บทที่ 39 : ภารกิจเหมืองเก่า (4) – หินกลม
บทที่ 39 : ภารกิจเหมืองเก่า (4) – หินกลม
ในแสงสลัว ภาพของเด็กชายชาวถ้ำสภาพอิดโรยบาดเจ็บค่อยๆ คลานออกจากกองซากศพของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ซึ่งอาจเกี่ยวดองสัมพันธ์ร่วมกันมากกว่านั้น เพียงแต่หากกล่าวออกมาว่าเขาหลบซ่อนอยู่ในกองศพของครอบครัวพี่น้องพ่อแม่ตัวเองมันคงโหดร้ายเกินกว่าจะเล่า
สองนักผจญภัยได้เห็นภาพนั้นต่อหน้าก็หยุดนิ่งอึ้งไปในบรรยากาศเงียบงันกดดัน คนนึงไม่แสดงปฏิกิริยาหรือความเห็นใจใดๆ เพียงแค่หยุดเพื่อสังเกตการณ์เตรียมพร้อมสำหรับเหตุไม่คาดฝัน ส่วนอีกคนตระหนกตกใจจนก้าวขาไม่ออก ไม่แม้แต่จะกล้ากลืนน้ำลายตัวเองกับสิ่งที่เห็น
สำหรับ เอเดล เธออาจเคยมีประสบการณ์ในฐานะนักผจญภัย ได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ มาแล้วหลากรูปแบบ บ้างโหดร้าย บ้างอันตราย บ้างก็น่าสลด แต่สิ่งที่อยู่ต่อหน้านี้ก็ยังทำให้เธอแทบจะทรุดลงคุกเข่าด้วยความเวทนายามที่นึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เด็กคนนี้ต้องเจอตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครมาช่วย ต้องเผชิญความหวาดกลัวเหล่านี้เพียงลำพัง
สาวเจ้ารวบรวมสติแล้วรีบโผเข้าไปยังเด็กคนนั้นทันทีเพื่อดูอาการและทำภารกิจช่วยเหลือ ทว่าเดินไปได้แค่ก้าวเดียวก็ถูกฝ่ามือเย็นเยียบเหมือนคนตายของฮอรัสคว้าจับเอาไว้อย่างแรงราวกับคีมเหล็กหยุดการเคลื่อนไหวไม่ให้เดินต่อ สร้างความไม่พอใจให้แก่เอเดลจนเธอต้องหันกลับมาจ้องหน้าของหุ่นสงครามด้วยสายตาดุกร้าวรุนแรงคล้ายจะต้องการคำตอบว่าเหตุใดฮอรัสถึงต้องห้ามเธอช่วยเด็กคนนั้น
และเป็นตอนนั้นเองที่ฮอรัสตอบกลับออกมาโดยที่ไม่ยอมลดฝ่ามือ ยังจับแขนของเธอเอาไว้และตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้าตลอดเวลา บ่งบอกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงจังเพียงใด
“เสี่ยงเกินไป ผมยอมรับความเสี่ยงที่เกิดจากตัวแปรผิดปกติแบบนี้ไม่ได้” เขากล่าวน้ำเสียงเรียบเฉย ไร้อารมณ์ กระนั้นหากได้เรียนรู้ อยู่ร่วมกับหุ่นสงครามตนนี้มานานมากพอก็สามารถบอกได้ว่ามันแตกต่างจากการพูดเนือยๆ เหมือนทั่วไป แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้อธิบายสิ่งที่เอเดลต้องการ
“พูดบ้าอะไรของนาย! ปล่อยฉัน ไม่เห็นหรอว่าเด็กคนนั้นต้องการความช่วยเหลือ!!” เอเดลตะคอก พร้อมกับพยายามสะบัดแขนตัวเองออกจากมือหนีบของฮอรัสแต่ไม่สามารถ เพราะพละกำลังต่างกันเกินไป มือที่จับอยู่นี้แข็งไม่ต่างอะไรกับตรวนเหล็กไม่มีทางที่แรงเธอจะสู้ไหวเลย
“ผมเห็น... แต่มันแปลกเกินไป สัมผัสของผมตรวจไม่พบเด็กคนนี้เลยตลอดเวลาที่พวกเราเข้ามาในเหมือง มันเพิ่งจะสัมผัสการมีอยู่ของเด็กคนนี้ได้เมื่อครู่นี้เอง... มีความเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นการจงใจ หรือเป็นกับดัก ผมยอมรับความเสี่ยงขนาดนี้ไม่ได้ ความผิดพลาดของตัวแปรในภารกิจคือสัญญาณของความล้มเหลว” ฮอรัสใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองอีกฝ่ายอธิบายสิ่งที่เขาคิด น้ำเสียงไม่แตกต่างอะไรจากปกติ ทว่าเอเดลฟังแล้วกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกแรงกดดันบางอย่างสาดซัดเข้ามาในอก และพร้อมกันเธอก็รู้สึกได้ว่ามือที่จับล็อกอยู่นั้นจู่ๆ ก็เริ่มแน่นขึ้นกว่าเก่าจนเริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา
สำหรับฮอรัส ถึงเขาจะถูกสร้างให้แตกต่างจากตุ๊กตาสงครามตนอื่นๆ แต่ก็ถูกใช้งานและฝึกฝนเป็นคำสั่งฝังหัวมาไม่ต่างกัน เขาถูกสร้างให้รบและทำภารกิจในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดัน แบกรับสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจ ทุกๆ ภารกิจสำหรับเขามันคือการแบกรับคำสั่งที่อาจส่งผลต่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ในยุคสงคราม ไม่อาจหลีกเลี่ยงและไม่สามารถยอมรับความผิดพลาด
หากเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นระหว่างสมรภูมิ ตุ๊กตาสงครามทุกตนจะเลือกเป้าหมายของภารกิจหลักเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ไม่สำคัญว่าเหตุและผลคืออะไร มันไม่มีความเห็นใจในสงคราม ถ้ามีเด็กสักคนหลงเข้ามากลางสนามรบจะไม่มีหุ่นตนใดหรือทหารคนไหนเหลียวแลจนกว่าการฆ่าฟันกันจะจบลง เว้นแต่ถ้าเด็กคนที่ว่าแสดงท่าที่เป็นภัยหรือขัดขวางเป็นปัจจัยเสี่ยงขึ้นมาก็จะถูกกำจัดทิ้งทันทีอย่างเลือดเย็นโดยไม่มีข้อแม้ มันคือความโหดร้ายของสงครามแห่งเลือด เหล็กและไฟที่ไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงใดๆ ได้ ด้วยเดิมพันสูงเป็นความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์
และถึงแม้ว่าในยุคใหม่แห่งนักผจญภัยนี้เขาจะไม่หลงเหลือหน้าที่และภารกิจใดๆ แบบนั้นแล้ว แต่ยังไงระบบความคิดที่ถูกปลูกขึ้นมานี้ก็ไม่อาจลบออกไปได้ง่ายๆ ฮอรัสมองว่าภารกิจหลักของเขาคือการปกป้องเอเดล เช่นนั้นปัจจัยผิดปกติที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาอย่างผู้รอดชีวิตจึงนับเป็นความเสี่ยง
ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่เสียงแหบแห้งอิดโรยดังขึ้นมาจากร่างของเด็กชายชาวถ้ำซึ่งพยายามตะเกียกตะกายคลานเข้ามาหาทั้งสองด้วยสภาพน่าเวทนา
“ไม่ ไม่ไม่.. อย่าปล่อยผมไว้ ได้โปรด ผมมีวิชาพรางกาย ผมตั้งใจซ่อนตัวเอง.. อย่าทิ้งผมไว้ที่นี่ ผมขอร้อง...” เขาส่งเสียงอ้อนวอน
และภายใต้แสงสลัวๆ ของตะเกียงคริสตัลทำให้เอเดลมองเห็นว่าดวงตาของเด็กคนนี้จับแข็ง ไม่มีจุดสังเกตเล็งภาพใดเป็นเป็นพิเศษ ประกอบกับท่าทางที่คลานเข้ามาก็ยังพยายามใช้มือคลำนำหน้า เป็นการบ่งบอกว่าดวงตาคู่นั้นอาจจะมองไม่เห็นภาพอะไรอีกแล้ว เด็กคนนี้ตาบอดไม่ตอบสนองต่อการมองเห็น
เอเดลเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่กัดฟันแน่นด้วยความสงสาร เพราะเธอมองไม่เห็นร่องรอยบาดแผลบนดวงตา หมายความว่าถ้าเด็กชายไม่ได้ตาบอดมานานแล้ว บางทีมันอาจเข้าตำราวิชาแพทย์ด้านจิตใจที่เธอเคยอ่านจากบันทึกในห้องสมุดของไอน์ ว่าหลายครั้งความบอบช้ำ บาดเจ็บทางจิตใจก็ส่งผลต่ออวัยวะภายนอก และความสามารถอย่างแรกๆ ที่จะสูญเสียไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเครียดและสภาวะที่เลวร้ายถึงขีดสุดก็คือการมองเห็นนี่เอง
ถึงแม้ว่าเธอจะได้ฟังเหตุผลของฮอรัสแล้ว แต่ในฐานะนักผจญภัยเธอไม่อาจทำอย่างที่หุ่นสงครามตัดสินใจได้ เธอไม่ใช่ตุ๊กตาไร้จิตใจที่จะปล่อยให้ใครตายต่อหน้าต่อตาได้ง่ายๆ เอเดลจึงหันกลับไปใช้ดวงตาจ้องหน้าฮอรัสอีกครั้ง และคราวนี้มันก็ส่งความกดดันแบบเดียวกันกับที่ฮอรัสเคยใช้กลับไป พร้อมๆ กับประกายสีขาวของไอความเย็นจากพลังเวทในตัวที่หลั่งไหลออกมาทางหางตาโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“ปล่อยฉัน... เดี๋ยวนี้” เอเดลส่งเสียงเรียบๆ แต่ทุ้มลึกในลำคอ ระหว่างที่จิตวิญญาณเหมันต์ที่เชื่อมต่อจิตวิญญาณของเธอเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ
ท่อนแขนที่ถูกฮอรัสจับล๊อกเอาไว้ก็พลันเริ่มมีไอเย็นแผ่ซ่าน ลดอุณหภูมิภายในโถงถ้ำที่ต่ำอยู่แล้วให้ต่ำลงอีก ถึงขนาดว่าแม้แต่ฝ่ามือของฮอรัสเองก็ยังจับผลึกน้ำค้างแข็งเป็นเกล็ดหิมะ ก่อนที่ส่วนปกคลุมภายนอกแทนเนื้อหนังของเขาจะเริ่มส่งเสียงเหมือนไม้ปริดัง ‘กร๊อบแกร๊บ’ ออกมาเบาๆ ยามที่มันหดตัวบดกันเองอยู่ภายใน
ฉับพลันเป็นชั่วขณะนั้นเองที่เอเดลได้เห็นการแสดงออกอย่างปุถุชน เฉกเช่นมนุษย์ผ่านการกระทำของฮอรัส เมื่อตุ๊กตาสงครามซึ่งไม่น่าจะเข้าใจความหมายของนัยทางอารมณ์เริ่มส่ายหน้าของตัวเองเบาๆ แล้วปล่อยมือทำตามคำสั่งของสาวเจ้าราวกับมันคือความรู้สึกฝืนใจ จนเธอเองยังหูแว่วเหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยซ้ำไป หากว่าฮอรัสจำเป็นต้องหายใจละก็
ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ครึ่งเอลฟ์สาวให้ความสำคัญเท่าใดนัก เธอเพียงละสายตากร้าวจากหุ่นสงครามแล้วพุ่งตรงไปยังร่างของเด็กชายชาวถ้ำ นั่งคุกเข่าลงใช้มือประคองร่างของเขาเอาไว้บนตักอย่างแผ่วเบาโดยไม่ยุ่มย่ามหรือเปลี่ยนแปลงท่าทางของอีกฝ่ายมากนัก แค่ตรวจเช็คร่องรอยบาดเจ็บใหญ่ๆ ภายนอกด้วยสายตาให้แน่ใจว่าเธอจะช่วย ไม่ใช่ทำให้เขาเจ็บหนักกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัวพวกเราอยู่นี่แล้ว... พวกเรามาช่วยเธอแล้ว” เอเดลกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เป็นการปลอบประโลมโดยไม่สนใจฮอรัสซึ่งเดินเข้ามาหยุดสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ห่างไปแค่เมตรเดียว
“ผะ... ผะ ผม.. ฮึก..” เด็กชายพยายามเอ่ยอะไรบางอย่างแต่สิ่งที่ออกมากลับกลายเป็นเสียงสะอึกสะอื่น ฟังไม่ได้ศัพท์พร้อมน้ำตาที่เริ่มหลั่งไหลออกมาไม่หยุดช่วยชะล้างคราบเลือดบนใบหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังสามารถร้องขอความช่วยเหลือและตะเกียกตะกายออกมาได้ด้วยตัวเอง เอเดลเห็นเช่นนั้นก็รู้อยู่แล้ว เพราะไม่ว่าใครก็มักจะแสดงออกคล้ายๆ กับเด็กคนนี้ทั้งนั้น
คนเราหลายครั้งก็สามารถทำตัวเข้มแข็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อผ่านพ้นวิกฤติไม่ต้องปกป้องตัวเองอีกต่อไป คนๆ เดียวกันนั้นก็สามารถแสดงด้านที่อ่อนแอและต้องการที่พึ่งมากที่สุดได้ด้วยเช่นกัน เอเดลได้เห็นคนที่ประสบเหตุแสดงอาการเช่นนี้มาแล้วมากมาย แต่อย่างไรเธอก็ยอมรับว่าไม่มีครั้งไหนที่น่าสะเทือนใจได้เท่านี้
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้วนะ เธอไม่ต้องพูดก็ได้จ้ะ... มันจบแล้ว เธอเข้มแข็งมาก” เอเดลใช้ฝ่ามือลูกศีรษะของเด็กชายชาวถ้ำเบาๆ แล้วกุมมือของเขาเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างก็ควานหาโพชั่นในกระเป๋าคาดเอวเพื่อเอามาใช้รักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นให้กับเด็กชาย
และมันอาจจะเป็นโชคดีด้วยอย่างนึง ที่ก่อนหน้าจะออกภารกิจคราวนี้ เรื่องล้อเล่นที่เธอเพียงตั้งใจจะหยอกแกล้งฮอรัสให้ขนของมาเกินความจำเป็นนั้นทำให้เขานำโพชันติดมาด้วยทั้งกล่อง เพราะในนั้นไม่ได้มีแต่ยารักษาอาการบาดเจ็บทั่วไปเพียงอย่างเดียวแต่ยังมียาจิปาถะที่เอลีอาปรุงเอาไว้อีกหลากหลาย รวมไปถึงยาที่ช่วยให้ผ่อนคลายและลดความเครียดได้ กระทั่งยากล่อมประสาทก็ยังมี
เธอจัดการป้อนยาพวกนั้นให้กับเด็กชายผู้รอดชีวิตช้าๆ แม้จะมีท่าทางชัดขืนบ้างเล็กน้อยแต่มันก็เป็นเพียงความหวาดกลัวเท่านั้น เพียงไม่นานอาการบาดเจ็บภายนอกที่ก็เริ่มดีขึ้นทีละน้อย พร้อมๆ กับสภาพจิตใจซึ่งดูเหมือนจะผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
ฝั่งฮอรัสที่ได้เห็นท่าทางของเอเดลต่อเด็กชายเช่นนั้นถึงจะไม่ได้วางใจเต็มร้อย ยังเตรียมพร้อมและสัมผัสความเคลื่อนไหวภายในถ้ำตลอดเวลา แต่ก็ถือว่าผ่อนลง เพราะด้วยเหตุผลบางอย่างมันทำให้เขาทบทวนย้อนกลับความทรงจำของตัวเองไปถึงวันที่ได้พบกับเอลีอาครั้งแรก รวมทั้งสิ่งที่เธอได้พูดกับเขาเอาไว้ว่าการจะช่วยใครสักคนไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล
“พะ พวกคุณ... พวกคุณเป็นใคร ทำไมผมมองไม่เห็น” เด็กชายพอได้รับยา เริ่มตั้งสติได้ก็พยายามเอ่ยปากถาม
พลางใช้มือปัดป่ายไปมาด้วยยังไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองมีสภาวะตาบอดชั่วคราว และแม้แต่เอเดลก็ยังไม่แน่ใจว่าต่อให้จิตใจได้รับการเยียวยาแล้วมันจะหายเป็นปกติได้หรือไม่ เธอจึงต้องคว้ามือของเด็กชายไว้ไม่ให้มันกระแทกจนบาดเจ็บเพิ่มอีก
“ใจเย็นๆ ไม่เป็นไรจ้ะ พวกเราเป็นนักผจญภัย เรามาช่วยเธอแล้วนะ” เอเดลใช้เสียงนุ่มนวลอ่อนโยนตอบกลับ ฟังคล้ายเสียงของผู้เป็นแม่ราวกับถอดพิมพ์กันมา
เป็นน้ำเสียงแบบที่ฮอรัสไม่เคยได้ยินจากปากของหญิงสาวนิสัยแก่นห้าวคนนี้มาก่อน แต่เมื่อเธอใช้มัน ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาจะนึกถึงเอลฟ์สาวเอลีอาขึ้นมา เพราะมันคือน้ำเสียงแบบนี้เองที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกปลอดภัยได้จริงๆ ไม่เว้นแม้แต่กับตุ๊กตาสงคราม
“เธอบอกฉันได้มั้ยจ๊ะว่าเธอชื่ออะไร” เอเดลเอ่ยเบาๆ เป็นคำถามแรก มันอาจฟังดูเรียบง่ายแต่สำหรับนักผจญภัยประสบการณ์สูงซึ่งผ่านหลักสูตรการฝึกมาแล้วเกือบครบทุกรูปแบบ คำถามนี้ลึกซึ้งกว่านั้นเพราะมันสามารถใช้ประเมินความพร้อมและสภาพจิตใจเบื้องต้นได้
“ชะ ชื่อ... ผมชื่อคารัม...มาตา คารัม” เด็กชายนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วตอบออกมาอย่างตะกุกตะกัก ไม่ต่อเนื่อง
เป็นสัญญาณที่แสดงถึงความไม่มั่นคงในจิตใจ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังจำชื่อตัวเองได้ จับใจความตอบคำถามได้ ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเอเดล ถึงแม้ชื่อที่ว่านั้นจะไม่ใช่ภาษาที่เธอคุ้นหูเลยแม้แต่น้อยก็ตาม ด้วยคิดว่ามันคงจะเป็นภาษาของชาวถ้ำ
แต่โดยที่เธอไม่ทันสังเกต มันคือตอนนั้นเองที่ฮอรัสเริ่มเอียงคอมองเด็กชาย คล้ายว่าเขาเองก็กำลังสงสัยถึงที่มาของชื่อประหลาดๆ นั้นเช่นกัน
“งั้นฉันเรียกเธอว่าคารัมนะ” เอเดลเอ่ย ก่อนที่เด็กชายผู้มีนามอันแปลกประหลาดไม่เป็นภาษาจะพยักหน้าเบาๆ เป็นการแสดงออกแทนคำตอบ ครึ่งเอลฟ์สาวจึงประเมินว่าเด็กชายในตอนนี้น่าจะมีสติพอจะสามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนกว่านี้ได้ “คารัม... เธอจำได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ผะ ผม... ผมไม่รู้ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เด็กชายเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกำลังจะร่ำไห้ขึ้นมาอีกครั้ง จนเอเดลต้องแอบถอนใจเพราะดูท่าแล้วผลกระทบทางจิตใจอาจจะยังส่งผลทำให้เกิดความสับสน ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ถึงมียากล่อมประสาทปรับสมดุลช่วยแล้วก็ตาม ยังไงก็คงต้องการเวลาเยียวยาสภาพจิตใจมากกว่านี้
ทว่าทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่เอเดลคิดเท่านั้น เมื่อจู่ๆ เด็กชายผู้มีนามว่าคารัมก็แบมือสองข้างของตัวเองออกมา เผยร่องรอยประหลาดบางอย่างดูคล้ายรอยสักรูปวงกลมสีดำ และที่มือข้างขวาของเขาก็ปรากฏเป็นลูกหินสีแดงทรงกลมผิวไม่เรียบขนาดเล็กเท่ากับดวงตาของชาวถ้ำซึ่งถูกกำเอาไว้มาตั้งแต่แรก
แต่สิ่งที่ทำให้เอเดลถึงกับต้องหรี่ตาจ้องคือเศษชิ้นเนื้อที่เปรอะเปื้อนเพราะมันดูคล้ายว่าจะเป็นชิ้นส่วนของเครื่องในที่น่าจะถูกอสุรกายต้นเรื่องกินไป
“ใช่... ผมจำได้แล้ว.. มันมาจากอีกด้านนึงของเหมืองที่ถล่ม.... พวกเราไม่ควรขุดเข้าไป... พวกเราไม่ควรปล่อยมันออกมา... ปีศาจนั่น มันฆ่าทุกคน ฆ่าทุกคนตายหมดเลย...” คารัมเริ่มเล่าเรื่องราวที่ฟังดูไม่ได้ใจความออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดผวา ปนสะอึกสะอื้น ก่อนที่สองนักผจญภัยจะหันหน้ามาสบตาพร้อมกัน
สามารถติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่ Fictionlog