ตอนที่แล้วภาค 2 ตอนที่ 6 กิ๊ก ญาติ หรือเพื่อน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 2 ตอนที่ 8 กินข้าว ประชุม

ภาค 2 ตอนที่ 7 ผิดถูกในใจ


ตอนที่ 7 ผิดถูกในใจ

 

โกโก้วางสายมือถือ เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของมหาวิทยาลัยการแพทย์ซึ่งไม่ได้มาเยือนเป็นเวลานาน ศพของเจิงเจี้ยนหมิงถูกส่งมาที่แผนกนิติเวชเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หลังจากสั่งการเสร็จ โกโก้ยังคงมางานสัมมนาที่อาจารย์หญิงขอไว้ตามแผนการ วาระของประชุมน่าเบื่ออย่างที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ความคิดคนอดที่จะล่องลอยไปที่อื่นไม่ได้

 

ตามที่พวกไป๋หลิงแจ้งไว้ หลังจากเจิงเจี้ยนหมิงได้รับการประกันตัวเพื่อรักษาตัว ก็ดูเหมือนสงบเสงี่ยม รักษาในโรงพยาบาลอย่างเงียบๆ นอกจากเรื่องที่เขาทำกับสวีลี่แล้ว ดูๆ ไปเขาก็เป็นคนหนุ่มธรรมดามากคนหนึ่ง มีพ่อแม่ที่เริ่มแก่ชรา มีชีวิตอยู่ในกรอบตั้งแต่เกิดจนถึงป่านนี้ ได้เสวนากับตำรวจก็เพียงสามถึงห้าครั้ง ผลการเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมหาวิทยาลัยก็ปานกลาง ไม่เคยป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่เคยไปที่ไหนไกลๆ ไม่เคยทำอะไรผิดศีลธรรม แต่ก็ไม่เคยทำงานการกุศล ไม่ว่ามองจากด้านไหนก็เป็นผู้ชายธรรมดาที่สุดคนหนึ่ง เจิงเจี้ยนหมิงเคยคบแฟนมาสามคน ทั้งหมดเลิกกันภายในไม่กี่เดือน อยู่บ้านถ้าพ่อแม่พูดถึงเรื่องดูตัวเมื่อไหร่ เขาก็จะไม่พูดไม่จาหยิบชามขึ้นมาใบหนึ่งขว้างลงพื้นจนแตกละเอียด หลังจากนั้นก็ไม่พูดอะไรทั้งวัน เพราะเหตุนี้พ่อแม่ถึงได้ไม่พูดเรื่องนี้อีก เพียงแต่หลังจากนั้นหลายเดือนจะเห็นว่าจู่ๆ ลูกชายก็ดีใจขึ้นมาเป็นพิเศษ แต่บางครั้งก็เงียบขรึมกว่าเดิม

 

จนกระทั่งตำรวจมาถึงบ้านเพราะคดีสวีลี่ คนแก่ทั้งสองถึงได้อ้าปากค้าง และเข้าใจว่าลูกชายของตนทำอะไรลงไป

 

ตอนที่โกโก้เซ็นรับศพของเจิงเจี้ยนหมิง ได้ยินซูเสี่ยวเจ๋อพูดอยู่ข้างๆ ว่า "กรรมตามสนอง"

 

โกโก้ไม่ได้คัดค้าน แต่โจวต้าเจิ้งเอ่ยปาก "ไม่ว่าเขาเคยทำอะไรไปบ้าง ก็ไม่ควรตายด้วยวิธีอย่างนี้"

 

"แล้วมันจะต่างกันตรงไหน เขาทำเรื่องอย่างนั้น ก็ต้องนึกถึงว่าสักวันจะต้องถูกกรรมตามสนองในลักษณะคล้ายกันบ้าง" คลิปวีดีโอสุดเวทนาของสวีลี่ได้ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเสี่ยวเจ๋อไปแล้ว

 

"พูดเหลวไหลอะไร" ต้าเจิ้งเริ่มโมโห ไอ้หมอนี่ทำไมถึงยังมีความคิดอย่างนี้อยู่อีก "ถึงแม้เขาเป็นนักโทษ เขาก็ยังมีพ่อแม่ที่อายุมากแล้ว ถ้าไม่ใช่กฎหมายตัดสินประหารชีวิต อีกทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง ไม่มีใครมีสิทธิ์ฆ่าเขาตายโดยพลการอย่างนี้"

 

เสี่ยวเจ๋อไม่พูดอะไรอีก มองหาโกโก้เหมือนจะขอความช่วยเหลือ โกโก้ได้แต่ก้มหน้าเซ็นชื่อให้เสร็จอย่างเร่งรีบ

 

"ซูเสี่ยวเจ๋อ" เห็นได้ชัดว่าต้าเจิ้งไม่คิดจะปล่อยเขาไป "อย่าคิดนะว่าเรื่องครั้งที่แล้วมีคนอื่นช่วยปกปิด นายก็จะคิดฟุ้งซ่านตามอำเภอใจต่อไปอย่างนี้ได้ ถึงนายจะเป็นหมอนิติเวช นายก็ไม่ได้เป็นกฎหมาย"

 

สายตาที่ซูเสี่ยวเจ๋อมองไปยังต้าเจิ้งยังมีความดื้อรั้นแฝงอยู่ โกโก้ที่จัดการตามขั้นตอนส่งมอบเสร็จแล้วดันเขา "ยังยืนเซ่ออยู่ทำไม ไปเข็นศพเข้าตู้เก็บ บันทึกเวลาในตารางงานแล้วเตรียมตัวชันสูตรศพพรุ่งนี้ แล้วก็ รายงานวิเคราะห์อนุภาคกระดูกในตำแหน่งหั่นศพของศพนั้นฉันขอตั้งแต่วานซืน นายไปขอให้อาจารย์วิเคราะห์เร่งมือหน่อย"

 

เสี่ยวเจ๋อรับคำ เข็นรถบรรทุกศพที่หนักอึ้งจากไป

 

"อย่ามาเข้าข้างกันนะ" โจวต้าเจิ้งมองหลังของเสี่ยวเจ๋อที่จากไปแล้วพูด

 

โกโก้เหล่ตามองเขาทีหนึ่ง "นายไม่เข้าข้างกันเหรอ ครั้งที่แล้วใครกันที่ช่วยฉันขอความช่วยเหลือไปทั่วก็เพื่อคิดวิธียกเว้นบทลงโทษภายในนั้น"

 

ไม่พูดเรื่องนี้ยังดี พอพูดปุ๊บต้าเจ้งก็โมโหขึ้นมา "บทลงโทษอันนั้นก็เพราะเธอไปรับโทษแทนเสี่ยวเจ๋อไม่ใช่เหรอ เพราะเขาไปโพสต์บนเว็บ แต่เธอกลับไปรับเป็นคนทำในรายการ ถ้าไม่เพราะดวงดี มีหรือยังจะเป็นหมอนิติเวชต่อได้ เรื่องพวกนี้เคยบอกเขาไหม เธอบอกให้เขารู้ว่าผลของการกระทำจากอารมณ์ชั่ววูบของเขาเป็นยังไงบ้างไหม"

 

โกโก้ไม่เคยพูดจริงๆ เธอแค่รู้สึกว่าคนหนุ่มทำอะไรลงไปด้วยอารมณ์เป็นเรื่องปกติ ใครๆ ก็ทำเรื่องแบบนั้นได้ รวมทั้งตัวเองสมัยสาวๆ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง เรื่องที่ซูเสี่ยวเจ๋อทำลงไปนั้น เป็นสิ่งที่โกโก้คิดแต่ไม่กล้าทำหลังจากเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

 

"โกโก้ ประโยคนี้เป็นการเตือนเธอเหมือนกัน ถึงจะทำอะไรที่พระเจ้าก็ไม่อาจให้อภัยก็ตาม การตั้งศาลเตี้ยก็ยังผิดอยู่ดี" สายตาของต้าเจิ้งจริงจัง ทำให้โกโก้ไม่กล้าสบตาตรงๆ เธอจึงตอบเขาด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองนิดๆ "ถ้าฉันไม่เข้าใจเหตุผลนี้ มีหรือจะยังเป็นหมอนิติเวชต่อได้"

 

คำพูดเหมือนจะเต็มไปด้วยเหตุผล แต่โกโก้กลับสับสนจริงๆ มีหนังญี่ปุ่นอยู่เรื่องหนึ่ง พูดถึงคุณปู่ที่เป็นมหาเศรษฐีตั้งรางวัลพันล้าน เพื่อให้คนทั้งประเทศตามล่าผู้ต้องสงสัยที่ทรมานและฆ่าหลานสาวตน ตำรวจออกปฏิบัติการเพื่อคุ้มกันนักโทษจนถึงกองบัญชาการตำรวจอย่างเต็มที่ เพื่อเศษมนุษย์คนนี้ ตำรวจนับไม่ถ้วนต้องตายไประหว่างทางที่นำส่งตัวเขา สุดท้าย ตอนขึ้นศาล ผู้ต้องสงสัยพูดเพียงว่า ถ้ารู้ว่าจะถูกตัดสินประหารชีวิตอย่างนี้ ตอนนั้นฆ่าเพิ่มอีกหลายคนก็ดี คำพูดประโยคเดียวทำให้เหล่าตำรวจที่ตายเพื่อคุ้มกันเขากลายเป็นตัวตลกไปทั้งหมด"

 

สรุปว่าคุ้มหรือไม่ โกโก้พบว่าตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ เธอยืนอยู่ที่ริมหน้างต่างของตึกประชุมในมหาวิทยาลัยการแพทย์ นอกจากดอกไม้ใบหญ้าก็เหลือเพียงหนุ่มสาวที่เป็นแฟนกัน แม้แต่สายลมยังมีกลิ่นอายของความเฉื่อยชาโชยมา โกโก้ที่เพิ่งวางสายไปนั้นรู้สึกเหมือนมีอะไรที่เคลุมเครืออธิบายไม่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้เธอดที่จะนึกถึงห้องประชุมที่เต็มไปด้วยคำปราศรัยและเสียงตบมือไม่ได้

 

โจวต้าเจิ้งเพิ่งจะโทรมาบอกเธอว่าดูเหมือนจะรู้แล้วว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นใคร เมื่ออาทิตย์ก่อนเด็กสาวคนหนึ่งแจ้งความว่าพี่สาวเธอหายสาบสูญ รูปถ่ายที่เธอให้มาคล้ายกับหัวคนที่สวินเข่อหรันได้มาจากหอประกอบพิธีฌาปนกิจ อายุ ส่วนสูง กรุ๊ปเลือดและเวลาหายตัวก็ตรงกัน ต่อจากนั้นเพียงแค่เปรียบเทียบกระดูกกับผลการรักษาทางการแพทย์ หรือเอาสิ่งที่เธอเคยใช้ขณะยังมีชีวิตทำการเปรียบเทียบ DNA ก็จะรู้ได้ว่าเป็นคนคนเดียวกันหรือไม่

 

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ โกโก้ไม่รู้ว่าควรจะใช้อารมณ์แบบไหนมามองเรื่องนี้ สาเหตุมาจากข้อมูลอีกอย่างหนึ่ง ถ้าพี่สาวคนนี้เป็นคุณหัวที่อยู่บนโต๊ะชันสูตรศพจริง

 

"อาชีพเป็นคุณโส" โจวต้าเจิ้งบอกในโทรศัพท์อย่างนี้

 

"อะไรนะ" โกโก้สงสัยว่าตัวเองฟังผิด

 

"โกโก้ เธอก็รู้นี่ ก็คืองานบริการทางเพศ"

 

น้ำเสียงของต้าเจิ้งบ่งบอกถึงการดูถูก โกโก้เข้าใจ เธอได้อาศัยหลักฐานการมีเพศสัมพันธ์ก่อนตายของศพแรกคาดเดาไว้แล้วว่าเป็นผู้หญิงที่ทำอาชีพแบบนี้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้

 

มองจากอีกมุมหนึ่ง นี่ก็ไม่ถือว่าเป็นข่าวดีอะไร ผู้หญิงที่ทำงานบริการทางเพศในแต่ละเมืองก็มีจำนวนไม่น้อย พวกเธอไม่อยู่กับที่ เพื่อเงินจำนวนน้อยนิดก็จะปล่อยให้ตัวเองตกอยูในสิ่งแวดล้อมที่อันตรายและไม่คุ้นเคย โกโก้จู่ๆ ก็นึกถึงรอยถลอกที่ข้อมือของสองศพแรก ทีแรกเธอคิดว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากป้องกันตัว เช่นยื้อยุดหรือถูกอีกฝ่ายมัดตัวไว้ แต่ตอนนี้นึกอีกที ถ้าพวกเธอมีอาชีพอย่างนี้ อาจจะยินยอมที่จะถูกฆาตกรมัดมือก็เป็นไปได้ หลังจากนั้นพบว่าผิดปกติ แต่ก็สูญเสียโอกาสในการหนีตายไปอย่างสิ้นเชิง

 

โกโก้ส่ายหัว ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือถ้าฆาตกรเลือกพวกเธอเป็นเป้า แทบจะไม่มีโอกาสหยุดเขาที่จะเลือกเป้าหมายคนต่อไป เพียงแต่ให้เงินเพิ่มขึ้นอีกนิด แค่อีกนิดหนึ่ง ก็จะมีผู้หญิงจำนวนมากยอมละทิ้งความปลอดภัยของชีวิต

 

ยกเว้นจะจับเขาได้

 

เฮ้อ...โกโก้ถอนหายใจขณะที่เกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง

 

เสียงเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง เธอหันหลังมองอย่างระวังตัว เห็นชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยยิ้มให้กับตัวเองในระยะไม่ไกล เขาใส่เสื้อคลุมแบบลำลอง สายตาเฉลียวฉลาดซ่อนอยู่หลังแว่นกรอบสีน้ำตาล ใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้โกโก้รู้สึกว่าน้ำนิ่งไหลลึก

 

โกโก้ไม่ได้พูดอะไร

 

ชายคนนั้นเดินมาข้างตัวโกโก้อย่างไม่เร่งรีบ ยืนอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ล้วงบุหรี่ซองหนึ่งออกจากกระเป๋า

 

โกโก้ยกมือซ้ายขึ้น ผู้ชายคาบบุหรี่ไว้ แล้วมองไปตานิ้วของโกโก้ ป้ายสะดุดตาติดอยู่บนผนังด้านหลังเขา

 

ห้ามสูบบุหรี่!

 

บนใบหน้าเขาแสดงอาการน่าสงสารเหมือนเด็กที่มีท็อฟฟี่แต่กินไม่ได้อย่างนั้น ซึ่งตรงข้ามกับเครื่องแต่งกายสง่าที่สง่างามเป็นอย่างมาก ทำให้โกโก้อดขำไม่ได้ ยักไหล่ โกโก้ไม่แสดงความเห็นใดๆ

 

ผู้ชายคาบบุหรี่แต่จุดไม่ได้ จึงได้ยิ้มเยาะตัวเอง "ช่างเถอะ อย่างน้อยได้พบเพื่อนคนหนึ่งที่ทนกับทฤษฎียาวเหยียดในนั้นไม่ได้เหมือนกัน ไม่ได้สูบก็ไม่สูบ"

 

"งานสัมมนาส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ" โกโก้ก้มลงมองรองเท้าผ้าใบของตัวเอง

 

"ฉันไม่ได้มางานสัมมนา ฉันมาหาผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง แต่เสียดายที่วันนี้เขาไม่มา ศัพท์ทางการแพทย์มากมายนั้นทำงงไปหมด"

 

โกโก้เงยหน้ามองเขา "คุณไม่ใช่หมอเหรอ"

 

ผู้ชายยิ้มแล้วก็เก็บบุหรี่ "ไม่ใช่ ฉันอยู่หน่วยงานโบราณคดี เอ๊ะ...นามบัตรไปไหนล่ะ เหอะๆ ขอโทษที กระเป๋าเยอะเกินไป..." เขาพูดพลางคลำหาตามตัว ในที่สุดก็หากล่องนามบัตรแบบโบราณมาอันหนึ่ง ใช้สองมือยื่นนามบัตรของตัวเองให้โกโก้

 

บนกระดาษพิมพ์ด้วยหมึกจางๆ ที่ปรึกษาโบราณคดี เทศบาลเมือง หลี่อีจี้

 

โกโก้เอียงคอคิดไม่ออกว่าทำไมนักโบราณคดีถึงมาร่วมงานสัมมนาของวิชาการแพทย์ แต่ก็ช่างมันเถอะ มันไม่เกี่ยวกับตัวเอง เพราะโกโก้ยังจมอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนต่ออาชีพเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

 

"เธอคือหมอนิติเวชเหรอ" หลี่อีจี้ถาม

 

โกโก้เงยหน้าขึ้นมองเขา คงเพราะปฏิกิริยาระวังตัวในสายตาทำให้เขาสังเกตเห็น หลี่อีจี้จึงยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า "อย่าเพิ่งเครียด ฉันไม่มีความหมายอย่างอื่น โรคประจำตัวของอาชีพฉัน จมูกไวกว่าคนทั่วไป ฉันได้กลิ่นศพเน่าอ่อนๆ ที่ติดตัวเธอมา"

 

โกโก้นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าตอนที่ส่งศพของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ ตัวเองได้เปิดถุงศพออกเพื่อยืนยันศพที่เน่าเปื่อย แม้แต่กลิ่นอย่างนี้ก็รู้ด้วยเหรอ

 

โกโก้เลิกคิ้ว "ถึงบนตัวฉันจะมีกลิ่นศพเน่าอยู่บ้าง แต่หมอทั่วไปก็ได้สัมผัสกับศพอยู่บ้างไม่มากก็น้อย..."

 

"แต่มีหมอจำนวนไม่มากที่จะสัมผัสกับศพที่เน่าเปื่อยค่อนข้างมาก" หลี่อีจี้ยิ้มอย่างมั่นใจมาก

 

โกโก้ไม่แสดงอารมณ์ "คุณได้กลิ่นศพเน่าจากตัวฉันเนี่ยนะ" โกหกนะสิ

 

"ไม่แค่นั้น ที่น่าสนใจคือ นอกจากบนตัวเธอมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อแล้ว ยังมีกลิ่นหวานๆ ของช็อคโกแล็ตติดมาอีก"

 

โกโก้เลิกคิ้วมองคนตรงหน้า ถ้าไม่ใช่ได้สืบเรื่องของตัวโกโก้ไว้ก่อนแล้ว ก็แสดงว่ามีประสาทสัมผัสการรับรู้กลิ่นที่ไวกว่าคนอื่นอย่างมาก

 

ดูเหมือนหลี่อีจี้จะเขิน ก้มลงมองคู่รักที่เดินขวักไขว่อยู่นอกหน้าต่างนั้น "ที่จริงฉันยังรู้สึกได้อีกว่าบนตัวเธอมีกลิ่นกลุ้มใจอยู่ด้วย" เห็นโกโก้ยังไม่พูดอะไร จึงอธิบายต่อ "ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านก็เป็นโรคประจำของอาชีพเหมือนกัน เธออย่าถือสาเลย ฉันไม่ได้ประสงค์ร้าย"

 

โกโก้หยิบช็อคโก้จุ๊บในกระเป๋าออกมา รสหวานอ่อนๆ ของท็อฟฟี่ค่อยๆ กระจายในปาก ลดรสขมฝาดที่ซับซ้อนจางหายไปบ้าง เธอหันหน้ามองผู้ชายแปลกหน้าตรงหน้า "คุณหลี่ คุณทำงานโบราณคดี คุณจะแสดงความเห็นต่อการกระทำทั้งชีวิตของคนโบราณเหล่านั้นไหม" พอถามออกไป โกโก้ก็รู้สึกว่าตัวเองโง่ การวิจัยโบราณคดีก็เพื่อศึกษาให้รู้ว่าชีวิตที่สูญหายไปเหล่านั้นเคยทำอะไรไปบ้าง แล้วจะไม่มีถูกผิดได้อย่างไร

 

"ไม่มีถูกผิด" หลี่อีจี้ตอบ

 

โกโก้มองเขาอย่างแปลกใจอีกครั้ง คนคนนี้เมื่อสักครู่ยังแสดงสีหน้าเหมือนเด็ก แต่ในเวลานี้กลับทำให้รู้สึกน้ำนิ่งไหลลึก

 

หลี่อีจี้หันไปมองนอกหน้าต่าง บนใบหน้าเขาไม่มีอารมณ์พูดเล่น "โบราณคดีต้องการคืนสภาพเดิมของประวัติศาสตร์คืนความจริงของเรื่องราว ไม่เกี่ยวกับใครถูกใครผิด" เขาหยุดไปอึดใจ "เธอรู้ไหมว่าหน้าหลุมฝังศพของบู๊เช็กเทียนตั้งป้ายที่ไม่มีตัวหนังสือ"

 

โกโก้พยักหน้า

 

"การบันทึกชีวประวัติที่สวยสดงดงามหน้าหลุมฝังศพเป็นความหวังของคนจำนวนมากที่ต้องการมีชื่อเสียงจารึกในประวัติศาสตร์ แต่บู๊เช็คเทียนกลับทิ้งป้ายว่างเปล่าไว้หน้าหลุมฝังศพ มีคนจำนวนมากบอกว่า เพราะนางต้องการให้ชนรุ่นหลังประเมินความดีความชั่ว แต่ผมกลับคิดตรงข้าม นางคิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้กับชนรุ่นหลัง นางเปิดศักราชที่ไม่มีใครทำได้มาก่อนและคงไม่มีใครทำได้อีกต่อไป อีกทั้งใช้เวลาชั่วชีวิตทำสิ่งที่นางคิดว่าน่าสรรเสริญที่สุด แล้วก็ตายไป แล้วคำพูดของชนรุ่นหลังจะมีความหมายต่อนางอะไรอีกเล่า ทุกคนมองว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูก สิ่งสำคัญไม่ใช่ผิดถูกในสายตาคนอื่น แต่เป็นเป้าหมายในใจของตน แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ"

 

โกโก้อึ้งอยู่ในสายตาที่สบกับหลี่อีจี้ ในสมองมีภาพศพหญิงไร้หัว ศพที่เน่าเปื่อยเน่าเหม็น รอยตัดตรงคอเต็มไปด้วยตัวอ่อนของหนอนศพ แล้วก็ยังมีรูโหว่อันโหดร้ายที่อกของเจิงเจี้ยนหมิง พวกเธอเป็นใคร เคยทำอะไรไปบ้าง นั่นไม่ใช่สิ่งที่สวินเข่อหรันควรจะสนใจ สำคัญตรงที่พวกเธอถูกฆ่าตาย ถูกคนใช้วิธีการต่างๆ ด้วยเหตุผลหลากหลายฆาตกรรม จับไอ้ระยำที่ลงมือทำเรื่องเหล่านี้ ค้นหาความจริง ถึงจะเป็นงานที่สวินเข่อหรัน หมอนิติเวชอย่างเธอควรจะทำ

 

——————————————

 

หลี่อีจี้ขับรถออกจากที่จอดรถใต้ดิน แหงนหน้ามองผ่านกระจกหน้ารถ เห็นสวินเข่อหรันยังคงยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างที่คุยกับตนเมื่อสักครู่ เอียงหน้าไม่รู้ครุ่นคิดอะไรอยู่ นึกถึงคำที่คนนั้นใช้บรรยายเธอ อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

 

ใส่หูฟังบลูทูธ ขับรถออกจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ พลางกดเบอร์โทรด่วนออกไป

 

"ฮัลโหล ผมเอง...ผมเจอเธอแล้ว หึๆ...ใช่แล้ว คุณพูดตรงเผงเลย...ไม่น่าเชื่อจริงๆ ยังมีกลิ่นศพเน่าติดที่เสื้ออยู่เลย แต่ร่างกายกลับมีกลิ่นหวานของท็อฟฟี่ ดวงตาคู่นั้นใสบริสุทธิ์มาก อ๊ะ เรื่องนั้น เรื่องนั้นไม่รีบ แต่..."

 

บนหน้าของหลี่อีจี้มีรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ลึกล้ำผุดขึ้นมา

 

"สวินเข่อหรันเป็นทางเลือกที่น่าสนใจจริงๆ" เขาพูดใส่หูฟัง

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด