DC บทที่ 38: เมืองขนนกพริ้ว
เมื่อออกจากนิกาย ซูหยางก็เดินทางไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด ในความทรงจำของเขาที่นั่นมีสถานที่ชื่อเมืองขนนกพริ้ว มีระยะทางเพียงสองวันจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหากเดินไป แต่เมื่อซูหยางใช้พลังฝีมือก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเพื่อไปถึงเมืองขนนกพริ้ว
เมื่อมาถึงเมือง ซูหยางตรงไปที่ทหารยามที่ยืนอยู่บริเวณทางเข้าของเมือง
เมื่อเหล่าทหารยามสังเกตเห็นซูหยางตรงเข้าไปหา พวกเขาต่างหันมองหน้ากันด้วยสายตาแปลกๆ ด้วยความแปลกใจที่เห็นซูหยางที่นี่
ซูหยางสังเกตเห็นสายตาแปลกใจต่อเขาจากพวกทหารยาม เขาจึงถาม “มีปัญหาอะไรรึ”
“เอ๋ อา ไม่..เพียงแต่ค่อนข้างยากที่พวกเราจักเห็นศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากระยะใกล้” บรรดาทหารยามอธิบาย
“อะไรที่ทำให้เจ้ามาที่เมืองขนนกพริ้ววันนี้” ทหารยามอีกคนถาม
“เพียงหาที่พักชั่วครู่ก่อนเดินทางต่อ”
“เช่นนั้นรึ อ้อ ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่โด่งดัง พวกเราจักไม่เก็บค่าผ่านทาง ซึ่งปกติต้องจ่ายกันคนละ 10 เหรียญทองแดง เข้าใจไหม”
“อื้อ” ซูหยางกล่าวขอบคุณก่อนเข้าไปในเมืองอย่างรวดเร็ว
เมื่อซูหยางจากไป บรรดาทหารยามต่างถอนใจด้วยความหดหู่
“อัยยย..นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย...น่าอิจฉานัก ด้วยหน้าตาสุดหล่อเหลา เขาคงสนุกสนานอยู่กับเหล่าสาวสวยตลอดวัน ถ้าข้าได้เป็นศิษย์...”
“พอได้แล้ว ด้วยหน้าตาน่าเกลียดของเจ้า เจ้าคงไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงของคนรับใช้ นับประสาอะไรจะเป็นคนรับใช้”
“เจ้าว่าอะไร เจ้าพูดราวกับว่าเจ้ามีโอกาสที่จะเข้าไปด้วยหน้าสุนัขของเจ้า ส่องกระจกก่อนพูด”
บรรดาทหารยามเริ่มโต้เถียงกัน
–
–
–
ซูหยางเดินเตร็ดเตร่ไปมารอบเมืองที่สะอาดมีชีวิตชีวาด้วยผู้คนที่เดินเข้าออกร้านเรียงรายรอบทาง
ทุกผู้คนล้วนตั้งใจทำงานของตนเอง แต่เมื่อพวกเขาพบเห็นซูหยางปรากฏกาย พวกเขาล้วนจ้องมองซูหยางอย่างตะลึงลาน
นั่นเป็นเพราะว่าวินาทีที่พวกเขาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง พวกเขาไม่อาจเบือนหน้าหนี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการปรากฏกายของเขาล้วนเป็นที่จับตาดุจมณีเปล่งประกายท่ามกลางโคลนตม แม้กระทั่งในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ทุกผู้คนล้วนสวยงามหล่อเหลา รูปร่างหน้าตาของเขายังจัดว่าหายาก
เป็นธรรมดาที่ชายหนุ่มรูปงามมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ย่อมเป็นที่สนใจของผู้คนไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ที่เต็มไปด้วยคนทั่วไปที่ไม่เคยพบปะคนอย่างซูหยางที่รูปร่างหน้าตาเหนือกว่าใคร
ซูหยางคุ้นกับการถูกจ้องมองเพราะว่ามันเป็นดังเช่นเดียวกับเมื่อชีวิตก่อน ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนจะต้องมีการจ้องมองมาทางเขาอยู่เสมอ
ทันใดนั้นหญิงสาวสวยดูอายุประมาณ 18 ปีเดินมาทางเขาด้วยแก้มสีกุหลาบแดง
“อืม...เจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยใช่หรือไม่” เธอถามเขาด้วยเสียงเหนียมอาย
ซูหยางยิ้มและพยักหน้า “เจ้าต้องการอะไรจากข้าหรือ” เขาถามไปแม้จะรู้ถึงจุดประสงค์ของเธอ
เมื่อเห็นรอยยิ้มหล่อเหลาของเขา ก็ยิ่งปรากฏสีแดงบนใบหน้าเธอ
“เจ้าพอมีเวลาบ้างไหมตอนนี้ มีบางอย่างที่ข้าต้องการพูดกับเจ้า..อย่างเป็นส่วนตัว...” เธอพูดด้วยเสียงเอียงอาย ดวงตาเปี่ยมประกายหลงไหล
เมื่อคนผ่านไปมาได้ยินคำร้องขอของเธอ พวกเขาล้วนเกือบปากอ้าค้างคางถึงพื้นเพราะความงงงัน คิดว่าทำไมหญิงสาวจึงทั้งเจ้าเล่ห์และใจกล้าต่อหน้าประชาชน แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกว่าเธอต้องการอะไร แต่แม้คนโง่ก็ควรบอกได้ว่าเธอมีจุดประสงค์อะไร
ถ้าเป็นใครคนอื่นไม่ต้องสงสัยคาใจแม้แต่น้อยว่าต้องตกในอุบายของเธอและตามเธอไป แต่อนิจจาซูหยางเป็นคนที่มีประสบการณ์กว้างขวางดุจจักรวาลในสถานการณ์เช่นนี้
แม้กระทั่งในชีวิตก่อนก็ถือเป็นเรื่องธรรมดามากๆที่สามัญชนเช่นหญิงสาวคนนี้จะเข้าหาผู้ฝึกปราณเสนอตนเองเพื่อแลกกับความช่วยเหลือ ด้วยมันเป็นวิธีที่ง่ายที่จะยกฐานะและความสัมพันธ์ ยิ่งกว่านั้นผู้มีโชคหลายคนอาจจะได้กลายเป็นผู้ฝึกปราณเสียเอง
“ข้าต้องขอโทษด้วยข้าอยู่ในระหว่างการรีบเดินทางไปที่อื่น ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ ทำไมเจ้าไม่บอกข้าเสียตรงนี้เลยว่าเจ้าต้องการอะไร” ซูหยางพูดโดยสีหน้าอารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
หญิงสาวมองเขาด้วยสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เขาเป็นคนของนิกายที่ทำเรื่องลามกทุกวันจนถือเป็นเรื่องปกติ เหตุใดเขาจึงปฏิเสธเธอตั้งแต่ต้น ทำไมไม่พยักหน้าแล้วตามเธอไปด้วยรอยยิ้มดังเช่นที่เธอจินตนาการ
“มิเป็นไร ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอตัว...”
หญิงสาวยืนที่นั่นคล้ายรูปปั้นหินขณะที่ซูหยางเดินจากไปอย่างสง่างามหลงเหลือเพียงกลิ่นดอกไม้หอมกรุ่นไว้บนถนน
เมื่อซูหยางลับหายไปจากสายตาแล้ว ผู้คนผ่านทางต่างพากันทอดถอนใจเสียงดัง
“เพียงเหลือบมองเขาสักครั้งเจ้าสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นคนหัวสูง”
“เขามาจากสถานที่ที่สาวงามโดดเด่นมากมายดาษดื่นราวแมลงวัน เจ้าจักแข่งขันกับเหล่าศิษของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้อย่างไร เด็กน้อย”
เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงผู้คนพูดจาดูถูก เธอหน้าแดงด้วยความอับอาย ไม่อยากอยู่ในสถานที่นั้นอีกต่อไป เธอหันกายแล้ววิ่งหนีไป