทางขวา ในส่วนของวิถีเลเซอร์ที่ยิงออกไปเป็นระยะ โดนยานเป้าหมายบ้าง ไม่โดนบ้าง และในที่สุดเมื่อบรอธแจ้งว่ายานที่เป็นเป้าหมายหลักไม่มีเกราะคุ้มกันแล้ว บรอธก็เร่งความเร็วของยาน AVM-32 ให้พุ่งเข้าไปหายานเจ้าหน้าที่แบบไม่รั้งรอ ส่วนเฮเซคียาห์ผลุบกายหายเข้าไปในยาน
เขาเฝ้ามองจากด้านในยานที่ระบบเริ่มรวนเพราะระบบได้รับความกระทบกระเทือน บรอธช็อตไฟฟ้าอย่างแรงจนกระทั่งแผนควบคุมมีไฟฟ้าลัดวงจร ในโถงโดยสารปรากฏภาพผนังอย่างที่ควรจะเป็น แต่แสงไฟในห้องโดยสารกะพริบถี่ๆ
“อ๊าก!!!” เฮเซคียาห์ตะโกนออกมาเสียงดังเพื่อปลุกใจ เขาเห็นหน้าจอแจ้งเตือนถึงกระสุนบรรจุวัตถุไวไฟที่มีตัวจุดระเบิดติดตั้งไว้เป็นกลไกภายในพุ่งเข้ามาหา
เขาผลักบานปิดช่องเหนือศีรษะออก และคว้าบรอธที่พุ่งออกไปก่อน เพื่อจะให้บรอธดึงตัวของเขาให้พุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และในจังหวะที่ร่างกายของเขาพ้นออกมาจากยานซึ่งกำลังพุ่งเข้าไปหายานของเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่เหลือเกราะคุ้มภัย ยาน AVM-32 ระเบิดเป็นชิ้นๆ อย่างรุนแรงในจังหวะเดียวกับที่พุ่งชนยานของเจ้าหน้าที่ลำดังกล่าว และเกิดการระเบิดต่อเนื่องอีกหลายหน
แรงระเบิดพัดเฮเซคียาห์และบรอธให้กระเด็นไปอีกทางหนึ่ง แต่บรอธเบรกตัวของมันเองไว้ได้กลางอากาศ ขณะที่เฮเซคียาห์ซึ่งมีแผลอยู่บ้างเล็กน้อยจากการระเบิดของยานยกมือกุมหน้าท้องเอาไว้ เขาเพิ่งถูกยานอีกลำของเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้รับความเสียหายยิงกระสุนลมสองนัดมาโดนเข้า