ตอนที่ 40 อย่าคิดจะวิ่งแข่งกับมนุษย์หายตัว
ตอนที่ 40 อย่าคิดจะวิ่งแข่งกับมนุษย์หายตัว
“ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
หลังจากออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบอีกครั้ง เฮคเตอร์ก็กลับมาพร้อมกล่าวรายงานที่ต่อสายตรงไปยังห้องบัญชาการใหญ่ ก่อนถึงเวลาบุกจริง สองแนวหน้าแห่งหน่วย K-0 ก็ถูกส่งตัวออกมาล่วงหน้าอีกครั้งเพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงโดยรอบคฤหาสน์ของศัตรู
“รับทราบ V-22 Osprey กำลังลงจอดตามพิกัดที่วางไว้”
เสียงรายงานตอบกลับจากห้องบัญชาการ ทำให้ทั้งสองรู้ว่าขณะนี้กำลังรบของกองปราบวิญญาณได้มาถึงแล้ว
“รับทราบ”
หนนี้เป็นชาเกลที่ตอบกลับไป
ยานพาหนะทางอากาศซึ่งรวมเอาจุดเด่นต่างๆ ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ไว้กำลังลงจอด ซึ่งได้นำพาคนของกองปราบวิญญาณจำนวนยี่สิบสองชีวิตให้มาถึงที่นี่ ทุกคนแยกย้ายไปตามกลุ่มที่วางแผนคัดแยกตามความเหมาะสมเอาไว้แล้วสำหรับการปฏิบัติภารกิจ
หน่วย K-0 ซึ่งรวมกับเฮคเตอร์กับชาเกลที่ล่วงหน้ามาก่อนแล้วรวมเป็นห้าคน
หน่วย K-1 แปดคน
หน่วย K-2 ห้าคน
หน่วย K-3 กับ K-4 ที่มีเพียงหัวหน้าหน่วยเข้าร่วมในภารกิจนี้
มีแพทย์วิญญาณตามมาเป็นหน่วยสนับสนุนอีกสองคน
และสองคนสุดท้ายคือบอดีการ์ดของเจ้าหญิงเฌอรีนซึ่งมีพลังสายพิเศษ
คนทั้งหมดจะถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม เป็นกลุ่มเพื่อการจู่โจมสามกลุ่ม โดยทุกกลุ่มจะมีผู้มีพลังวิญญาณสายพิเศษไปด้วยกลุ่มละหนึ่งคน สายปราบวิญญาณที่ถูกเฉลี่ยค่าพลังวิญญาณให้ไม่ต่างกันนัก และอีกกลุ่มคือกองสนับสนุนที่ประจำอยู่ศูนย์บัญชาการภาคสนามในยานพาหนะ พร้อมกับแพทย์วิญญาณและกำลังส่วนหนึ่งเพื่อคอยป้องกัน เมื่อรวมกลุ่มกับเฮคเตอร์กับชาเกลแล้วทุกกลุ่มจะมีจำนวนกลุ่มจะหกคนพอดี
“จำไว้ให้ขึ้นใจนะครับ พวกคุณไม่มีพลังในการกำจัดดิคเคนส์นอกจากพลังในอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ติดตัวและมันก็หมดได้ อย่ายุ่งกับเจ้าพวกนั้นถ้าไม่จำเป็น หน้าที่ของเราคือพวกคนที่เป็นสายพิเศษเหมือนกันเท่านั้น”
ฟอแกนด์เรียกเจ้าหน้าที่พิเศษซึ่งเป็นชายหนุ่มสองคนที่ถูกขอยืมตัวมาช่วยงานมากำชับอีกครั้ง ทั้งสองไม่ใช่ชายหญิงที่พวกของฟอแกนด์เจอในวันที่เข้าพบเจ้าหญิง ฟังจากรูปแบบพลังวิญญาณที่สอบถามมาแล้ว ก็พอเดาได้ว่าสองคนนี้ไม่ใช่มือดีที่สุดที่เจ้าหญิงมีอย่างแน่นอน
“เข้าใจแล้วครับ”
แม้จะตอบรับตามนั้น แต่เจ้าของโค้ดเนมชั่วคราว PG-2 แอบแสดงอาการเหม็นเบื่อออกมาอย่างที่พอจะสังเกตได้ คงเพราะฟอแกนด์กับเอ็ดเวิร์ดต่างเน้นย้ำกับพวกเขาหลายรอบแล้วจริงๆ
“ถึงที่นี่จะถูกจัดเป็นดิคเคนส์เหมือนกับในห้องทดลองที่กองปราบ แต่ของจริงที่พวกคนร้ายใช้งานต่างจากในห้องทดลองนั่นจนพวกคุณคิดไม่ถึงแน่นอน อย่าประมาทนะครับ”
“เราจะระวังครับ”
PG-1 ที่ดูเป็นชายหนุ่มที่นุ่มนวลกว่า ตอบรับฟอแกนด์อย่างเกรงใจเมื่อสังเกตเห็นอาการของเพื่อนตัวเอง ฟอแกนด์ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันไปรวมกลุ่มของตัวเองเพื่อเตรียมความพร้อม
“ทำยังกะเราเป็นเด็กไปได้”
ลับหลังฟอแกนด์ไปแล้ว เจ้าของโค้ดเนม PG-2 ก็ยังบ่นอุบไม่เลิก
“เอาน่า ในสถานการณ์แบนี้ยังไงเราก็ประสบการณ์น้อยกว่า ถึงจะอยู่เฝ้าฐานก็ระวังเถอะ”
PG-1 พยายามปรับอารมณ์เพื่อน เพราะพวกเขาถูกเรียกตัวมาในเวลาฉุกเฉินในภารกิจที่ไม่คุ้นเคยจริงๆ เพื่อนร่วมงานของเขาก็คงจะเครียด หรือไม่ก็ตื่นเต้นจนปรับอารมณ์ไม่ถูกไป
หัวหน้าหน่วย K-0 และเป็นผู้นำในการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ตัดสินใจให้ PG-2 อยู่เฝ้าฐาน แล้วส่ง PG-1 ไปสมทบกับกลุ่มของชาเกลกับเคนเซย์ที่น่าจะพอรับประกันความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง แม้จะมีการเซ็นสัญญายินยอมหากมีการเสียชีวิตไว้แล้ว แต่คงจะไม่ใช่เรื่องดีนักกับเส้นสายทางเจ้าหญิงหากบอดีการ์ดทั้งสองเกิดอะไรขึ้นไปจริงๆ
ทุกกลุ่มแยกย้ายเข้ากลุ่ม และเดินทางไปประจำยังจุดเตรียมพร้อมที่ชาเกลทำสัญลักษณ์ไว้ให้ก่อนหน้านี้แล้ว
“ทุกจุดพร้อม รอการยืนยันเคลียร์พื้นที่”
เสียงของเอ็ดเวิร์ดดังขึ้นในเครื่องมือสื่อสาร
“K-0 code4* รับทราบ”
เมื่อรับทราบคำสั่งแล้วเฮคเตอร์ก็หายวับไปจากตรงนั้นในทันที ส่วนชาเกลก็กลับไปรวมตัวกับกลุ่มของตัวเองเพื่อรอคำสั่งจู่โจม
เฮคเตอร์เริ่มจากประตูทางทิศใต้ซึ่งอยู่ห่างไกลที่สุด มีเวรยามติดอาวุธปืนเฝ้าระวังอยู่ตรงนั้นห้าคน เขาหายตัวเข้าไปประชิดร่างจากด้านหลังของชายคนแรก ใช้มือแตะข้างลำคอที่เป็นเนื้อหนังมนุษย์ก่อนจะพาหายตัวออกไปไว้ไม่ห่างจากศูนย์บัญชาการภาคสนามของกองปราบวิญญาณ เพื่อส่งต่อให้กับหัวหน้าหน่วย K-4 กับ PG-1 ที่ได้รับหน้าที่เฝ้าฐาน ให้จับพวกนี้มัดไว้รออการจับกุมไปตรวจสอบเมื่อฟื้นสภาพขึ้นมา
โดยไม่ต้องห่วงความปลอดภัยว่าเจ้าคนพวกนี้จะลุกขึ้นมาทำอะไรได้ เพราะพลังข้างเคียงจากการพาหายตัวของเฮคเตอร์นั้น เมื่อยิ่งนำไปใช้กับมนุษย์ธรรมดา ก็ยิ่งทำให้เกิดผลกระทบมากกว่าผู้มีพลังวิญญาณหลายเท่า เพราะไม่มีพลังต่อต้านเลยนั่นเอง
กว่าที่เหล่าคนเฝ้ายามจะรู้สึกตัวว่าเพื่อนรอบข้างหายไป ก่อนที่จะได้เกิดอาการงุนงงบนใบหน้า โลกทั้งใบของคนเหล่านี้ก็หมุนบิดเบี้ยวไปหมดจนทุกอย่างมืดมิดดับวูบไปแล้ว
พลังการหายตัวอันน่าทึ่งซึ่งไม่ปรากฏมานานหลายร้อยปี และพลังนี้จะน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุดหากคนที่ครอบครองมันไม่ใช่คนอย่างเฮคเตอร์ คาเรนไคลน์ ผู้ใช้ชีวิตอย่างไม่หวังจะทำอะไรเพื่อตัวเองอีกแล้ว
สัญญาณการเคลียร์พื้นที่จากบริเวณประตูทิศใต้ดังขึ้นอย่างว่องไว ตามด้วยเหล่าเวรยามที่เดินตรวจตราตามจุดต่างๆ ที่ถูกขนย้ายไปมัดรวมกับพวกของมันมากขึ้นเรื่อยๆ มันง่ายดายเสียจนชวนให้คิดว่าที่นี่ป้องกันหละหลวมเกินไปจนน่าแปลกใจ หรือพลังของเฮคเตอร์สะดวกมากเกินไปจนทุกอย่างดูสบายไปหมดกันแน่
หลายคนในนั้นพยายามจะวิ่งหนีเมื่อเห็นความไม่ชอบมาพากลของเพื่อนที่หายไปต่อหน้าต่อตา แต่ช่างหารู้ไม่ว่าเป็นเรื่องที่โง่เขลาขนาดไหนที่คิดจะวิ่งหนีจากมนุษย์หายตัว
“ประตูทิศเหนือ เคลียร์”
และยังคงมีรายงานการเคลียร์พื้นที่ดังขึ้นมาเรื่อยๆ ในเวลาเพียงไม่นานยามเฝ้าประตูทุกจุด หน่วยเดินเวรยามที่เรียกกันห้เข้าใจโดยใช้คำว่า สนามหญ้า1,2 ไล่เรียงกันไป
จนท้ายรายงานการเก็บกวาดพื้นที่ก็ถูกเก็บจนครบ
“K-0 code4 เคลียร์พื้นที่สมบูรณ์”
แม้จะไม่มีเสียงพูดคุยอะไรของใครออกมา แต่ความมหัศจรรย์ของความสามารถนี้ก็ทำให้ใครหลายคนในภาคส่วยปราบวิญญาณทึ่งอยู่เสมอแม้จะรู้จักกันมานานแล้วก็ตาม
ดีแค่ไหนที่มีเฮคเตอร์เป็นพวกพ้องที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดอย่างที่อีกฝ่ายจะต้องเจอ
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เกิดเสียงกระสุนปืนดังขึ้นรัวก่อนที่เอ็ดเวิร์ดจะสั่งจู่โจม มันน่าจะดังมาจากด้านนอกไม่ไกลจากศูนย์บัญชาการภาคสนามนี่เอง
“ถึงว่า...หายไปไหนกันหมด โดนจับมากองอยู่ที่นี่นี่เอง”
เสียงที่ไม่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมร่างของ PG-2 ที่ล้มคว่ำลงไป คิม...ชายสวมแว่นใส่สูทคู่ปรับเก่าของชาเกลปรากฏตัวขึ้น
“K-4 code1 พบสายพิเศษขอกำลังเสริมที่ข้างฐานด่วน!”
นอกจากปืนที่น่าจะเป็นของจริงในตอนแรกแล้ว เมื่อได้เห็นสิ่งที่คล้ายกระสุนลอยมาไม่หยุดจากมือเปล่า หัวหน้าหน่วย K-4 ซึ่งสร้างเกราะวิญญาณได้ทันรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือทันที
“ผมไปเอง..ไปเอง”
เกิดเสียงสองเสียงดังซ้อนกันขึ้นในสาย ก่อนที่ร่างของเฮคเตอร์กับชาเกลจะกลับมาปรากฏตัวที่บริเวณใกล้ฐานในทันที เอ็ดเวิร์ด แพทย์วิญญาณ และเจ้าหน้าที่หน่วย K-1 คนหนึ่งยังคงอยู่ภายในเครื่องบิน มีเพียงหัวหน้าหน่วย K-4 พยายามเอาตัวรอดอยู่ด้านนอก
“Code3 จัดการเหตุฉุกเฉินข้างฐานโดยด่วน Code4 กลับไปประจำกลุ่ม และขอสั่งเริ่มต้นปฏิบัติทันทีก่อนที่พวกข้างในจะไหวตัวทัน ทุกกลุ่มเข้าจู่โจมได้!”
เอ็ดเวิร์ดสั่งให้เฮคเตอร์กลับไปประจำกลุ่มแล้วเริ่มต้นจู่โจม และปล่อยด้านนอกให้เป็นหน้าที่ของชาเกลที่เขาเชื่อมั่นว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้
“อ้าว เจอกันอีกแล้วนะครับ น่าเสียดายจังที่คุณพนักงานบริษัทยังมีชีวิตอยู่”
ชาเกลหันไปทักทายคู่ปรับเก่าด้วยสไตล์กวนประสาทแต่สุภาพเสมอเช่นเคย
“แกอีกแล้วสินะ… แต่หนนี้”
ไม่ทันที่คิมจะได้ตอบกลับ ชาเกลก็พุ่งเข้าไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง คิมไหวตัวจนหลบเกือบทันแต่กลับพลาดให้ชาเกลจับโดนที่ขากางเกงไปแล้ว
“ถอดกางเกงออกก็ได้นะครับ ถ้าไม่อยากโดนทางนี้ควบคุม คุณก็รู้ว่าพลังผมทำอะไรกันได้บ้าง หรือถ้ากล้าถอดกางเกงจริงๆ ก็ระวังนะครับ เผื่อต้องถอดข้างในอีกตัว”
แต่ในเมื่อคิมยังไม่ทอด ชาเกลก็อาศัยจังหวะนั้นใช้พลังควบคุมทำให้คิมลอยออกไปไกลจากจุดที่เป็นฐานบัญชาการภาคสนามไป ก่อนจะบินตามไปจัดการต่อด้วยความเร็วสูงที่มากพอกัน
แม้คิมจะพยายามใช้พลังการเร่งอัตราความเร็วของตัวเองที่กำลังลอยให้ช้าลง แต่เพราะรูปแบบพลังที่ใกล้เคียงกันจึงทำให้ต้องวัดกันที่ปริมาณพลังวิญญาณล้วนๆ ซึ่งดูเหมือนไอ้หน้าหล่อนั้นจะมีมันมากกว่าเขา
แม้หัวหน้าหน่วย K-4 จะอยากตามไป แต่เหล่าดิคเคนส์ที่ติดตามเจ้าคนร้ายนั่นมาเริ่มรู้สึกได้ถึงตัวตนของเขา ถึงจะเป็นหัวหน้าหน่วย K-4 ที่ส่วนใหญ่มักจะมีแต่ผู้มีพลังวิญญาณไม่สูงมาก แต่ในระดับหัวหน้าหน่วยนั้นก็แตกต่างกันไป
K-4 Code01 ที่ในตอนนี้มีสภาพเหมือนเกราะวิญญาณเดินได้วิ่งกลับไปแบกร่างของ PG-2 เพื่อส่งกลับเข้าไปให้แพทย์วิญญาณ ก่อนจะกระโดดออกมายืนที่หน้าเครื่องบินซึ่งเป็นฐานทัพ แล้วขยายพลังเกราะวิญญาณครอบเครื่องบิน V-22 Osprey ไว้ทั้งลำเพื่อป้องกันดิคเคนส์ไม่ให้จู่โจมเข้ามา และได้รับความร่วมมือจากคนของหน่วย K-1 ซึ่งเป็นหญิงสาววัยยี่สิบปลายๆ ออกมาช่วยกำจัดดิคเคนส์ต่อไป
กลุ่มทุกกลุ่มเคลื่อนพลกันไปตามเส้นทางที่ศึกษากันไว้ในแผนที่อย่างละเอียด แม้ที่นี่จะมีอาณาเขตรอบรั้วกว้างใหญ่ แต่ตัวคฤหาสน์หลักๆ ก็ไม่ได้กว้างมากขนาดจะทำให้หลงทางกันได้ง่ายๆ
กลุ่ม1 เข้าประชิดไปยังประตูด้านหน้า สมาชิกในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยเฮคเตอร์ หัวหน้าหน่วย K-2 และลูกน้องอีกสองคน และเจ้าหน้าที่จากหน่วย K-1 อีกสองคน
กลุ่ม2 เข้าประชิดที่ประตูด้านข้างสวนหย่อม กลุ่มนี้เคยมีชาเกลเป็นผู้นำกลุ่มแต่แม้จะหายไปทำภารกิจฉุกเฉินก็ยังมีเคนเซย์ที่มีประสบการณ์ในการทำงานมากมาย และยังมี PG-1 ซึ่งเป็นสายพลังพิเศษอยู่อีกคน หัวหน้าหน่วย K-3 ซึ่งไม่ได้คนในหน่วยมาในภารกิตนี้สักคน และสองคนสุดท้ายคือคนจากหน่วย K-2 แม้กำลังคนจะขาดไปหนึ่ง แต่เนื่องจากกลุ่มนี้มีสายพิเศษอยู่สองคนแต่แรกจึงทำให้ดูไม่เสียสมดุลมากนัก
กลุ่ม3 มุ่งเป้าไปยังประตูด้านหลัง เมื่อมองหน้าสมาชิกแล้วแทบจะวางใจได้ว่าไม่น่าจะต้องเป็นห่วงอะไรที่สุด ฟอแกนด์เป็นผู้นำของกลุ่มนี้ และยังมีเซไคหัวหน้าหน่วย K-1 และสมาชิกในหน่วยเดียวกันอีกสี่คนที่เกาะกลุ่มกันมา
“นายว่ามันแปลกๆ มั้ย ที่นี่ดูจะเงียบไปหน่อยนะ”
เซไคเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตโดยรอบแล้วรู้สึกว่าแถวนี้แทบจะไม่มีใครอยู่เลย ปากประตูทางเข้าด้านหลังเป็นส่วนที่มีพุ่มต้นไม้มากมาย แถมยังมีทางเดินเชื่อมติดกับสิ่งปลูกสร้างคล้ายกับโรงงานอีกด้วย
“ใช่แปลกจริงๆ อาจะเป็นไปได้หลายอย่าง พวกมันอาจจะไหวรู้ทันแล้วว่าพวกเราจะมาเลยหลบกันออกไปก่อน ทิ้งไว้แค่พวกเฝ้ายามกระจอกให้ดูเหมือนยังปกติ”
ฟอแกนด์ตอบกลับไปตามที่คิด แน่นอนว่าเขาต้องไม่ประสาทที่จะระแวดระวังโดยรอบไปด้วย
“หรือไม่ก็นี่อาจจะไม่ใช่ฐานใหญ่ของมันจริงๆก็ได้สินะ”
เซไคพูดเสริมขึ้นต่อ ซึ่งฟอแกนด์ก็พยักหน้าอย่างเห็นได้
“หรือไม่แน่นะ...ถึงเราจะใช้เฟย์นะเป็นตัวล่อดูว่าพวกนั้นจะยังต้องการตัวเธอรึเปล่า จนรอให้พวกมันมาจับตัวเฟย์นะไป แต่พอนึกกลับกันว่าถ้าไอ้พวกนั้นมันรู้มากพอที่จะรู้ว่า นักปราบวิญญาณทุกคนมีสัญญาณติดตามตัวจากกระจกแห่งชะตากรรมอยู่แล้ว มันน่าจะรู้อยู่แล้วรึเปล่าว่าพวกเราต้องมา...พวกมันอาจไม่ได้หนี แต่เตรียมแผนรับมือพวกเราไว้แทน...”
ฟอแกนด์หันไปมองหน้าเซไค แม้สายตานั้นจะพยายามจับผิด...แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้อะไรที่น่าสงสัยกลับไป
“พวกมันจะรู้เรื่องนั้นได้ยังไงถ้าไม่ใช่…”
เซไคพูดค้างไว้ ยิ่งเมื่อถูกจ้องขับผิดแบบนั้นแล้วเขาก็ยิ่งรู้ว่าฟอแกนด์หมายถึงอะไร
“ใช่แล้ว ถ้าเป็นอย่างข้อหลังสุด...นั่นก็แปลว่ากองปราบของเราต้องมีสปายแน่นอน”
ฟอแกนด์เน้นย้ำความเข้าใจนั้นของเซไคอีกครั้ง แต่ก็เบาเสียงพอที่จะไม่ทำให้เด็กๆ ในกลุ่มอีกสี่คนที่สำรวจอยู่อีกด้านปากทางเข้าโรงงานได้ยินเรื่องราว
“อ๊ากกก” เสียงอุทานที่ดังขึ้นลั่นหูของเอ็ดเวิร์ดซึ่งควบคุมสายสัญญาณหลักของทุกคนนั้นทำเอาท่านรองของหน่วยเบิกตาโพลงขึ้นอย่างตื่นตระหนก แม้จะไม่มีรายงานรหัสแต่เขาก็จำได้ดีว่านั่นคือเสียงของชาเกล
สามารถติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่ Fictionlog