DC บทที่ 39: ร้านอาหารที่ครึกครื้น
หลังจากเตร็ดเตร่อยู่สักพักซูหยางตัดสินใจพัก เขาเลือกร้านอาหารอย่างสุ่มๆและเดินเข้าไป การปรากฏตัวของเขาเรียกความสนใจจากทุกคนในอาคารก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้าไป
“น..นายน้อย ข้าคือเจ้าของร้าน มากี่คนขอรับวันนี้”
ซูหยางได้รับการต้อนรับจากเจ้าของร้านแทนที่จะเป็นคนรับใช้
“ข้าเพียงคนเดียว” เขาตอบขณะก้าวเข้าไปในร้าน
“ข้าต้องขอประทานอภัยล่วงหน้ากับสถานที่ซอมซ่อสำหรับคนเช่นนายน้อย..”
“หยุดเยินยอข้าและจัดโต๊ะให้ข้าตัวหนึ่ง โต๊ะแบบไหนก็ได้” ซูหยางตัดบทอีกฝ่ายด้วยหางตา เป็นเหตุให้เจ้าของร้านรีบหุบปาก ฝ่ามือเขาเปียกชื้นจากความเครียด
“นายน้อยเชิญเลือกที่นั่งได้ตามสบาย..” เจ้าของร้านกล่าวหลังจากนั้นสักครู่
ซูหยางพยักหน้าและเลือกโต๊ะว่างบริเวณมุม เขานั่งลงและมองผ่านรายการอาหารที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันและรอยนิ้วมือ ด้วยร้านไม่ได้สนใจเปลี่ยนมัน
เมื่อเจ้าของร้านสังเกตเห็นซูหยางมองรายการอาหารที่สกปรกอย่างละเอียด หัวใจเขาเกือบเต้นออกไปจากปากด้วยความหวาดกลัว
“น..นายน้อย..ข้าต้องขออภัยกับรายการอาหารสกปรก...ธุรกิจที่นี่ค่อนข้าง..เอ้อ..ลำบาก...” เจ้าของร้านกล่าวด้วยความรู้สึกที่ถาโถม
อย่างไรก็ตามซูหยางยังเงียบเฉย รายการอาหารสกปรกและสถานที่ซอมซ่อไม่ได้มีผลกับเขาแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ
“ข้าต้องการชาพื้นบ้านกาหนึ่งและทุกอย่างในรายการอย่างละจาน”
เจ้าของร้านมองดูซูหยางดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ซูหยางสั่ง เกือบไม่เชื่อหูตนเอง เขาต้องการทุกอย่างบนเมนู นั่นมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบจาน
“ได้เลยขอรับ”
เจ้าของร้านไม่กล้าชักช้ารีบวิ่งไปยังครัวและสั่งพ่อครัวราวกับผู้บัญชาการทัพ ยากมากที่ร้านของเขาจะได้ต้อนรับลูกค้าเป็นผู้ฝึกปราณ ยิ่งเป็นศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เขาไม่กล้าที่จะทำให้ใครบางคนที่เป็นตัวตนที่ลึกล้ำเช่นนั้นไม่พึงใจไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตามด้วยเขาเกรงผลที่จะตามมา
ช่วงเวลานั้นซูหยางก็ใช้เวลาในการลำดับความคิด
“นานเท่าไรแล้วที่ข้าได้นั่งเก้าอี้ไม้ไม่ได้รูปเช่นนี้ ข้าได้ก้าวเข้ามาในร้านอาหารเก่าแก่แบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน” ซูหยางย้อนนึกไปถึงเมื่อเขายังเป็นปุถุชนในช่วงชีวิตก่อนอย่างแม่นยำ ช่วงชีวิตวันรุ่นของเขา
เมื่อยังเป็นคนธรรมดาเขาใช้เวลาบ่อยครั้งกับครอบครัวแวะมายังร้านอาหารแบบนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาจากครอบครัวและกลายเป็นผู้ฝึกปราณจำนวนครั้งที่เขาแวะมาก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และไม่เคยได้มาอีกเลยเมื่อเขากลายเป็นเซียน
–
–
–
ขณะที่ซูหยางนั่งเงียบรำลึกถึงช่วงชีวิตก่อน ผู้คนในร้านต่างพากันกระซิบกระซาบขณะที่แอบมองเขา
“ช่างเป็นหนุ่มหล่อจริงๆถ้าข้าสามารถนะข้าจักปล้ำเขาลงบนเตียงข้าโดยไม่ลังเล”
“ชายทุกคนในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหล่อแบบนี้หมดใช่ไหม ถ้าข้าได้เป็นศิษย์ที่นั่น..”
บรรดาสาวแก่แม่หม้ายพากันหัวเราะคิกคักขณะที่พวกเธอจินตนาการไปไกลขณะที่บรรดาชายทั้งหลายบ่นพึมพัมด้วยความอิจฉา
“เชี่ย เพียงแค่เกิดมาหล่อกว่าคนอื่นเพียงนิดหน่อย...”
“ไอ๊หยาหยา...ทำไมสวรรค์ช่างโหดร้าย มิเพียงแต่ให้ข้าเกิดมาไม่หล่อ ทำไมถึงยังให้ข้าเห็นใครบางคนเช่นเขา หรือต้องการให้ข้าหมดความมั่นใจในความเป็นชาย”
ซูหยางยิ้มเล็กน้อยหลังจากฟังผู้คนรอบข้างพูดจา แม้ว่าพวกเขาเพียงกระซิบแต่มันก็ได้ยินชัดสำหรับซูหยางเหมือนกับพวกเขาพูดตรงใส่หูเขาเช่นนั้น
ไม่นานนักเจ้าของร้านก็กลับมาพร้อมกับคนรับใช้ตามมาเบื้องหลัง แต่ละคนล้วนถือจานชามมาด้วย และเพราะว่าโต๊ะเล็กเกินไปสำหรับวางจานทั้งหมด เจ้าของร้านจึงต่อโต๊ะว่างเข้าด้วยกันให้กลายเป็นโต๊ะใหญ่
“ทั้งหมดนี่ราคาเท่าไหร่” ซูหยางถามเจ้าของร้าน
“นายน้อยมิต้องกังวลกับราคาและสามาร..”
ซูหยางถอนหายใจระหว่างคำพูดของอีกฝ่ายและล้วงเหรียญทองจากถุงยื่นส่งให้เจ้าของร้านที่ยืนมึนงงอยู่
“มิต้องทอน แต่ช่วยเปลี่ยนเมนูสกปรกเหล่านี้เป็นชุดใหม่โดยเร็วที่สุดจักเป็นบุญคุณอย่างยิ่ง อ้อ ข้าอยากจะเลี้ยงบรรดาสุภาพสตรีทุกคนที่นี่สักมื้อ จัดให้พวกเธอตามที่ต้องการ ค่าใช้จ่ายคิดที่ข้า”
คำพูดซูหยางสร้างความสับสนไม่เพียงแต่เจ้าของร้านแต่กับทุกคนที่อยู่ในร้านอาหาร เขารวยแค่ไหนกันแน่ถึงควักหนึ่งเหรียญทองออกมาโดยง่ายดาย แม้ซูหยางจะสั่งทุกอย่างบนเมนูมามากกว่านี้อีกห้าเท่าราคาก็ยังไม่ถึงครึ่งเหรียญทอง เชี่ย แม้กระทั่งร้านอาหารเองก็ยังมีรายได้เพียงไม่กี่เหรียญทองในปีๆหนึ่ง
เมื่อบรรดาหญิงทั้งหลายในห้องได้ยินว่าซูหยางเลี้ยงพวกตนอะไรก็ได้ที่ต้องการ พวกเธอแทบจะกระโดดออกจากที่นั่งเพื่อจูบขอบคุณเขา
ซูหยางพลันพูดเสียงดัง “ในเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่ ทำไมพวกเจ้าไม่มานั่งกับข้า เพื่อเราจักได้สนทนากันสักเล็กน้อย ตรงนี้มีที่ว่างมากมายอีกทั้งข้ากำลังพยายามศึกษาเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าออกมาจากนิกาย”
ทันทีที่ซูหยางร้องขอให้พวกเธอแวะมาที่โต๊ะของเขา หญิงเกือบทุกคนในสถานที่นั้นต่างพากันลุกขึ้นและตะกายหาที่นั่งที่ดีที่สุดซึ่งก็คือเก้าอี้สองตัวด้านข้างซูหยาง
“ใจเย็นๆ ข้ายังไม่ได้ไปไหนในเร็วๆนี้...” ซูหยางยิ้มกับท่าทางของพวกเธอ ทำให้พวกเธอพากันหน้าแดงด้วยความอาย
เพียงเท่านั้นร้านอาหารที่เงียบสงบก็พลันกลายเป็นสถานที่ครึกครื้น