บทที่ 22 สมรภูมิเลือดของหนิวเอ้อร์
บทที่ 22 สมรภูมิเลือดของหนิวเอ้อร์
“เกรงว่ามารดาเจ้าคงอาลัยอัครเสนาบดีหวังมากกว่าจะรู้สึกเคืองแค้น แม้ภายหลังจะเกิดเรื่องร้ายแรงที่คาดไม่ถึง ต้นเหตุก็คงเป็นเพราะท่านลุงของนางหวังยง รวมถึงบิดาของนางหวังชงและท่านอาของนางหวังซู่มากกว่า
เจ้าหนู รักษาความเคารพนับถือต่อท่านทวดของเจ้าเอาไว้หน่อยดีกว่า เพราะเขานับว่าเป็นจอมปราชญ์โดยแท้จริงคนหนึ่ง
อัครเสนาบดีหวังจากไปหลายปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นศัตรูทางการเมืองหรือว่าสหาย ล้วนหลั่งน้ำตาให้กับการจากไปของเขาทั้งสิ้น
ในศาลบรรพชนซานไฮว๋[1]ของตระกูลหวัง ไม่รู้ว่ามีพวกปัญญาชนมากมายเท่าใดนำหยกพกติดกายฝังลงใต้ผืนดินด้วยมือของตัวเอง และมีเพียงผู้ยิ่งใหญ่เช่นอัครเสนาบดีหวังที่คู่ควรกับการนำหยกขาวมาเป็นของเซ่นไหว้
ในปีนั้นข้ายังมีฐานะยากจน ยอมสละสมบัติที่มีไปหาซื้อหยกพกสีขาวมาชิ้นหนึ่ง ต้องการจะนำไปฝังในศาลบรรพชนซานไฮว๋เช่นกัน ผลปรากฏว่าโดนหวังสือไฮว๋ปฏิเสธเสียได้ เฮ่อ เฮ่อ...
เมื่อครั้งปลูกต้นไฮว๋บิดาของอัครเสนาบดีหวังเคยลั่นวาจาไว้ว่า ตระกูลหวังจะต้องมีทายาทสักคนที่ดำรงตำแหน่งสูงระดับซานกง[2] จากนั้นก็มียอดคนอย่างอัครเสนาบดีหวังตามที่กล่าวไว้
ตามความเห็นของข้า ช่วงเวลาที่เขาเรืองอำนาจสูงสุดก็คือ เมื่อครั้งที่ต้าซ่งกับชี่ตันลงนาม ‘สัญญาสงบศึกแห่งฉานยวน[3]’
เมื่อชี่ตันรุกรานชายแดน อัครเสนาบดีหวังตามเสด็จฮ่องเต้เจินจงไปรบที่เมืองฉานโจวด้วย
ยงอ๋องจ้าวหยวนเฟิ่น[4]อยู่รักษาการณ์ในเมืองหลวง เคราะห์ร้ายป่วยด้วยโรคปัจจุบัน[5]ออกคำสั่งให้อัครเสนาบดีหวังเร่งเดินทางกลับโดยด่วนเพื่อมารักษาการณ์แทน เขาจึงกล่าวว่า ‘โปรดทรงเรียกตัวโค่วจุ่น[6]มาด้วย กระหม่อมมีเรื่องจะกล่าว’
เมื่อโค่วจุ่นมาถึง หวังตั้นก็กราบทูลถามว่า ‘ภายในสิบวันหากไม่มีข่าวชัยชนะ กระหม่อมควรทำเช่นไร?’
อดีตฮ่องเต้ทรงเงียบงันอยู่นานก่อนตรัสว่า ‘แต่งตั้งรัชทายาท’
ทันทีที่อัครเสนาบดีหวังมาถึงเมืองหลวง ก็มุ่งหน้าเข้าพระราชวัง ออกคำสั่งอย่างเข้มงวดยิ่ง ทำให้ใครก็ไม่อาจส่งข่าวสารระหว่างกันได้ เพื่อการณ์นี้เขาออกคำสั่งตัดศีรษะคนถึงสิบหกคนภายในวันเดียว!
เป็นอย่างไร? อำนาจสูงส่งเช่นนี้ไม่แตกต่างอะไรกับอำนาจของฮ่องเต้เลยใช่ไหมเล่า?”
ซย่าส่งกินโจ๊กไปพลาง เล่าเรื่องราวในอดีตของหวังตั้นให้เถี่ยซินหยวนฟังไปพลางอย่างน้ำไหลไฟดับ
เถี่ยซินหยวนฟังเรื่องเล่าของซย่าส่งแล้วก็ตกใจยิ่งนัก เขาเคยคิดอยู่นานแล้วว่ามารดาคงมาจากตระกูลที่มั่งคั่งใหญ่โตแน่ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าชาติกำเนิดของนางจะมาจากตระกูลที่เรืองอำนาจถึงเพียงนี้
แล้วเหตุใดมารดาของเขาต้องรู้สึกแค้นเคืองซย่าส่งด้วยเล่า?
“ตระกูลหวังเกี่ยวข้องอันใดกับข้า ข้าแซ่เถี่ยมิใช่แซ่หวัง ในเมื่อมารดาไม่ยอมกลับเข้าตระกูลหวัง เช่นนั้นข้าก็จะหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไม่ก้าวเข้าไปหรอก”
ซย่าส่งใช้ตะเกียบชี้หน้าเถี่ยซินหยวนแล้วเอ่ยอย่างขบขันว่า “อย่าทำลายของมีค่าตามอำเภอใจสิ ตระกูลหวังแม้ไม่มีท่านอัครเสนาบดีแล้ว แต่ยังมีหวังยง หวังชง หวังซู่ สามคนนี้ก็ไม่ใช่ถุงสุราห่อข้าว คนหนึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางที่ปรึกษา คนหนึ่งเป็นขุนนางสังกัดสำนักราชเลขา ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นถึงขุนนางอธิบายตำราตำหนักหานหยวน
แค่เจ้าไปขอร้องพวกเขาดู ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร อนาคตของเจ้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่นอน ด้วยสติปัญญาของเจ้า ในวันหน้าจะอาศัยกำลังจากตระกูลหวังบินทะยานขึ้นฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น”
เถี่ยซินหยวนส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าหากทำเช่นนี้ มารดาข้าคงช้ำใจตายแน่ นำศักดิ์ศรีของนางไปแลกกับอนาคตของตัวเอง นับว่าไม่ใช่สิ่งที่ผู้เป็นบุตรพึงกระทำเลยสักนิด”
ซย่าส่งวางตะเกียบลงด้วยความตกตะลึง จับจ้องใบหน้าเถี่ยซินหยวน ก่อนจะเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าคิดว่าศักดิ์ศรีของมารดาสำคัญกว่าอนาคตตัวเองอย่างนั้นรึ?”
เถี่ยซินหยวนเหลือบมองซย่าส่งแล้วตอบอย่างเย็นชาว่า “หรือท่านคิดว่าศักดิ์ศรีของมารดาสำคัญสู้อนาคตของท่านไม่ได้สินะ?”
ซย่าส่งเคี้ยวเนื้อหมูพะโล้คำหนึ่งอย่างช้าๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงกล่าวว่า “ข้าเป็นบุตรที่โดนทิ้ง ได้รับความเมตตาจากบิดาผู้จากไปนำข้ามาอุปการะเลี้ยงดู ดังนั้นข้าคิดว่าขอเพียงปรนนิบัติมารดาอย่างดีตราบจนสิ้นอายุขัย ก็นับว่าไม่ผิดต่อดวงวิญญาณของบิดาบนสวรรค์แล้ว”
เมื่อกล่าวจบประโยค ทั้งสองต่างจมอยู่ในความเงียบงัน
สายลมพัดเอาม่านประตูเก่าคร่ำคร่าม้วนตลบขึ้นและทิ้งตัวลง ตอนนี้ดูเหมือนซย่าส่งมีอารมณ์อยากจะสนทนาต่อแล้ว
“ผู้มีใจกตัญญูล้วนไม่ใช่คนที่ไร้น้ำใจจนเกินไป ตามที่พวกเราตกลงกันไว้ หนิวเอ้อร์ตายเมื่อใด เจ้าถึงได้เป็นศิษย์ของข้า”
เถี่ยซินหยวนโค้งคำนับขอบคุณ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ท่านไม่ยอมใช้ประโยชน์จากตระกูลหวังผ่านมือข้าสักหน่อยหรือ?”
ซย่าส่งพ่นเสียงฮึอย่างเย้ยหยันแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ข้ากับตระกูลหวังเป็นดั่งน้ำกับไฟ ผู้ที่กล่าวโทษข้ารุนแรงที่สุดก็คือท่านตาใหญ่[7]ของเจ้าหวังยงนั่นแหละ”
เถี่ยซินหยวนก้มหน้าลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากทุกอย่างราบรื่น ภายในสามวันก็เป็นไปได้ว่าศพหนิวเอ้อร์จะกองอยู่หน้าประตูซีสุ่ย”
ซย่าสุ่ยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เหตุใดถึงเป็นไปได้?”
เถี่ยซินหยวนตอบว่า “ข้าเคยได้ยินคนกล่าวว่าความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า!”
จู่ๆ ซย่าส่งก็ลุกขึ้นโดยพลัน เขาก้มหน้าจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของเถี่ยซินหยวน “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังสนทนาอยู่กับผู้ใหญ่คนหนึ่ง อีกทั้งเป็นผู้ที่มีสติปัญญาตามความคิดของข้าได้ทัน ไม่ใช่คุยเล่นกับเด็กน้อยอายุเจ็ดขวบคนหนึ่งเล่า?”
“ไม่มีผู้อื่น เพียงรู้มาแต่กำเนิดเท่านั้น![8]”
“ไสหัวไป!”
ซย่าส่งสะบัดแขนเสื้อไล่คนด้วยความหงุดหงิดเหลือทน เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้สึกสนใจเถี่ยซินหยวนมากทีเดียว เด็กที่เฉลียวฉลาดก็มีอยู่หรอก แต่ว่าร้ายกาจเช่นเถี่ยซินหยวนกลับเหมือนปีศาจอยู่หลายส่วนแล้ว
หลังจากทอดสายตามองส่งเถี่ยซินหยวนถือกล่องอาหารเดินออกจากลานคฤหาสน์ร้างไป เขาก็บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “เดิมทีเจ้าเด็กนี่ควรเป็นกำลังสำคัญในรุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลหวัง แต่ว่าพวกเขากลับทำมุกเม็ดงามหล่นหายไปเสียได้ ช่างน่าเสียดายโดยแท้!”
อากาศในเดือนเจ็ดของเมืองหลวงร้อนอบอ้าวราวกับลังนึ่งใบใหญ่ยักษ์ เถี่ยซินหยวนรีบเดินฉับๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงร้านทังปิ่ง เขายกน้ำชาดื่มอั้กๆ จนหมดไปถึงครึ่งค่อนกา ถึงได้รู้สึกสบายตัวขึ้นหน่อย
หวังโหรวฮวาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากเถี่ยซินหยวน “อากาศร้อนจัดกลับวิ่งเร็วขนาดนี้ ทั้งยังดื่มน้ำชาเย็นๆ อีกไม่กลัวสำลักหรือไร”
เถี่ยซินหยวนหอบหายใจเฮือกใหญ่แล้วตอบว่า “หากเดินช้าจะยิ่งร้อน!”
ในขณะที่เอ่ยวาจาก็ถอดเสื้อผ้าท่อนบนออกมา กางเกงตัวยาวก็ถอดออกมาด้วย เหลือไว้แค่กางเกงสั้นๆ ตัวในอย่างเดียว แม้จะทำถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังแข็งแรงกว่าเด็กตัวน้อยๆ ที่ถอดเสื้อผ้าเปลือยก้นเต็มถนน
เนื่องจากอากาศร้อนเกินไป จึงไม่ค่อยมีใครเข้ามากินอาหารในร้าน มีเพียงพ่อค้าเดินเร่ขายของไม่กี่คนเท่านั้น พวกเขาเดินเข้ามาในร้านขอน้ำชาเย็นๆ ชามหนึ่งแล้วนั่งดื่มทีละอึกดับกระหาย
หญิงวัยกลางคนผู้ช่วยของหวังโหรวฮวาใช้ไม้ปัดหางวัวไล่แมลงวันออกไปนอกร้านอย่างไร้เรี่ยวแรง ระยะนี้บริเวณประตูซีสุ่ยมีเจ้าแมลงวันอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะไล่อย่างไรก็ไม่ไปเสียที
มารดานำเนื้อหมูลงไปต้มในหม้ออีกครั้ง สภาพอากาศเช่นนี้ถ้าขืนวางเอาไว้ข้างนอก ไม่ถึงครึ่งวันเนื้อหมูก็มีกลิ่นตุๆ เสียแล้ว ต่อให้เป็นส่วนที่ต้มแล้วมีเครื่องเทศติดออกมาด้วยก็เช่นกัน
ท่ามกลางสภาพอากาศที่ไม่น่ารื่นรมย์ ต่อให้เป็นหญิงที่ขยันขันแข็งที่สุดและหนุ่มน้อยที่รูปโฉมงดงามที่สุด ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้นเหมือนเคย ผู้คนทั้งหลายต่างเฝ้ารอให้ดวงอาทิตย์ตกดินในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น
เถี่ยซินหยวนนอนเปลือยแผ่นหลังอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง มีมารดานั่งอยู่ข้างกายใช้พัดใบไผ่โบกไปมาเบาๆ อย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นแล้วเถี่ยซินหยวนก็จะมีเหงื่อไหลท่วมตัว
จักจั่นส่งเสียงร้องกังวานไม่ยอมหยุด โดยเฉพาะใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างบ่อน้ำเถียนสุ่ยเสียงยิ่งดังเซ็งแซ่ไปหมด เด็กน้อยเปลือยก้นหลายคนกำลังใช้ไม้ไผ่ติดจักจั่น[9]กันอยู่
แมลงชนิดนี้เอาไปทอดน้ำมันจะมีรสชาติยอดเยี่ยมยิ่งนัก เป็นกับแกล้มสุราที่ขาดไม่ได้ในฤดูร้อนเลยเชียว
ทันใดนั้นเองเสียงร้องของจักจั่นก็เงียบไปเสียเฉยๆ และหลังจากเกิดเสียงโครมดังสนั่น ประตูบานใหญ่สีดำสนิทใกล้บ่อน้ำเถียนสุ่ยก็ลอยมาถึงริมถนน ในขณะเดียวกันร่างของชายผิวพรรณดำคล้ำคนหนึ่งก็กระเด็นออกมาพร้อมบานประตูด้วย เพียงแต่เขามีเลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบย้อมทั่วร่าง สภาพแลดูน่าเวทนาเหลือเกิน
กลุ่มชายสิบกว่าคนที่มีอาวุธอยู่ในมือพุ่งออกมาจากบ้านหลังนั้น ตรงเข้าไปล้อมร่างของชายผู้โชคร้ายโดยไม่รอช้าแล้วกระหน่ำฟันไม่ยั้ง ในมือของชายที่กำลังโดนรุมทำร้ายกวัดแกว่งมีดตัดข้อมือยาวประมาณหนึ่งฉื่อ[10]ไปทั่วทิศเพื่อปกป้องตัวเอง แม้จะสกัดมีดตัดฟืนที่ฟันลงมาได้หลายครั้ง แต่ยังมีคมมีดเล่มที่เหลือกรีดลงบนร่างของเขาอยู่ดี
ชายผิวคล้ำส่งเสียงคำรามออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง เขานำเสื้อของตนมาพันเข้ากับท่อนแขน พยายามพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวตาย แขนข้างที่มีเสื้อพันไว้ปัดป้องมีดตัดฟืนไปได้ ส่วนมือข้างที่ถือมีดตัดข้อมือก็จ้วงแทงเข้าไปในปากของชายคนหนึ่งว่องไวปานสายฟ้าฟาด แล้วตะคอกถามเสียงดังว่า “ใครคิดทำร้ายข้า?”
ส่วนชายรับจ้างที่เหลือไม่ยอมตอบคำ แต่กระโจนเข้าใส่เขาอีกครั้ง ชายผิวคล้ำรีบหันกายเดินจากไป แต่เนื่องจากบนขามีบาดแผลขนาดใหญ่ ทำให้เขาวิ่งหนีได้ไม่คล่องแคล่วนัก ไม่นานกลุ่มชายรับจ้างก็ตามมาทัน ชายผิวคล้ำหมุนร่างกลับไปสะบัดขาเตะชายที่ตามมาจนล้มกลิ้งไปหนึ่งคน เขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะใช้เท้าเหยียบคอหอยชายคนนั้นและถามด้วยเสียงคำรามลั่นว่า “ใครคิดทำร้ายข้า?”
ไม่มีใครตอบคำถามข้อนี้สักคน เมื่อเจออีกฝ่ายถืออาวุธกรูเข้ามา ชายผิวคล้ำจึงต้องชักเท้ากลับ แต่ว่าชายรับจ้างที่นอนกองอยู่กับพื้น โดนเท้าบดขยี้คอหอยจนกระดูกแหลกละเอียดลิ้นยาวจุกปากไปเสียแล้ว
ชายผิวคล้ำต่อสู้ไปพลางเดินถอยหนีไปด้วย ระยะทางสั้นๆ ประมาณสิบก้าวเขาก็โดนมีดแทงไปสามแผลแล้ว แต่ว่าในระยะสิบก้าวนี้ก็มีศพของชายสามคนกองอยู่ตรงนั้นด้วย
หวังโหรวฮวารีบคว้าตัวเถี่ยซินหยวนไปหลบใต้โต๊ะหน้าร้านทันที นางพร่ำสวดภาวนาไม่หยุด หวังว่าพุทธองค์จะคุ้มครองไม่ให้เจ้าอันธพาลพวกนี้ต่อสู้ฆ่าฟันมาถึงร้านของตัวเอง
เถี่ยซินหยวนมองลอดช่องว่างใต้โต๊ะหน้าร้านออกไปเห็นภาพชัดเจน ชายร่างท้วมผิวพรรณดำคล้ำท่าทางเหมือนคนคลุ้มคลั่งเสียสติก็คือหนิวเอ้อร์ เขากำลังเดินถอยหลังไปที่กำแพงโดยมีชายสองคนเกาะเอวเอาไว้อย่างแน่นหนา
หนิวเอ้อร์เอาศีรษะโขกเข้ากับหน้าผากของชายที่ทำร้ายตน จนล้มลงไปในสภาพอ่อนปวกเปียก ความป่าเถื่อนดุร้ายของหนิวเอ้อร์พลันพุ่งทะยานถึงขีดสุด เขาคว้าเอวของชายอีกคนหนึ่งเอาไว้ แล้วยกร่างนั้นขึ้นโดยห้อยศีรษะลง ก่อนจับทุ่มกระแทกกับพื้นโดยแรง ทำให้กะโหลกศีรษะของชายผู้โชคร้ายแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ พอทิ้งร่างลงกับพื้นคอก็พับบิดเบี้ยวผิดรูปตายอย่างน่าอนาถ
ชายที่เหลือเฝ้ามองอย่างขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาทำได้เพียงโอบล้อมร่างที่โงนเงนคล้ายจะล้มของหนิวเอ้อร์ แล้วเดินหมุนเป็นวงเพื่อคอยคุมเชิงอย่างระมัดระวัง ชายคนหนึ่งในวงล้อมใช้ตาข่ายดักปลาขนาดใหญ่ครอบร่างของหนิวเอ้อร์เอาไว้
หนิวเอ้อร์พลิกฝ่ามือกลับ ใช้อาวุธคู่กายปักตรึงกำแพงด้านหลังตน เมื่อตาข่ายเจอกับความคมของมีดตัดข้อมือก็ฉีกขาดเป็นรูใหญ่
หนิวเอ้อร์เก็บมีดตัดฟืนขึ้นมาเล่มหนึ่ง ฟันฉับที่แขนของชายปล่อยตาข่ายดักปลา จากนั้นก็มีเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดลอยมาจากริมถนน หวังโหรวฮวาจึงปิดตาแน่นสนิทด้วยความหวาดกลัว
เถี่ยซินหยวนกลับมองเห็นอย่างชัดเจน หนิวเอ้อร์ฟันแขนชายคนนั้นขาดสะบั้นในคราวเดียว เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดดั่งน้ำพุสาดกระจายไปทั่วบริเวณ ราวกับว่าเมื่อครู่มีฝนสีเลือดตกลงมายกหนึ่ง
หนิวเอ้อร์ถือมีดยืนอยู่ท่ามกลางหยาดฝนสีเลือด เอามือทุบหน้าอกส่งเสียงคำรามถามว่า “ใครคิดทำร้ายข้า?”
เถี่ยซินหยวนถอนหายใจแผ่วเบา คราวนี้หนิวเอ้อร์จบเห่แล้ว แม้ไม่โดนคนกลุ่มซวนหนีฆ่าตาย ทางการก็ต้องตัดศีรษะเขาโทษฐานฆ่าคนตายแน่นอน
เสียงฆ้องทองแดงบริเวณประตูซีสุ่ยดังขึ้นแล้ว นี่เป็นสัญญาณเตือนจากทางการ เพื่อบอกกล่าวว่าพื้นที่นี้มีคดีฆาตกรรม เถี่ยซินหยวนไม่คิดว่าหนิวเอ้อร์ที่ขาบาดเจ็บจะหนีเคราะห์คราวนี้ไปได้
หนิวเอ้อร์เดินโซซัดโซเซเอาหลังพิงกำแพงเก่าๆ หันมาเผชิญหน้ากับชายอีกหลายคนที่ยังจับจ้องเขาอย่างดุร้ายไม่ยอมปล่อยไปโดยง่าย
เถี่ยซินหยวนเหลือบมองกำแพงด้านหลังของหนิวเอ้อร์ แล้วก็ถอนใจออกมาอีกครั้ง เขาเห็นเงาร่างคนมากมายที่หลังกำแพง ลางมรณะมาอยู่ตรงหน้าหนิวเอ้อร์แล้ว
หลังจากหนิวเอ้อร์กวัดแกว่งมีดฟันชายตรงหน้าอีกครั้ง ก็มีทวนยาวคมกริบเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากรูโหว่บนกำแพงราวอสรพิษร้าย มันแทงทะลุหน้าอกของเขาจนเลือดสีแดงสดกระเด็นออกไปหนึ่งฉื่อ
หนิวเอ้อร์ก้มหน้ามองคมทวนที่แทงทะลุอก จากนั้นกวาดสายตามองไปรอบด้าน ก่อนจะคำรามอย่างเจ็บแค้นว่า “ใครคิดทำร้ายข้ากันแน่?”
เหล่าชายรับจ้างรีบแบกซากศพของสหายจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนทวนยาวเล่มนั้นก็หายกลับเข้าไปในกำแพง โดยเหลือรอยเลือดเป็นวงกว้างเอาไว้
เมื่อปราศจากด้ามทวนยาวพยุงร่าง หนิวเอ้อร์ก็ทรุดตัวลงคุกเข่าอยู่กับพื้น หันมองร้านทังปิ่งพี่ชีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยดวงตาไร้ประกาย แต่เหมือนเขากำลังประสานสายตากับเถี่ยซินหยวนที่หลบอยู่หลังโต๊ะหน้าร้านกระนั้น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เลือดที่ไหลทะลักจากรูบนหน้าอกหนิวเอ้อร์ก็น้อยลงไปทุกที เขาถอนหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง ลมหายใจที่พ่นออกมายาวนานนัก คล้ายว่าเขารู้สึกผิดหวังกับโลกใบนี้เสียเหลือเกิน
ร่างของเขาล้มลงบนพื้นถนนร้อนระอุ รอยเลือดที่ยังเป็นสีแดงสดเมื่อครู่นี้ พลันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในเวลาชั่วอึดใจ แล้วสุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นสีดำ ตามด้วยแมลงวันฝูงใหญ่บินตรงมาทางนี้อย่างมืดฟ้ามัวดิน พวกมันไม่เพียงบดบังรอยเลือดบนถนน แต่ยังปกคลุมทั่วร่างของหนิวเอ้อร์ราวกับสวมชุดเกราะสีดำสนิทให้เขาก็ไม่ปาน
----------------------------
[1] ศาลบรรพชนซานไฮว๋(三槐堂)เป็นชื่อศาลบรรพชนแห่งหนึ่งของตระกูลหวัง สมาชิกตระกูลในศาลบรรพชนนี้เป็นหนึ่งในสาขาที่ยิ่งใหญ่ โดยทั่วไปแล้วชื่อศาลบรรพชน(堂号)จะตั้งจากถิ่นที่เกิด เจ้าแผ่นดิน หรือเชื้อพระวงศ์ มีเพียงศาลบรรพชนแห่งนี้ที่แตกต่างออกไป
[2] ซานกง(三公)หรือตำแหน่ง 3 ขุนนางระดับสูงของราชสำนักประกอบด้วยอัครเสนาบดี(宰相/丞相) เสนาบดีฝ่ายกิจการทหาร(太尉)ผู้ตรวจการราชสำนัก(御史大夫)ซึ่งในแต่ละยุคสมัยขุนนางซานกงอาจประกอบด้วยตำแหน่งขุนนางหรือชื่อเรียกแตกต่างกันไป
[3] สัญญาสงบศึกแห่งฉานยวน(澶渊之盟)เป็นสัญญาสงบศึกระหว่างแคว้นเหลียวของชาวชี่ตันและต้าซ่งในปีค.ศ.1004 แม้สัญญาฉบับนี้จะสร้างความอัปยศให้แก่ราชวงศ์ซ่ง แต่ก็ยุติสงครามอันยาวนานตั้งแต่รัชกาลซ่งไท่จง(宋太宗)ลงได้
[4] จ้างหยวนเฟิ่น(赵元份)โอรสองค์ที่ 4 ของซ่งไท่จง เป็นพระอนุชาของซ่งเจินจง อยู่รักษาการณ์เมืองหลวงขณะพระเชษฐาออกรบทางเหนือ
[5] โรคปัจจุบัน(急病)บางครั้งเรียกไข้เฉียบพลันหรือโรคเฉียบพลัน หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นเร็วเป็นอยู่เพียงช่วงสั้นๆ (ไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์) แล้วก็ให้รู้แล้วรู้รอดกันไปว่าถ้าไม่ตายก็หายขาด
[6] โค่วจุ่น(寇准)เป็นทั้งนักการเมืองและกวี มีนิสัยกล้าพูด ตรงไปตรงมา เฉลียวฉลาด เคยรับเป็นถึงตำแหน่งอัครเสนาบดี แต่เขามีศัตรูมาก สุดท้ายโดนลดขั้นปรับราชการที่เมืองเหลยโจวและเสียชีวิตที่นั่น
[7] ท่านตาใหญ่(舅老爷)เนื่องจากในเรื่องตัวละครหวังยงมีฐานะเป็นลุง(伯父)ของหวังโหรวฮวา มารดาเถี่ยซินหยวน
[8] เพียงรู้มาแต่กำเนิดเท่านั้น(生而知之而已)เถี่ยซินหยวนล้อเลียนคำพูดของขงจื๊อจากคัมภีร์หลุนอวี่(论语)ที่ว่า “เราไม่ใช่คนมีความรู้แต่กำเนิด, หากแต่ใฝ่รู้, และรู้จักแสวงหาความรู้จากอดีต”(我非生而知之者,好古,敏以求之者也。)
[9] ใช้ไม้ไผ่ติดจักจั่น วิธีการคล้ายคลึงกับการจับจักจั่นของไทยที่ใช้ยางเหนียวจากต้นไม้ใหญ่หรือกาวแป้งข้าวเหนียวทาที่ปลายไม้ แล้วเอาไปแตะตามตัวจักจั่นที่ส่งเสียงร้องอยู่บนกิ่งไม้
[10] ฉื่อ(尺)1 ฉื่อ = 10 นิ้วจีน ประมาณ 22.7 - 23.1 เซนติเมตร