บทที่ 21 ผู้รอบรู้ทุกสรรพสิ่ง
บทที่ 21 ผู้รอบรู้ทุกสรรพสิ่ง
หวังโหรวฮวามองบุตรชายที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมพลางกล่าวว่า “เจ้าคงรู้อยู่แล้วกระมัง? มิฉะนั้นเจ้าจะลงแรงสืบเรื่องของซย่าส่งเสียมากมายเพื่ออะไร?”
เถี่ยซินหยวนหัวเราะแล้วตอบว่า “ท่านแม่ยังจำวันที่ท่านอุ้มข้าเดินผ่านบ้านของซย่าส่งตอนสามขวบได้ไหม? วันนั้นท่านน้ำตาไหลรินดุจสายฝน จนหมวกหัวเสือของข้าต้องเปียกชื้นเพราะน้ำตาของท่าน
นับจากวันนั้นข้าก็รู้สึกสนใจเรื่องราวในอดีตของท่าน จึงทำการบ้านหาความรู้เพิ่มเติมสักหน่อย ข้าพบว่าตัวเองยังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด จึงคิดจะไปสืบดูที่บ้านซย่าส่งว่าข้างในมีปีศาจร้ายอะไรอยู่กันแน่ ถึงทำให้ท่านแม่ร้องไห้ได้”
ชีวิตของเด็กเล็กวันๆ หนึ่งน่าเบื่อหน่ายเหลือแสน ฉะนั้นเถี่ยซินหยวนจึงมีเวลามากพอที่จะจดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่เขาสนใจ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมารดาตัวเอง ไม่มีเหตุใดที่จะไม่สืบความให้กระจ่างชัด
คนที่คอยช่วยเหลือเขาก็คือถงจื่อ แต่ว่าเจ้านี่เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องใดไม่ได้เงินล้วนไม่ยอมทำทั้งสิ้น เถี่ยซินหยวนต้องยอมเสียเงินจากซองแดงอันหนาเตอะไปมากกว่าครึ่ง เพื่อเป็นค่าจ้างให้ถงจื่อไปสืบข่าวเรื่องซย่าส่งในเขตนั้นเขตนี้ของตลาดเมืองหลวง
“เรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าเป็นเด็กอย่ายุ่งเลย อย่างไรขอแค่เจ้าจำเอาไว้ว่า ซย่าส่งไม่ใช่คนดีอะไรก็พอแล้ว”
เถี่ยซินหยวนหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งออกมาจากกล่องไม้ใบเล็กๆ หลังจากพลิกดูหลายหน้าก็อ่านออกมาดังๆ ว่า “ซย่าเฉิงฮ่าวบิดาของซย่าส่ง วัยหนุ่มเคยรับราชการในวังหลวง เช้าตรู่ของวันหนึ่งในฤดูหนาว ระหว่างซย่าเฉิงฮ่าวเดินทางไปประชุมเช้า บังเอิญพบทารกชายคนหนึ่ง ทารกน้อยนั้น ‘ผ้าห่อตัวแพรลายปัก เสียบปิ่นทองคำไว้สองอัน’
ซย่าเฉิงฮ่าวไร้บุตร จึงนำกลับไปเลี้ยงดู บุตรชายคนนี้ก็คือซย่าส่ง
หลังรับเลี้ยงซย่าส่งได้ไม่นาน ซย่าเฉิงฮ่าวก็พลีชีพขณะทำศึกยามราตรีกับชาวชี่ตัน
ข้าขอบังอาจคาดเดาสักนิด ซย่าส่งคนนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคงเป็นบุตรนอกสมรส อีกทั้งคงเป็นบุตรนอกสมรสของครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่ง
เพียงแต่เขาไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับท่านแม่ อย่างแรก อายุของท่านกับเขาไม่สอดคล้องกัน อย่างที่สอง คนผู้นี้เป็นขุนนางอยู่นอกพื้นที่มายาวนาน ข้าเคยคิดคำนวณดูแล้ว เมื่อท่านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เขายังรับตำแหน่งข้าหลวงอยู่ที่เมืองหงโจว
ซย่าส่งอาศัยบทกวีซือ[1]สร้างเนื้อสร้างตัว แล้วยังถวายบทกวีฉือ[2]จนได้รับความโปรดปรานจากอดีตฮ่องเต้
ในปีนั้นซย่าส่งยังเป็นองครักษ์ธรรมดาคนหนึ่ง เขาถือบทกวีที่แต่งขึ้นมาหมอบกราบเบื้องหน้าม้าของอัครเสนาบดีหลี่ฮั่ง[3]ฉือบทนั้นมีสองประโยคกล่าวว่า ‘ขุนเขาสูงซับซ้อนเรียงราย ลำธารใสแยกสายไหลริน’[4]
หลี่ฮั่งชื่นชมบทกวีของเขายิ่งนัก จึงนำไปถวายแด่อดีตฮ่องเต้ อีกทั้งสาธยายว่าคนผู้นี้เป็นทายาทของวีรชนผู้พลีชีพ อดีตฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตา มอบตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอตันหยางให้ซย่าส่ง
ซย่าส่งก็นับว่ามีมานะบากบั่น ปีที่จัดสอบครั้งใหญ่ ในที่สุดก็สอบผ่านระดับสั่วทิง[5]
ท่านดูสิ ข้ารู้เรื่องของซย่าส่งไม่น้อยเลย ในเล่มนี้บันทึกไว้กระทั่งซย่าส่งเคยรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ ผู้คุมความปลอดภัยทางทหาร ผู้บัญชาการปราบกบฏแห่งส่านซี ยกเว้นตำแหน่งผู้คุมเสบียงกองทัพแห่งเหอตงเพียงอย่างเดียวที่ไม่ได้บันทึกไว้ แต่ตอนที่เขาอธิบายกับข้าว่าเหตุใดถึงต้องรับโทษ กลับจงใจเอ่ยชื่อตำแหน่งผู้คุมเสบียงกองทัพออกมา ข้าเกรงว่าคนผู้นี้คงอยากปัดความรับผิดชอบไปให้เจ้าของตำแหน่งตัวจริงเสียมากกว่า
หรือบางทีสิ่งที่เขากระทำในจวนร้างของจ้าวผู่ทั้งหมดจะเป็นกลลวง ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่ายังมีใครหลงกลอีกบ้าง แต่อย่างไรข้าก็พลาดพลั้งมาครั้งหนึ่งแล้ว”
หวังโหรวฮวากัดฟันสะกดอารมณ์พลางเอ่ยว่า “เจ้าหยวน อย่าเชื่อคำพูดใดของเขาแม้แต่ประโยคเดียว และอย่าเชื่อสิ่งใดที่เขาทำลงไปทั้งนั้น แต่ไหนแต่ไรวาจาของคนผู้นี้ล้วนมีแต่คำโกหกหลอกลวง ไม่ว่าใครก็ตามที่ฟังวาจาเหลวไหลของเขาจะต้องเคราะห์ร้ายกันหมด”
“แต่ความรู้ความสามารถคนผู้นี้เป็นของจริงกระมัง?”
“จริงแท้แน่นอน มิฉะนั้นก็คงไม่อาจหลอกลวงผู้อื่นสำเร็จมานักต่อนักหรอก”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว สิ่งที่ข้าต้องการในเวลานี้ก็คืออาจารย์ดีๆ สักคน ส่วนความประพฤติและคุณธรรมจะเป็นเช่นไร ข้าไม่ขอออกความเห็นทั้งสิ้น เพราะข้าเชื่อว่าเติบโตข้างกายจิ้งจอกถึงจะเฉลียวฉลาด ติดตามด้านหลังหมาป่าถึงจะมีเนื้อกิน หรือเติบโตข้างกายวัวนา วันหน้าคงมีแต่ต้องไถพรวนที่นาให้เดินง่ายราบรื่นอย่างเดียว
ข้าสนใจเรื่องราวคนผู้นี้มาก อยากจะรู้เหลือเกินว่าเขาทำเช่นไรกันแน่ถึงได้พลิกชีวิตตัวเอง จากบุตรนอกสมรสคนหนึ่งกลายเป็นขุนนางระดับสูงของต้าซ่งในเวลาอันสั้น สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับอนาคตของข้ามากทีเดียว”
“แม่กลัวว่าเจ้าจะเสียเปรียบเขาน่ะสิ ไม่เคยมีใครเอาเปรียบซย่าส่งได้มาก่อนเลย”
เถี่ยซินหยวนเดินมาประชิดแผ่นหลังมารดา เขายื่นมือออกไปกอดนางเอาไว้แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “สมบัติของบ้านเราก็มีแค่ห่อผ้าห่อเดียวเท่านั้น ถ้าหากวันใดเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าพาท่านแม่กับเจ้าจิ้งจอกหนีไปให้ไกลก็ใช้ได้แล้ว
พวกเรามีฝีมือเสียอย่าง ไม่ว่าไปอยู่ที่ใดก็เริ่มต้นตั้งตัวใหม่ได้เสมอ”
หวังโหรวฮวาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหยวน เจ้าไม่เหมือนเด็กทั่วไปสักนิด ตั้งแต่เจ้ายังเล็กแม่ก็พบว่าเจ้ามีความคิดเป็นของตัวเอง กระทั่งความรู้ที่เจ้ามีแม่ก็เทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อเจ้าตัดสินแล้วจงทำตามต้องการเถอะ แม่จะคอยช่วยเจ้าดูทิศทางลมเอง
ส่วนเรื่องในอดีตแม่ไม่อยากจะพูดถึงมันสักเท่าไรหรอก เรื่องนี้พัวพันถึงความลับส่วนตัวของใครหลายคน และแม่ก็คาดหวังเหลือเกินว่า หากชีวิตในชาตินี้เริ่มต้นเมื่อพ่อของลูกดึงร่างแม่ขึ้นมาจากน้ำได้คงจะดี”
เจ้าจิ้งจอกทนเห็นหวังโหรวฮวากับเถี่ยซินหยวนแสดงความผูกพันรักใคร่กันไม่ได้ มันรู้สึกไม่พอใจมากที่โดนทั้งสองคนเมินเฉยใส่ จึงเดินเข้ามาหาหวังโหรวฮวา ก่อนจะวางศีรษะน้อยๆ ลงบนหัวเข่าของนาง...
หวังโหรวฮวาลูบศีรษะของเจ้าจิ้งจอกอย่างเป็นสุขใจ เวลานี้นางรู้สึกว่าตนเป็นผู้มีความสุขที่สุดในใต้หล้า
ต้นสาลี่หน้าบ้านตระกูลเถี่ยสูงกว่าเดิมมาก ส่วนผลสาลี่ที่แตกออกมาบนกิ่งก้านต้นกล้าใหม่นี้ผิวขรุขระน่าเกลียด อีกทั้งรสชาติไม่อร่อยเลยแม้แต่น้อย กินเข้าไปแต่ละคำล้วนหยาบระคายลิ้น ดังนั้นเถี่ยซินหยวนจึงไม่เคยใส่ใจต้นสาลี่หน้าบ้านสักเท่าใด
มารดายังไปที่ร้านทังปิ่งพี่ชีเหมือนเช่นเคย นางเป็นคนที่ว่างงานไม่ได้เลยจริงๆ
การนอนเอนกายอยู่บนหลังคา เฝ้ามองปุยเมฆสีขาวล่องลอยผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง นับเป็นความเพลิดเพลินใจอย่างหนึ่ง
ใครที่ชื่นชอบดวงดาวต่างเพลิดเพลินไปกับฟ้าสีครามด้วยกันทั้งนั้น แน่นอนว่าถงจื่อไม่รู้สึกดีอะไรกับท้องฟ้าใสกระจ่างเช่นนี้ ร่างกายของเขามักจะเปรอะเปื้อนจนเป็นสีดำปิ๊ดปี๋ ต่อให้อาบน้ำสะอาดสะอ้านแล้ว ก็ยังมองเห็นคราบสีดำเป็นจุดๆ ตามรอยย่นของผิวหนังบนตัวเขาได้
นี่เป็นร่องรอยของชีวิตที่หลงเหลือเอาไว้บนร่างเขา
ในวันนี้เขาเป็นบุตรชายที่สืบทอดกิจการของบิดา จึงมีงานให้สะสางมากมายล้นมือ กำลังหลักของโรงพิมพ์หนังสือส่วนใหญ่ก็เป็นเขานี่เอง
แม้ถงจื่อในวัยสิบสี่ปีจะมีร่ายกายแข็งแรงทรงพลัง แต่ว่าการใช้แรงงานแบกรับน้ำหนักมากเกินขีดจำกัดในแต่ละวันทำให้ร่างกายที่ยังไม่ทันเติบโตเต็มที่หมดหนทางจะรับได้อีก ความสูงของเขาดูเหมือนจะคงที่เสียแล้ว
ร่างกายไม่มีพัฒนาการในแนวตั้ง แต่กลับมีพัฒนาการในแนวนอนแทน
เถี่ยซินหยวนเป็นกังวลมากทีเดียว ไม่แน่ว่าต้องมีสักวันที่เจ้าหมอนี่กลายร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยม
บิดาของถงจื่อรู้จักตัวอักษรเป็นอย่างดีจริงๆ เรื่องนี้เถี่ยซินหยวนยอมรับจากใจ เหล่าถงป่านสามารถคลำและแยกแยะตัวอักษรเรียงพิมพ์ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนได้เสียด้วยซ้ำ เหมือนกับคนในโลกอนาคตที่ใช้มือคลำไพ่นกกระจอก[6]ไม่มีผิด
เหตุที่บอกว่าพวกเขารู้จักตัวอักษรดีนัก ก็เพราะว่าพวกเขารู้จักรูปร่างลักษณะของตัวอักษร ส่วนตัวอักษรที่มีความซับซ้อนกว่านั้น พวกเขาจะไม่ทราบเสียงอ่านและความหมายของมัน
ความสามารถระดับนี้เป็นข้อได้เปรียบของผู้ที่มีกิจการโรงพิมพ์หนังสือ มีเพียงคนกลุ่มนี้ถึงจะมีโอกาสรับงานที่ให้ค่าจ้างสูง เนื่องจากพิมพ์ปริมาณมากและค่อนข้างเป็นความลับ
ในดินแดนต้าซ่งสำนักความคิดหลายแห่งกำลังประชันภูมิปัญญาของตน แนวคิดทางปรัชญาผุดขึ้นมามากมายไม่หยุดหย่อน มองจากภายนอกแล้วช่วงเวลานี้พวกเขาดูเป็นมิตรและปรองดองกันดี แต่เถี่ยซินหยวนทราบดีว่าอีกหลายสิบปีข้างหน้า บรรยากาศสงบสุขเช่นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นสมรภูมิการต่อสู้อันดุเดือด ไม่เพียงแค่ทางความคิดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการปะทะกันทางร่างกายด้วย
ถงจื่อนำหนังสือแนวคิดหลี่เสวีย[7]ของโจวตุนอี๋[8]มาให้เถี่ยซินหยวนเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเล่มที่โรงพิมพ์บ้านเขาเพิ่งจะพิมพ์เสร็จใหม่ๆ เนื่องจากรู้ดีว่าเถี่ยซินหยวนชอบอ่านหนังสือ เขาจึงรวบรวมหน้าที่พิมพ์แล้วขาดวิ่นเล็กน้อยส่วนหนึ่งมาเข้าเล่มให้
“หอมใช่ไหมเล่า บ้านตระกูลอิ้นส่งเครื่องหอมรมควันมาให้ ข้านำหนังสือทั้งหมดใส่ลงในกล่องที่ปิดสนิททุกด้านใช้เครื่องหอมรมควันนานถึงยี่สิบชั่วยาม เนื้อกระดาษของหนังสือเล่มนี้ยังใช้กระดาษเปลือกหม่อนคุณภาพดีด้วย”
ถงจื่อเห็นว่าเถี่ยซินหยวนหยิบหนังสือขึ้นแนบจมูก เขาจึงยื่นมือคว้าหนังสือเล่มนั้นมา ใช้นิ้วมือหยาบกระด้างของตัวเองพลิกเปิดหน้ากระดาษไปมาส่งเสียงดัง ‘พรึ่บ’ เขาไม่สนใจผลงานของโจวตุนอี๋อะไรนั่น สิ่งที่เขาสนใจก็แค่กลิ่นหอมและวัตถุดิบชั้นเลิศที่ใช้ทำหนังสือเล่มนี้ต่างหาก
“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าเก็บไว้ในใจมานานแล้ว อยากถามเจ้ามาตลอดเลยว่า ทำไมเจ้าถึงชอบกินเนื้อหัวหมูมากถึงเพียงนี้ ไม่คิดว่าซี่โครงหมู เนื้อหมู กีบเท้าหมูน่าอร่อยกว่าเนื้อหัวหมูตั้งมากมายหรือไร?”
ถงจื่อมองเถี่ยซินหยวนด้วยความประหลาดใจแล้วเอ่ยว่า “เจ้าโง่รึ ซี่โครงหมู เนื้อหมู กีบเท้าหมูของบ้านเจ้าเป็นของขายราคาแพงๆ ทั้งนั้น มีแต่เนื้อส่วนหัวหมูที่ราคาถูกกว่าอย่างอื่น พวกเราจะเอาของมีราคาจากบ้านเจ้าได้อย่างไร?
ก็เหมือนที่ข้าเลือกหนังสือให้เจ้านั่นแหละ ข้าเลือกเล่มที่คุณภาพชั้นรองที่สุด เล่มที่คุณภาพดีต้องเอาไปขายแลกเงิน พวกเราต่างเป็นครอบครัวที่ทำการค้า จะมาทำใจกว้างไม่เห็นค่าเงินทองไม่ได้หรอก”
เมื่อได้ยินประโยคนี้เถี่ยซินหยวนหมดวาจาจะโต้ตอบ ทำเพียงแค่ผลักเนื้อหัวหมูห่อใบบัวไปข้างกายคนตรงหน้า หวังว่าเด็กหนุ่มจะได้กินมากกว่าเดิมสักหน่อย ทุกวันเมื่อพบหน้ากันและได้เนื้อกินสักเล็กน้อย สำหรับถงจื่อคงเป็นความสุขอย่างล้นเหลือแล้ว
ซย่าส่งไม่ยอมกินเนื้อส่วนหัวหมู คนผู้นี้จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารการกินมากทีเดียว แม้จะเป็นเพียงโจ๊กข้าวฟ่างธรรมดาชามหนึ่ง เขาก็พิถีพิถันกับเรื่องความเหนียวหนึบ ความอุ่นร้อน ความเนียนนุ่มของข้าว รวมถึงเคี่ยวจนมีน้ำมันซึมออกมาหรือไม่อย่างยิ่ง
หลังจากเขายกชามขึ้นพินิจดูโจ๊กข้าวฟ่างที่เถี่ยซินหยวนนำมาให้ ก็หาเรื่องติจุดที่ไม่เหมาะสมได้เจ็ดแปดเรื่องแล้ว แต่เมื่อเห็นดวงตาของเถี่ยซินหยวนคล้ายจะมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา ถึงได้ฝืนใจยอมยกชามโจ๊กขึ้นลิ้มรสคำหนึ่ง
“เจ้าหนู มาแสดงสีหน้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ปีนั้นข้ายอมคุกเข่าตรงหน้าม้าของอัครเสนาบดีหลี่ เพื่อให้บทกวีของตัวเองได้เข้าเฝ้าโอรสสวรรค์เชียวนะ จะบอกอะไรให้ หัวเข่าของข้ากระแทกพื้นจนถลอกไปหมด ถึงได้มีโอกาสส่งมอบบทกวีบทนั้น ท้ายที่สุดมีวาสนาได้รับคำชมเชยจากอดีตฮ่องเต้ จึงเดินบนเส้นทางของขุนนางได้สำเร็จราบรื่น
เป็นลูกผู้ชาย...หากปรารถนาในชื่อเสียงและเกียรติยศจะไม่โหดร้ายต่อตัวเองคงไม่ได้”
เถี่ยซินหยวนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ภายหลังท่านมีความคิดชั่ววูบอยากจัดการอัครเสนาบดีหลี่ให้ถึงตายบ้างหรือไม่?”
ซย่าส่งถลึงตาใส่เถี่ยซินหยวนแล้วตอบว่า "ภายหลังเพราะข้าคารวะเสนาบดีหวังเป็นอาจารย์ จึงไม่สะดวกจะไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับอัครเสนาบดีหลี่
เจ้าหนู อดีตอัครเสนาบดีหวังคงจะเป็นท่านทวดของเจ้า เหตุใดเจ้ากับมารดาออกมาเร่ร่อนขายทังปิ่งอยู่ที่ประตูซีสุ่ย เรื่องนี้จะให้ท่านทวดของเจ้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
เถี่ยซินหยวนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่านทวดของข้าเป็นอัครเสนาบดีหรือ?”
ซย่าส่งหัวเราะแล้วตอบว่า “เจ้าไม่รู้ว่าท่านทวดของเจ้าคือหวังตั้น[9]หรือนี่? มิน่าเล่าเจ้าถึงวิ่งมาหาข้าที่นี่เพื่อเตรียมแผ้วถางลู่ทางของตัวเอง ทำเอาข้ารู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ตั้งนาน”
“ท่านยอมรับข้าเป็นศิษย์เป็นเพราะว่าเห็นแก่หน้าของท่านทวดอย่างนั้นรึ?”
ซย่าส่งหัวเราะเสียงดังขึ้นมายกใหญ่ เขาตบหน้าท้องของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหนู ครั้งแรกที่เจ้าวิ่งเข้ามาในบ้านร้างหลังนี้ไม่มีคนเฝ้าอยู่จริงๆ แต่ว่าเมื่อเจ้าเข้ามาเป็นครั้งที่สอง ยังนึกว่าที่นี่ไม่มีคนเฝ้าอยู่อีกหรือไร?
ถ้าหากข้าไม่สืบเบื้องหลังเจ้ามาก่อน เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะมีความอดทนมาเล่นเป็นสหายต่างวัยกับเด็กไม่เอาไหนอย่างเจ้ารึ?”
ทันใดนั้นเองเถี่ยซินหยวนก็หัวเราะออกมา เขาหันมาประสานมือคารวะซย่าส่งแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ท่านช่วยไขข้อข้องใจให้ข้า ถ้าหากท่านไม่อธิบายให้กระจ่าง เรื่องนี้คงกลายเป็นปมที่คลายไม่ออกแน่ เวลานี้ข้ารู้สึกทั่วร่างเบาสบายยิ่งนัก”
ซย่าส่งเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่พามารดาไปพบญาติที่จวนอัครเสนาบดีหวังหรือ มัวรีรออะไรอยู่?”
“ไปจัดการพวกเขาให้ถึงที่ตายหรือ?” เถี่ยซินหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“เอ๋?....ทำไมเจ้าถึงมีความคิดพิลึกพิลั่นเช่นนี้ได้?”
“เพราะพวกเขารังแกท่านแม่ของข้า!”
----------------------------
[1] บทกวีซือ(诗)ลักษณะคำประพันธ์รูปแบบหนึ่งของจีน เป็นที่นิยมในสมัยราชวงศ์ถัง
[2] บทกวีฉือ(词)ลักษณะคำประพันธ์รูปแบบหนึ่งของจีน เป็นที่นิยมในสมัยราชวงศ์ซ่ง
[3] หลี่ฮั่ง(李沆)เคยเป็นอาจารย์ชี้แนะรัชทายาทจ้าวเหิง(ซ่งเจินจง) และเคยรับตำแหน่งอัครเสนาบดีนาน 6 ปี เสียชีวิตในปีค.ศ.1004
[4] หลังบิดาเสียชีวิตในการรบกับชาวชี่ตัน ซย่าส่งได้เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ตำแหน่งเล็กๆ ต่อมาหาโอกาสมอบบทกวีฉือบทนี้แด่อัครเสนาบดีหลี่ เพราะอยากจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ซึ่งหลี่ฮั่งชื่นชอบบทกวีสองประโยคนี้มาก
[5] การสอบระดับสั่วทิง(锁厅试)เป็นการสอบระดับจิ้นซื่อ(进士试)ของผู้รับตำแหน่งปัจจุบันหรือผู้มีบรรดาศักดิ์และเบี้ยหวัดอยู่แล้ว
[6] ไพ่นกกระจอก(麻将)กำเนิดในประเทศจีน เดิมทีเป็นการละเล่นของเหล่าบรรดาองค์จักรพรรดิ ฮ่องเต้ ขุนนางชั้นสูง มีประวัติศาสตร์มานานกว่า 4,000 ปีแล้ว
[7] หลี่เสวีย(理学)หรือแนวคิดขงจื๊อใหม่ เป็นการสังเคราะห์แนวความคิดโดยมีพื้นฐานจากแนวคิดของสำนักหรู(ขงจื๊อ) มีนักปราชญ์คนสำคัญอย่างจูซี (朱熹), ลู่จิ่วยวน (陆九渊) รวมไปถึงกวีเอกอย่างลู่โหยว (陆游) เป็นต้น
[8] โจวตุนอี๋(周敦颐)เป็นขุนนาง นักคิด นักปรัชญาคนสำคัญของสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ถือเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดสำนักขงจื๊อใหม่ แนวคิดของโจวตุนอี๋นั้นก็ยังคงสืบทอดจากแนวคิดสำนักขงจื๊อในช่วงก่อนหน้าและมีอิทธิพลต่อนักคิดสำนักขงจื๊อใหม่ในเวลาต่อมา
[9] หวังตั้น(王旦)เป็นขุนนางคนสำคัญในสมัยซ่งเจินจงพระราชบิดาของซ่งเหรินจง เคยเป็นอัครเสนาบดีนานถึง 12 ปี เสียชีวิตในปีค.ศ.1017