บทที่ 23 เหรียญสองด้าน
บทที่ 23 เหรียญสองด้าน
กลุ่มคนร้ายที่วางระเบียบกฎเกณฑ์ของกลุ่มขัดกับกฎหมายบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังมีเป้าหมายคือการถือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง เรียกว่า กลุ่มอันธพาล เรียกให้มีระดับขึ้นมาหน่อยก็ชาวยุทธ์พเนจรหรือว่าโจรภูเขา
กลุ่มอันธพาลแบบจีนแท้ๆ ก็มีพัฒนาการมาจากกองกำลังทหารที่ก่อกบฏนั่นเอง ฉะนั้นช่วงแรกเริ่มสุดจึงสามารถสืบย้อนไปถึงยุคสมัยของกบฏลวี่หลินและกบฏชื่อเหมย[1]
เนื่องจากผลประโยชน์เป็นสิ่งยั่งยืนตลอดกาล ส่วนอุดมการณ์อื่นใดล้วนไม่อาจรอดพ้นการกัดกร่อนของกาลเวลาได้ พวกเขาจึงค่อยๆ รวมตัวกันแล้วลอกคราบกลายเป็นกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์แต่ละกลุ่มไป
กลุ่มถูฟูเป็นไปตามแนวทางนี้ กลุ่มซวนหนีก็เช่นกัน พวกเขาต่างอาศัยผลประโยชน์จากอาชีพทำกินและเขตพื้นที่ปกครองมาแบ่งแยกเขตกอบโกยผลประโยชน์ของตัวเอง พฤติการณ์เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานโดยไม่เปลี่ยนแปลง
เถี่ยซินหยวนมองเห็นหนิวเอ้อร์ต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด สุดท้ายจึงโดนทวนแทงตายอย่างอนาถ ภาพกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไม่ทำให้เขากะพริบตาได้เลยแม้แต่น้อย
เหตุการณ์เช่นนี้เขาก็เคยผ่านมาแล้ว เมื่อครั้งที่นอนเอนกายดูดาวในทะเลทรายโกบีนั่นเอง เขาขบคิดทุกอย่างจนกระจ่างแจ้ง โดยเฉพาะการใคร่ครวญถึงเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตและความตาย
เจ้าหน้าที่ทางการถือไม้พลองสุยหั่ว[2]ตะโกนโหวกเหวกโวยวายจากอีกฟากของถนนมาถึงแล้ว โซ่เหล็กในมือแกว่งไปแกว่งมาส่งเสียง ‘แกร๊งๆ’ ดังก้องกังวาน
กลุ่มผู้ร้ายฆ่าคนตายหนีไปหมดแล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่าเวลานี้คงรีบหนีออกนอกเมืองหลวง มือปราบเหล่านี้ยังยืนตะโกนเสียงดังกลางถนนอย่างมีน้ำอดน้ำทน ราวกับว่าถ้าหากไม่ทำเช่นนี้คงไม่อาจแสดงความน่าเกรงขามออกมาได้มากพอ
พวกที่ตกใจกลัวจนถอยหนีไปมีเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น บนท้องถนนนอกจากศพของหนิวเอ้อร์แล้ว ก็มีมือปราบที่ยืนวางมาดโอ้อวดบารมีอยู่กลุ่มหนึ่ง
แต่ความน่าเกรงขามของพวกเขาไม่อาจทำให้ฝูงแมลงวันจอมตะกละตกใจหนีไปได้ จนกระทั่งหัวหน้ามือปราบใช้เท้าเขี่ยซากศพของหนิวเอ้อร์เล็กน้อย เจ้าแมลงวันหัวเขียวที่ปกคลุมร่างของเขาราวกับเมฆฝนดำครึ้มก็บินหนีหายไปหมด
“ไอ้หยา คนที่ตายคือหนิวเอ้อร์รึ ข้าเคยบอกตั้งนานนมแล้ว ขืนหากินแบบนี้ต่อไป ต้องมีสักวันได้ตายอยู่ข้างถนนแน่ เป็นอย่างที่คิดไว้เลยจริงๆ”
เมื่อได้ยินหัวหน้ามือปราบเอ่ยปากเช่นนั้น มือปราบคนอื่นก็ไม่เสแสร้งวางท่าอีกต่อไป พวกเขาส่งเสียงโห่ฮาพลางกระชับวงล้อมเข้ามามองร่างที่คล้ายตุ๊กตาผ้าขาดๆ ของหนิวเอ้อร์
ถึงขนาดมีบางคนท้าพนันว่า ตกลงหนิวเอ้อร์โดนมีดฟันไปกี่แผลถึงจะตาย
เมื่อมองร่างไร้วิญญาณของหนิวเอ้อร์โดนผู้อื่นใช้ไม้พลองบ้างเท้าบ้างเขี่ยเล่นไปมา ในใจเถี่ยซินหยวนกลับเกิดความรู้สึกเหมือนกระต่ายสิ้นใจ จิ้งจอกร่ำไห้[3]ขึ้นมาโดยไร้เหตุผล...
หวังโหรวฮวาลากเถี่ยซินหยวนไปที่ครัวด้านหลังโดยไม่รีรอ นางไม่อยากให้บุตรชายตัวเองต้องเห็นภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้
เนื้อหมูพะโล้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในหม้อบนเตาไฟ หญิงวัยกลางคนทั้งสองกำลังใช้ส้อมเหล็กจิ้มเนื้อขึ้นมา เตรียมส่งไปที่หอฝานโหลว ทุกวันนี้เนื้อหมูบ้านตระกูลเถี่ยเป็นที่นิยมของผู้คนมากมาย ต่อให้เป็นปัญญาชนที่ชอบเมาหัวราน้ำแหกปากร้องเพลงบนหอฝานโหลว ก็ชอบกินเนื้อหมูเหล่านี้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยจานเด็ด
จานตรงหน้าเถี่ยซินหยวนมีกระดูกขาหมูชิ้นใหญ่วางอยู่ มารดาของเขาเลาะไขกระดูกออกมาแล้ว รอให้บุตรชายลงมือจัดการเสีย
วันนี้บุตรชายที่ปกติชอบกินไขกระดูกหมูเป็นที่สุดกลับไม่ยอมขยับตะเกียบ เอาแต่นั่งมองด้านนอกด้วยท่าทีครุ่นคิด หวังโหรวฮวามองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นเพียงกำแพงที่โดนควันไฟรมจนไหม้ดำเป็นแถบ นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะลงมือทำงานของตัวเองต่อไป
“เถ้าแก่ๆ ทำบุญทำทานด้วย หากมีผ้าฝ้ายที่ไม่ใช้แล้ว ขอให้ข้าสักผืนเถิด”
น้ำเสียงขลาดกลัวของใครคนหนึ่งดังเข้ามาในร้าน หลังจากเถี่ยซินหยวนเดินออกไปก็พบว่า มีขอทานน้อยที่แยกไม่ออกว่าหญิงหรือชาย ยืนประสานมือคารวะอยู่หน้าประตู
เถี่ยซินหยวนนำกระดูกหมูที่อยู่ในมือของตนส่งให้กับขอทานน้อยแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีกระดูกหมูชิ้นหนึ่ง ให้เจ้าก็แล้วกัน”
ขอทานน้อยมองกระดูกหมูที่มีเนื้อติดอยู่เต็มไปหมดแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเอ่ยตอบว่า “ทำบุญทำทานด้วยเถอะ ท่านมีผ้าฝ้ายให้สักผืนไหม? เก่าหน่อยก็ได้”
เถี่ยซินหยวนเหลือบมองกระดูกติดเนื้อในมือ แล้วมองไปที่ขอทานน้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าจะเอาผ้าฝ้ายไปทำอะไร?”
ขอทานน้อยใช้มือที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ขยี้ดวงตาแดงก่ำของตัวเองแล้วตอบว่า “ลุงเอ้อร์ตายแล้ว ข้าอยากใช้ผ้าฝ้ายมาปิดหน้าเขา”
“ปกติหนิวเอ้อร์ชอบรังแกผู้อื่นจะตาย เจ้าจะไปช่วยเขาทำไมกัน? เจ้าเป็นหลานชายเขารึ?”
ขอทานน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าติดๆ กันหลายครั้งแล้วชี้ออกไปข้างนอก “พวกเราเป็นหลานของเขา”
เถี่ยซินหยวนมองออกไปตรงถนนแวบหนึ่ง แต่ทว่าภาพที่เห็นทำให้สายตาของเขาชะงักค้าง
มีขอทานน้อยประมาณเจ็ดแปดคนยืนล้อมรอบศพของหนิวเอ้อร์เอาไว้ พยายามไล่แมลงวันอย่างเต็มที่ ไม่ยอมให้พวกมันมาวางไข่บนร่างของหนิวเอ้อร์ได้ ยังมีเด็กที่อายุน้อยว่านั้นสองสามคนยอมถอดเสื้อผ้าขาดปุปะของตัวเอง มากางเป็นเพิงน้อยๆ บังแดดให้หนิวเอ้อร์ของพวกเขา
เจ้าหน้าที่ทางการจากไปนานแล้ว อากาศก็ร้อนอบอ้าวนัก แรงงานที่คอยแบกร่างคนตายโดยเฉพาะไม่ยอมทำงานกลางแดดร้อนเปรี้ยง กว่าพวกเขาจะเอารถลากมาขนศพของหนิวเอ้อร์ไปที่เนินฝังศพไร้ญาติ อย่างน้อยคงต้องรอจนอาทิตย์ตกดิน
เมื่อเถี่ยซินหยวนเห็นภาพนี้ ก็รีบเอากระดูกหมูกับผ้าฝ้ายสะอาดๆ ผืนหนึ่งให้ขอทานน้อยไปพร้อมกันโดยไม่เสียเวลาคิด
สุดถนนสายนี้มีร้านโลงศพตั้งอยู่ร้านหนึ่ง เถี่ยซินหยวนเอ่ยเตือนขอทานน้อยด้วยความหวังดี
ขอทานน้อยมีสีหน้าเศร้าสลด หลังจากเขาส่ายหน้าปฏิเสธก็ผละจากมา เดินไปเรียกเด็กที่ตัวโตหน่อยให้ช่วยกันยกร่างของหนิวเอ้อร์ขึ้นไปบนแคร่เลื่อนที่ทำจากกิ่งไม้ จากนั้นจึงลากศพออกไปทางนอกประตูเมือง
ศพถูกยกไปแล้ว แมลงวันก็น้อยลงตามไปด้วย ชายตีฆ้องบอกยามหลายคนใช้พลั่วขุดดินที่เปื้อนคราบเลือด ตักขึ้นมาใส่ตะกร้าที่แบกบนหลัง ส่วนคราบเลือดบนแผ่นหินก็ใช้น้ำล้างจนสะอาด
ฉะนั้นร่องรอยสุดท้ายของหนิวเอ้อร์ที่เหลืออยู่ก็ถูกลบล้างไปแล้ว
“เด็กน้อยพวกนี้นับว่ายังมีใจกตัญญู ไม่เสียแรงที่หนิวเอ้อร์คอยดูแลพวกเขามาปีกว่า”
ชายตีฆ้องทำความสะอาดถนนเรียบร้อยแล้ว เข้ามานั่งพักเหนื่อยในร้านทังปิ่งพี่ชี ถือโอกาสขอน้ำดื่มชามหนึ่ง
“อันธพาลอย่างหนิวเอ้อร์ดูแลขอทานน้อยพวกนั้นเป็นด้วยรึ? แต่ละเดือนเขามารีดไถเงินจากข้าไปไม่น้อยเลย” เถ้าแก่ร้านขายสมุนไพรฤทธิ์เย็นที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ
ชายตีฆ้องกล่าวว่า “ข้าไม่รู้หรอกว่าหนิวเอ้อร์ทำเช่นนี้ไปทำไม แต่เวลาข้าเดินตีฆ้องยามค่ำคืนได้เห็นมามากแล้ว หนิวเอ้อร์เอาอาหารไปให้เด็กน้อยกลุ่มนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังเคยแบกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปตรวจอาการที่โรงหมอของท่านโหวด้วย ได้ยินว่าใช้เงินไม่น้อยเลย”
“อีเห็นมาอวยพรปีใหม่ไก่ เกรงว่าคงไม่หวังดี[4]แน่ หรือบางทีเขาคงเห็นว่าขอทานน้อยคนนั้นหน้าตาดี ตั้งใจเอามาเลี้ยงให้โตแล้วเอาไปขายแลกเงินสินะ?”
ช่างฟอกหนังที่นั่งตรงข้ามสวนขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “พูดจาเช่นนี้ไม่รู้สึกผิดบาปเสียบ้าง ปกติแล้วพวกเด็กขอทานที่หน้าตาพอดูได้ เจ้าหัวหน้ากลุ่มขอทานที่ซ่อนตัวอยู่ทางระบายน้ำใต้ดินจะปล่อยมาง่ายๆ รึ?
ต่อให้หนิวเอ้อร์จะเป็นคนชั่วช้า แต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักหาอะไรให้เด็กขอทานพวกนั้นกิน ยังแบกเด็กที่ป่วยไข้คนหนึ่งไปหาหมออีก นี่ก็แสดงให้เห็นว่ามันยังมีใจเมตตาแล้ว
ตาเฒ่าหลิว ค่าตรวจอาการของโรงหมอท่านโหวขึ้นชื่อว่าแพงนัก เด็กน้อยบ้านเจ้าเวลาป่วยคงไม่พาไปที่นั่นหรอกกระมัง?”
“ช่างฟอกหน้าเหม็น เราพูดถึงเจ้าหนิวเอ้อร์ที่ตายไปอยู่ต่างหาก เจ้าลากเด็กน้อยบ้านข้าเข้ามาด้วยทำไม? อย่าบอกว่าหนิวเอ้อร์ไม่เคยรังแกเจ้า คราวก่อนโดนหมัดเข้าเต็มปากยังรับได้สบายๆ อย่างนั้นรึ?”
ช่างฟอกหนังที่ใบหน้าและหูแดงเถือกกำหมัดแน่น เขาลุกขึ้นมาเตรียมพุ่งเข้าใส่เถ้าแก่ร้านสมุนไพร แต่ว่าหวังโหรวฮวาก็เข้ามาห้ามไว้เสียก่อน นางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “อันธพาลร้ายกาจอย่างหนิวเอ้อร์ก็ตายไปแล้ว พวกเราก็สร้างบุญกุศลไว้บ้างเถิด อย่าพูดถึงเขาในทางไม่ดีอีกเลย มาพูดกันเรื่องต่อไปใครจะเป็นคนมาเก็บค่าคุ้มครองเขตประตูซีสุ่ยดีถึงจะถูกต้อง”
เมื่อหวังโหรวฮวาเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา บรรดาเถ้าแก่ที่รุมล้อมร้านทังปิ่งพี่ชีก็หมดอารมณ์จะพูดคุยต่อ หมาป่าจากไปแล้ว จะมีเสือดาวมาเพิ่มอีกตัวแน่นอน
สิ่งใดที่จวนไคเฟิงมีประกาศออกมาล้วนเป็นเรื่องที่ทางการสั่งทำตามทั้งสิ้น แต่สุดท้ายแล้วหน่วยงานของทางการไม่อาจพึ่งพาได้ เมื่อไม่มีกลุ่มคุมผลประโยชน์การค้าแล้ว ถ้าให้พ่อค้านายหน้ามาคอยดูแล แล้วคิดจะยืนหยัดในเมืองหลวงให้ได้ ก็คงได้มาเพียงคำพูดเลื่อนลอยเท่านั้น
ระหว่างอาหารมื้อเย็น เถี่ยซินหยวนก็ทราบต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างกระจ่างแล้ว
หัวหน้ากลุ่มซวนหนี ซวนหนีทองคำถังจินสุ่ยไม่รู้ว่าทราบข่าวมาจากใคร เขาถึงได้เข้าใจว่าหนิวเอ้อร์เตรียมการณ์จะตั้งตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มใหม่ ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสที่หนิวเอ้อร์ไม่ทันระวังตัว เข้าจู่โจมทำร้ายจนหนิวเอ้อร์ได้รับบาดเจ็บที่ขา วางแผนชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ด้วยการกำจัดหนิวเอ้อร์ในลานบ้านของตัวเองเสียเลย
เดิมทีถังจินสุ่ยจะจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบๆ ให้ฟ้าไม่รู้ดินไม่เห็น ไม่คาดคิดว่าฝีมือการต่อสู้ของหนิวเอ้อร์จะองอาจห้าวหาญถึงเพียงนี้ เขาขัดขืนฝ่าวงล้อมสังหารหลายชั้นออกมาได้สำเร็จ แต่สุดท้ายกลับมานอนตายอยู่ข้างถนน
ในสมรภูมินี้แม้หนิวเอ้อร์ต้องจากไป แต่กลุ่มซวนหนีก็เกิดความเสียหายร้ายแรง ลูกน้องที่มีฝีมือการต่อสู้ที่สุดในกลุ่มทั้งหกคนก็โดนหนิวเอ้อร์จัดการหมดแล้ว ส่วนพวกที่ได้รับบาดเจ็บยิ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน เขาสูญเสียขุมกำลังหลักไปมากทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นการฆ่าคนกลางถนน เป็นการล่วงละเมิดข้อห้ามของทางการ ท่านใต้เท้าแห่งอำเภอไคเฟิงพิจารณาออกประกาศจับ มีคำสั่งให้เหล่ามือปราบจะต้องจับกุมผู้ร้ายฆ่าคนตายมาลงโทษให้ได้ภายในสามวัน มิฉะนั้นเกินไปหนึ่งวันก็จะโดนโบยหลังสามสิบไม้....
ด้วยเหตุนี้ ถังจินสุ่ยจำต้องพาลูกน้องในสังกัดหลบหนีออกจากเมืองหลวง แล้วไปหาที่ซ่อนตัวอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากฟังถงจื่อเล่าเรื่องจนจบ เถี่ยซินหยวนก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “หนิวเอ้อร์คอยช่วยเหลือขอทานน้อยกลุ่มนั้นอยู่? ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริงรึ?”
ถงจื่อพยักหน้ารับติดๆ กันหลายครั้ง “เป็นเรื่องจริง ข้าให้เงินผู้คุมหอชุนเซียงไปสิบอีแปะ เขาบอกกับข้าเองเลย หนิวเอ้อร์ยอมอดมื้อกินมื้ออยู่บ่อยๆ เพื่อขอทานน้อยพวกนั้น คราวนี้ฮวาเจี่ยเอ๋อร์แห่งหอชุนเซียงคงไม่มีหวังอีกแล้ว”
“ฮวาเจี่ยเอ๋อร์?” เถี่ยซินหยวนถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“คู่รักของหนิวเอ้อร์น่ะ เดิมทีหนิวเอ้อร์ตั้งใจว่าจะช่วยไถ่ตัวฮวาเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นแต่งนางเข้าบ้าน แต่ตอนนี้คนก็ตายไปแล้ว ทุกอย่างก็จบเห่หมดแล้ว”
เมื่อถงจื่อเล่าจบก็นำเหรียญทองแดงที่เหลือสิบกว่าเหรียญยัดใส่มือเถี่ยซินหยวน แล้ววิ่งกลับบ้านไปกินข้าว
เถี่ยซินหยวนนั่งอยู่ใต้ต้นสาลี่ด้วยความรู้สึกสับสนงุนงงเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า อันธพาลอย่างหนิวเอ้อร์จะมีแง่มุมเช่นนี้ซ่อนอยู่
เขายังนึกว่าตัวเองผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์ ใครจะรู้เล่าว่าเป็นการก่อกรรมทำเข็ญ
นับตั้งแต่เขาข้ามกาลเวลามาถึงยุคสมัยนี้ เขานึกว่าตัวเองจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรี มีบุญคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ ทว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วถึงได้รู้ว่า เขายังข้ามด่านมโนธรรมไปไม่ได้อยู่ดี
เขาวางแผนสังหารหนิวเอ้อร์ไปคนเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนอีกมากมาย...เรื่องนี้ทำให้เถี่ยซินหยวนรู้สึกเหมือนกับมีก้อนหินหนักอึ้งกดทับอยู่ในใจ
ถ้าหากไม่มีเขา ไม่แน่ว่าหนิวเอ้อร์อาจเลี้ยงดูขอทานน้อยเหล่านั้นจนเติบใหญ่ หรือว่าอาจจะช่วยไถ่ตัวหญิงสาวคนนั้นออกมาจากหอนางโลมได้สำเร็จ....
เนื่องจากไม่อยากให้มารดาต้องกังวลใจ เถี่ยซินหยวนจึงกินอาหารเย็นเป็นเพื่อนนางอย่างร่าเริงเช่นเดิม อีกทั้งยังเล่าเรื่องราวน่าสนใจที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนจากในตำราหลายเรื่อง
จนกระทั่งมารดาของเขาหลับไปแล้ว เถี่ยซินหยวนที่นอนเล่นบนเตียงเล็กนอกห้อง ก็ยังลืมตาจ้องมองหลังคาอยู่เช่นนั้น ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้
เมื่อมีเสียงท่อนไม้กระทบกันลอยมาจากบ้านของถงป่าน เถี่ยซินหยวนก็ตัดสินใจเด็ดขาดได้ในที่สุด แม้หนิวเอ้อร์จะตายไปแล้ว แต่ชีวิตของผู้อื่นไม่สมควรได้รับผลกระทบจากการกระทำของตัวเอง
ในเมื่อการตายของหนิวเอ้อร์มีสาเหตุมาจากเขา เช่นนั้นแล้วปัญหาที่ทิ้งค้างเอาไว้ ก็สมควรเป็นปัญหาของเขาด้วย
ในเวลานี้เองเขาถึงเข้าใจชัดเจนว่า เวรกรรมในชาติปางก่อนตามที่พระพุทธศาสนากล่าวไว้หมายถึงอะไร ถ้าหากวันใดมีเหตุและมีผลเกิดขึ้นมาแล้ว ชีวิตนี้ก็ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น
เมื่อความคิดแน่วแน่กระจ่างชัด ความง่วงก็ทะลักออกมาดังกระแสน้ำหลากและปกคลุมร่างของเขาจนมิด...
ในความฝันเขาเห็นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือดของหนิวเอ้อร์อีกครั้ง อีกฝ่ายกำลังคำรามใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้านี่เองที่ทำร้ายข้า!”
----------------------------
[1] กบฏลวี่หลินและกบฏชื่อเหมย(绿林赤眉起义)เป็นกลุ่มกบฏที่มีชื่อเสียงช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก(西汉)ซึ่งกบฏลวี่หลินมีฐานที่มั่นแรกอยู่บนเขาลวี่หลินซาน(绿林山) มีผู้นำคือ หวังควง(王匡)และหวังเฟิ่ง(王凤)ส่วนกบฏชื่อเหมยนำโดยฝานฉง(樊崇)เขาสั่งให้ลูกน้องใต้บัญชาการทาคิ้วสีแดง เพื่อไม่ให้ปะปนกับทหารของทางการ จึงได้ชื่อกลุ่มกบฏว่าชื่อเหมย(赤眉)หรือคิ้วแดง
[2] ไม้พลองสุยหั่ว(水火棍)ในอดีตเป็นอาวุธของเจ้าหน้าที่ประจำศาลาว่าการ มีลักษณะเป็นไม้พลองขนาดยาว ส่วนบนเป็นทรงเรียวยาวสีดำ ส่วนปลายแบนราบสีแดง
[3] กระต่ายสิ้นใจ จิ้งจอกร่ำไห้(兔死狐悲)หมายถึง ร่วมโศกเศร้า เป็นทุกข์ร้อนกับชะตากรรมของพรรคพวกเดียวกัน
[4] มาจากสำนวนคำพักท้ายที่ว่า อีเห็นมาอวยพรปีใหม่ไก่ ไม่หวังดี(黄鼠狼给鸡拜年 - 没安好心)หมายถึง ต่อหน้าทำเป็นรักใคร่ห่วงใย แต่ใจจริงมุ่งร้ายไม่หวังดี