บทที่ 25 โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน (1)
บทที่ 25 โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน (1)
สองฝั่งถนนมีอาคารสูงใหญ่ต่างๆ เรียงรายสลับกันไป ทุกหนแห่งสามารถมองเห็นผู้คนมากหน้าหลายตา เย่อินจู๋ไม่ได้เห็นแค่นักรบ แต่ถึงกับเห็นนักเวทอยู่หลายครั้ง ไม่ต้องพูดถึงอาร์คาเดีย ต่อให้เป็นเบอร์บอน สภาพแวดล้อมแบบนี้ก็ยากจะบังเอิญพบเห็น จะเห็นได้ว่าศักยภาพของมิลานยิ่งใหญ่เกรียงไกรแค่ไหน
ภายในเมืองมิลานมีเพียงขุนนางเท่านั้นที่ขี่สัตว์เวทได้ เย่อินจู๋กับเกิร์นไม่มีศักดิ์ขุนนางจึงจำต้องเดินเท้า
“ดูสิ ที่นั่นคือสมาคมทหารรับจ้างล่ะ” น้ำเสียงของเกิร์นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น สำหรับทหารรับจ้างแล้ว สมาคมทหารรับจ้างคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
เย่อินจู๋มองไปทางที่เกิร์นชี้นิ้ว เห็นแต่ว่าเป็นอาคารใหญ่โตมโหฬารอยู่สุดปลายถนนข้างหน้า อาคารมหึมาเป็นทรงครึ่งวงกลม มองจากด้านหน้ายากจะเห็นว่าพื้นที่ของมันกว้างใหญ่แค่ไหน แต่แม้กระทั่งด้านหน้าก็กว้างขวางกว่าร้อยเมตร สูงเกือบสามสิบเมตร นอกอาคารโอบล้อมด้วยกำแพงใหญ่มหึมา บริเวณกึ่งกลางอาคารมีสัญลักษณ์โล่สีทองใหญ่ยักษ์ ด้านหลังโล่มีดาบยาวสองเล่มไขว้กันอยู่ เปล่งประกายวาววับใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง แม้จะมองจากที่ไกลๆ ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อเข้ามาอยู่ในอาณาเขตห้าร้อยเมตรของสมาคมทหารรับจ้าง กระแสผู้คนรอบด้านก็พลันแออัดขึ้นมาทันใด เหล่าทหารรับจ้างรูปร่างแตกต่างกันไปเดินขวักไขว่ไม่ขาดสาย ไม่ง่ายเลยกว่าเกิร์นจะพาเย่อินจู๋เบียดเข้าไปในสมาคมทหารรับจ้าง พอเข้าไปข้างในสมาคม ความเบียดเสียดที่มาพร้อมกับกระแสผู้คนกลับหายไป พนักงานสวมชุดสีดำอย่างน้อยหนึ่งร้อยคนกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ภายในสมาคม
นี่คือห้องโถงที่กว้างขวางอย่างยิ่ง ภายในห้องโถงสูงยี่สิบเมตรขึ้นไป แสงอาทิตย์สวยวิจิตรสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างคริสตัลบานยักษ์สองฝั่งห้องโถง นอกจากด้านที่เข้าประตูมา อีกสามด้านที่เหลือล้วนเป็นเคาน์เตอร์ก่อด้วยหินเรียงซ้อนกัน เคาน์เตอร์สูงประมาณสองเมตร ทำให้รู้สึกว่าพนักงานด้านในชำเลืองมองลงมาจากที่สูง ทหารรับจ้างส่วนใหญ่ต้องปีนขึ้นบันไดหินหน้าเคาน์เตอร์ถึงจะติดต่อกับพวกเขาได้
เกิร์นกระซิบบอกว่า “อินจู๋ เห็นหรือเปล่า ถึงความสามารถของผู้รักษาระเบียบพวกนี้จะไม่เก่งนัก แต่ที่นี่ไม่มีใครกล้าหือกับพวกเขา ถ้าใครกล้าก่อเรื่องที่นี่จะถูกปลดจากการเป็นทหารรับจ้างทันที ทางซ้ายคือจุดรับภารกิจ ที่นี่ไม่เหมือนกับสาขาสมาคมทหารรับจ้างที่อื่น มีแค่ภารกิจระดับดีขึ้นไปเท่านั้น ถ้าไม่ใช่หน่วยทหารรับจ้างระดับดีก็ไม่มีคุณสมบัติจะรับภารกิจที่นี่ ทางขวาคือจุดรายงานภารกิจ และเป็นจุดรับค่าตอบแทนด้วย ข้างในสุดคือเคาน์เตอร์สำหรับทหารรับจ้างมาลงทะเบียนเลื่อนระดับกับสมาคมทหารรับจ้าง”
เคาน์เตอร์ทั้งสองฝั่งมีคนเยอะที่สุด แม้แต่เคาน์เตอร์ด้านในสุดก็ยังมีคนเข้าแถวอยู่ไม่น้อย เย่อินจู๋กับเกิร์นกำลังเดินเข้าไปข้างในเตรียมจะไปเข้าแถว ทันใดนั้น เสียงอุทานก็ดังระงมมาจากทางเคาน์เตอร์
“หน่วยทหารรับจ้างระดับเอส หน่วยทหารรับจ้างระดับเอสหน่วยที่สองถือกำเนิดขึ้นแล้ว...”
ขบวนทหารรับจ้างที่เข้าแถวอย่างหนาแน่นในตอนแรกแยกออกจากกันดั่งถูกกระแสน้ำพัด เผยให้เห็นเคาน์เตอร์ด้านในสุด เสียงอุทานที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้เหล่าทหารรับจ้างที่รับภารกิจและรายงานภารกิจสองฝั่งห้องโถงพากันเข้ามาล้อมวงด้วย สายตาตกตะลึงต่างจดจ้องไปยังสุดปลายทางแยก
คนรวมทั้งหมดสามคนเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพิ่งจะเลื่อนขั้นหน่วยทหารรับจ้างเสร็จ คนที่เดินอยู่ตรงกลางคือนักเวทผู้สวมเสื้อคลุมพ่อมดสีเทา ดูท่าทางน่าจะอายุสักห้าสิบหกสิบปี รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาแบบคนโบราณ ผมสีดอกเลาหวีรวบไปด้านหลังศีรษะ ปลิวไสวยามเยื้องย่าง นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามทำให้ไม่กล้าสบตาตรงๆ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือคลื่นธาตุเวทมนตร์มหาศาลที่ล้อมรอบตัวเขา เนื่องจากหนาแน่นเกินไป เย่อินจู๋ที่เป็นนักเวทเหมือนกันจึงรู้สึกว่าธาตุเวทมนตร์ที่ล้อมรอบตัวคนผู้นี้ถึงกับหนืดข้นเล็กน้อย ผู้ที่ถูกสายตาของเขากวาดมองทุกคนจะเกิดความรู้สึกหายใจลำบากอย่างรุนแรง ตราสีม่วงสลักรูปพายุหมุนตั้งเด่นอยู่บนอกของเขา แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเขาอย่างเต็มที่
“ผู้วิเศษ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นผู้วิเศษระดับม่วง” ลูกตาของเกิร์นเกือบถลนออกจากเบ้า ในฐานะตัวตนขั้นสุดยอดของยอดฝีมือในทวีป การปรากฏตัวของผู้วิเศษทุกคนล้วนเป็นจุดรวมสายตาของผู้คนทั้งหลาย
ความคิดของอินจู๋แตกต่างจากเกิร์นโดยสิ้นเชิง แอบพูดอยู่ในใจว่า นี่คือความแข็งแกร่งที่แสดงออกให้เห็นยามนักเวทสายธาตุเลื่อนขั้นไปถึงระดับม่วงหรือ? ดูจากสายตาของเขาก็มองออกแล้วว่าพลังจิตลึกล้ำแค่ไหน คลื่นพลังธาตุของปู่ฉินยังไม่แกร่งถึงขนาดนี้ แต่ดูเหมือนพลังจิตจะแกร่งกว่าเขาอยู่ไม่น้อย
ข้างกายผู้วิเศษคนนั้นมีผู้ชายและผู้หญิงยืนอยู่ข้างละคน ทั้งคู่ต่างก็อ่อนวัย ชายหนุ่มทางซ้ายอายุน่าจะประมาณยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี สวมชุดเกราะสีเงินงามประณีตป้องกันทุกส่วนยกเว้นบริเวณข้อต่อ มือขวาทาบอยู่บนด้ามดาบที่เอว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของอินจู๋ที่สุดคือบริเวณอกซ้ายของเขา มีตราประทับรูปดอกสต็อคเหมือนกับออสตินแม่ทัพอัศวินมังกรดาวเงินที่พบกันก่อนหน้านี้ ทางขวาของผู้วิเศษคือเด็กสาวคนหนึ่ง มองดูแล้วน่าจะอายุแค่สิบหกสิบเจ็ดปี ผมสั้นเท่าติ่งหูท่าทางดูห้าวหาญ เสื้อคลุมแม่มดสีชมพูอ่อนไม่สามารถปิดบังร่างกายที่เจริญเติบโตของเธอได้เลย ใบหน้าสวยฉายแววหยิ่งทะนง ดวงตากลมโตสีฟ้าน้ำทะเลทอประกายเฉลียวฉลาดและแปลกประหลาด กำลังคล้องแขนผู้วิเศษคนนั้นพลางแย้มยิ้ม สิ่งที่เรียกความสนใจจากผู้คนมากที่สุดก็คือ ตราเวทมนตร์บนอกซ้ายของเธอกลับเป็นสีเหลือง อายุน้อยขนาดนี้แต่เลื่อนขั้นไปถึงระดับเหลืองย่อมทำให้ตกตะลึงพรึงเพริดกันอย่างแน่นอน ระดับเหลืองแทนสัญลักษณ์ของนักเวทระดับสูง ต่อให้เป็นแค่ขั้นพื้นฐานก็เพียงพอจะทำให้ตกใจได้แล้ว
“ท่านลุง ขอแค่หน่วยทหารรับจ้างมียอดฝีมือระดับม่วง ก็จะเป็นหน่วยทหารรับจ้างระดับเอสได้ใช่ไหม?” อินจู๋เอ่ยกระซิบถาม
เกิร์นกล่าวว่า “ยอดฝีมือระดับม่วง เป็นสัญลักษณ์ของทหารรับจ้างระดับเอส แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ก็เหมือนพวกเราหนามเหล็กจำเป็นต้องให้เจ้าช่วยเลื่อนระดับหน่วยทหารรับจ้าง หน่วยทหารรับจ้างระดับเอสก็จำเป็นต้องมียอดฝีมือระดับม่วงสักคนเช่นกัน และความสามารถเฉพาะตัวก็ต้องเก่งมากด้วยถึงจะผ่านได้”
“อ้อ ถ้าพูดอย่างนั้น หน่วยทหารรับจ้างระดับเอสก็ไม่เท่าไหร่น่ะสิ” อินจู๋กล่าวเสียงเรียบ ปู่ทั้งสองของเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับม่วง เท่าที่เขารู้ ไม่เคยได้จัดยอดฝีมือระดับม่วงไว้ในตำแหน่งที่ไกลเกินเอื้อมมาก่อน ถึงอย่างไรระหว่างที่เขาฝึกฝนมนตร์พิณ หัวใจพิณเทพดาวเหนือที่เทียบเท่ากับระดับม่วงก็ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทาง
พอสิ้นเสียงพูด สีหน้าของอินจู๋ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนก้าวเบี่ยงไปด้านข้างโดยไม่รู้ตัว เสียงลมแผ่วเบาโชยผ่านข้างตัวเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับสายตาโกรธเกรี้ยวของเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกายผู้วิเศษพอดี เห็นชัดว่าเธอได้ยินอินจู๋พูด ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนกำลังเดินผ่านอินจู๋กับเกิร์นพอดี
“เจ้าทำอะไร?” อินจู๋กล่าวอย่างโกรธเคือง หากไม่ใช่เพราะเขาตอบสนองเร็วก็คงโดนมีดลมเมื่อครู่เข้าเต็มๆ แม้จะเป็นแค่เวทมนตร์ระดับแดงที่ปล่อยอย่างฉับพลัน แต่ก็พอจะทำให้เสื้อผ้าบนตัวเขาเสียหาย
เด็กสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งผยอง “เจ้าพูดว่าหน่วยทหารรับจ้างระดับเอสไม่เท่าไหร่ไม่ใช่หรือไง? ข้าอยากจะรู้นักว่าหน่วยทหารของพวกเจ้าระดับไหนกัน ก็แค่นักเวทระดับแดง ยังกล้ามาวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นที่นี่”
เย่อินจู๋ตะลึงงันไปชั่วครู่ “วิพากษ์วิจารณ์คืออะไร ข้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้น ระดับแดงแล้วอย่างไร? หรือว่าพวกเจ้าไม่ได้เลื่อนขึ้นมาจากระดับแดง? ใครไม่ต้องฝึกเป็นขั้นเป็นตอนบ้าง”
“เจ้า...” เด็กสาวคลายมือที่คล้องไว้กับผู้วิเศษ ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาหาอินจู๋ ธาตุลมเริ่มก่อตัวรอบๆ ตัวเธอ พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
……………………………………….