ตอนที่ 39 เตรียมแผนบุก
ตอนที่ 39 เตรียมแผนบุก
“มาช้านะนาย”
หางคิ้วของเฮคเตอร์กระตุกหนึบๆ เมื่อได้ยินคำล้อเลียนจากชาเกล เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาจึงต้องใช้เวลาสักพักทีเดียวกว่าจะเดินทางมาถึง ผิดกับชาเกลที่บินตรงด้วยความเร็วสูงรวดเดียวจนถึงจุดหมายที่ล็อกปลายทางเอาไว้
ทั้งสองไม่ใช้พลังในการช่วยพาอีกฝ่ายมา เพราะต้องประหยัดพลังวิญญาณที่มีอย่างจำกัดของตัวเองเอาไว้ จุดกะพริบบนแผนที่ไม่ได้ไกลจากคาเรมมากนัก มันอยู่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นเลยฮอกไกโดขึ้นไปติดกับทางตอนใต้ของประเทศรัสเซีย เกาะซาฮาลิน
ทั้งสองได้พบคฤหาสน์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง รอบรั้วกินพื้นที่เป็นอาณาเขตกว้างขวางทีเดียว นอกจากตัวคฤหาสน์ซึ่งน่าจะใช้เป็นที่พักอาศัยแล้ว ยังมีสิ่งปลูกสร้างชั้นเดียวขนาดใหญ่ซึ่งมองจากด้านบนแล้วมีลักษณะคล้ายกับโรงงานอะไรสักอย่าง
ทั้งสองแบ่งหน้าที่กันสำรวจ ชาเกลตรวจดูในพื้นที่เขตรอบนอกเพราะรูปแบบพลังของเขามีโอกาสถูกพบเห็นได้มากกว่า ส่วนเฮคเตอร์กระชับวงในเข้าไปอีกนิด ต่อให้สายตาไวแค่ไหน แต่หากไม่สังเกตให้ดีการหายตัวแวบไปมาในชั่วพริบตาแบบนี้ก็ยากที่จะมองเห็น แล้วยังแอบซ่อนกล้องวงจรของกองปราบที่พกมาด้วยไว้ตามจุดต่างๆ ที่เข้าไปสำรวจ
“ดูจากด้านนอกหน้าต่างเท่าที่เห็นยังไม่เจอเฟย์นะเลย น่าจะถูกซ่อนไว้มิดชิดมาก แต่สัญญาณกะพริบยังอยู่ น่าจะยังไม่เป็นอะไร ส่วนพวกคนร้ายฉันเห็นแค่เจ้าแว่นที่เคยเจอกันคราวก่อนคนเดียว”
เฮคเตอร์ที่กลับมารวมตัวกับชาเกลตามเวลานัดหมายรายงานสถานการณ์
“ทางฉันก็ไม่เจอพวกที่น่าจะเป็นสายพิเศษเลย แต่ได้ข้อมูลคร่าวๆ พอแล้ว กลับกันก่อนก็แล้วกัน”
ชาเกลแบ่งปันข้อมูลออกมา
“โอเค”
เมื่อสรุปออกมาดังนั้น ร่างของทั้งสองจึงหายแวบกลับไปยังห้องบัญชาการใหญ่ของกองปราบวิญญาณ
ผู้บัญชาการสูงสุด หัวหน้าหน่วย K-0 ไปจนถึง K-4 ต่างรออยู่แล้วกันครบถ้วนหน้า เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเริ่มเชื่อมต่อสัญญาณภาพจากกล้องที่เฮคเตอร์ไปติดตั้งไว้ได้สำเร็จ
“ประตูรั้วใหญ่ที่ใช้เข้าออกมีสองทางครับคือทางทิศเหนือกับใต้ ทุกที่มีกองกำลังติดอาวุธปืนเฝ้ายาม มีการเดินเวรยามรอบคฤหาสน์ด้วย ดูแล้วน่าจะเป็นคนธรรมดา เพราะพวกนั้นดูเหมือนจะมองไม่เห็นดิคเคนส์ประดิษฐ์ที่มีปล่อยอยู่ภายในคฤหาสน์ประปราย แถมดิคเคนส์ก็ไม่เข้าโจมตีพวกกองกำลังเฝ้ายาม น่าจะโดนโปรแกรมมาแบบนั้นครับ พวกมีพลังสายพิเศษที่น่าจะเป็นกำลังหลักคงกระจายตัวกันอยู่ภายในคฤหาสน์ ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีจำนวนเท่าไร หรือมีพลังรูปแบบไหนบ้าง ส่วนประตูทางเข้าคฤหาสน์มีสามประตู ด้านหน้าหนึ่ง ด้านข้างหนึ่ง กับด้านหลังอีกหนึ่ง”
ชาเกลรายงานขึ้นยาวเหยียด พร้อมกับเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชายสวมแว่นที่เฮคเตอร์ไปพบว่ามีพลังพิเศษประเภทอะไร ก่อนที่เฮคเตอร์จะช่วยเสริมอีกแรง
“ภายในตัวคฤหาสน์ก็ค่อนข้างเงียบครับ ผมยังไม่เจอตัวเฟย์นะ แต่จนถึงตอนนี้สัญญาณกะพริบก็ยังอยู่ดี เธอน่าจะยังไม่เป็นอะไร ที่นี่อาจไม่ใช่ฐานที่มั่นหลักของพวกมันก็ได้ เพราะนอกจากพวกดิคเคนส์ประดิษฐ์ตามที่ชาเกลบอกแล้ว ผมก็แทบไม่เห็นใครในคฤหาสน์เลย มีแค่คนร้ายสวมแว่นคราวก่อนที่หนีไปได้แค่คนเดียวตามที่ชาเกลบอก แต่ผมไม่ได้เข้าไปสำรวจแบบละเอียดทุกห้อง บางห้องที่ปิดผ้าม่านเปิดไฟไว้ก็เป็นไปได้ว่าจะมีคนอยู่เหมือนกันครับ”
“อือ...ถ้าคิดตามนี้อาจเป็นไปได้ว่ากำลังหลักของมันจริงๆ คือพวกดิคเคนส์ประดิษฐ์ก็ได้ ยิ่งมีเกลื่อนในคฤหาสน์แบบนั้นก็เห็นได้ชัดว่าพวกมันน่าจะสามารถสร้างดิคเคนส์ประดิษฐ์ออกมาได้เรื่อยๆ การบุกฐานพวกมันคงจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยปราบวิญญาณด้วยจริงๆ ส่วนหน่วยเราจะเน้นการช่วยเหลือเฟย์นะ และรับมือกับพวกพลังสายพิเศษเอง”
“ถึงจะแยกหน้าที่กันจัดการคนละอย่าง แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพวกเราจะไม่ต้องปะทะกับคนจริงๆ ด้วยงั้นสินะ”
หัวหน้าหน่วย K-1 ทบทวนความเข้าใจของตนเองออกมา
“ตามนั้นครับ ดังนั้นช่วยคัดคนโดยพิจารณาจากพื้นฐานจิตใจด้วยว่า พวกเขาจะฟันคนจริงๆ นอกจากวิญญาณได้ด้วยรึเปล่า”
ฟอแกนด์เน้นย้ำความเข้าใจนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ตามด้วยเอ็ดเวิร์ดที่ลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อไปจิ้มยังจอแผนที่เสนอแผนการคร่าวๆ
“เฮคเตอร์ ก่อนทุกหน่วยจะบุกเข้าไป ให้นายไปจัดการพวกกองกำลังที่เป็นคนธรรมดาตามประตูรั้วใหญ่กับพวกที่เดินเวรยามก่อน ไปคนเดียวน่าจะใช้เวลาไม่นานแล้วยังเงียบอีกด้วยเพื่อไม่ให้เจ้าพวกนั้นรู้ตัวกัน”
“รับทราบครับ”
คนถูกสั่งตอบรับด้วยท่าทางสบายๆ ไม่กังวล
“เมื่อไปถึงเราจะแบ่งคนออกเป็นสามกลุ่ม เข้าไปตามประตูทาเข้าคฤหาสน์สามจุดนี้”
เอ็ดเวิร์ดอธิบายไป ชี้รูปภาพตามไป
“โดยในแต่ละกลุ่มจะให้พวกมีพลังสายพิเศษติดไปด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน แล้วแบ่งหน่วยปราบวิญญาณไปตามความเหมาะสม เพื่อคอยจัดการกับดิคเคนส์ประดิษฐ์ ทุกกลุ่มจะเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อได้สัญญาณเคลียร์พื้นที่โดยรอบจากเฮคเตอร์ ส่วนผมจะคอยอยู่ที่เฮลิคอปเตอร์รบกับหน่วยแพทย์วิญญาณเพื่อคอยประสานงานกับทุกฝ่าย เป้าหมายแรกคือค้นหาตัวคุณเฟย์นะให้เจอ และจับกุมหรือกำจัดศัตรูหากถึงคราวจำเป็นจริงๆ ใครมีข้อเสนอแนะอย่างอื่นเพิ่มเติมไหมครับ”
เอ็ดเวิร์ดพูดจบห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เป็นคำตอบกรายๆ ว่าไม่มีใครโต้แย้งกับแผนการนี้
“ผมขอเสริมข้อมูลอีกเล็กน้อย ทางตระกูลยูคิฮารุติดต่อเข้ามาเพื่อขอพิกัดที่อยู่ของคุณเฟย์นะ ทางนั้นก็จะออกปฏิบัติภารกิจร่วมกับเราแต่ไปในฐานะส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองปราบปราม ถ้าตกลงตามนี้แล้ว ฝ่ายปราบวิญญาณก็ไปคัดคนที่พร้อมจริงๆ ไปด้วย ฝ่ายจัดการคนก็ไปเตรียมตัวให้พร้อม เราจะออกเดินทางภายในสองชั่วโมงนี้”
ผู้บัญชาการสูงสุดกล่าวสรุปปิดการประชุมด่วนก่อนที่ทุกคนจะเริ่มแยกย้ายกันไป แต่ยังเหลือฟอแกนด์เป็นคนสุดท้าย ที่เดินเข้าไปพูดคุยกับท่านผู้บัญชาการตามลำพัง
“ผมขออนุญาตเรียกกำลังเสริมจากทางบอดีการ์ดประจำตัวของเจ้าหญิงเฌอรีน พลังสายพิเศษของพวกเขาน่าจะพึ่งพาได้ทีเดียวครับ เพราะเรายังไม่รู้จำนวนสายพิเศษที่แน่ชัดของทางนั้น”
“ได้ ผมจะติดต่อให้เดี๋ยวนี้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีช่องทางติดต่อกับเจ้าหญิงเฌอรีนได้โดยตรง น่าจะทำได้เร็วกว่าติดต่อตามระเบียบการ ผมแค่ต้องขออนุญาตก่อนเท่านั้น”
“โอเค งั้นคุณจัดการเลยฟอแกนด์”
“รับทราบครับ”
ภายในออฟฟิศหน่วย K-1 หลังมีการเรียกรวมตัวกันของสมาชิกในหน่วย เซไคผู้เป็นหัวหน้าหน่วยก็เริ่มชี้แจงข้อมูลทันที
“ฉันจะขออาสาสมัครก่อน นี่เป็นภารกิจสำหรับคนที่แน่ใจว่านอกจากวิญญาณแล้ว ตัวเองจะกล้าฟันคนจนอาจถึงแก่ความตายได้”
เพียงแค่เกริ่นขึ้นมาทั่วห้องก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้หน่วยนี้จะรวบรวมสมาชิกที่มีพลังวิญญาณในเลเวลสูงไว้ แต่ส่วนใหญ่ก็เคยทำงานเพียงแค่การไล่ล่าวิญญาณเท่านั้น
แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ยกมืออาสา ประตูห้องของหน่วยก็ถูกเปิดเข้ามาด้วยใครบางคนที่คาดไม่ถึง
“ยูทากะ!”
หลายคนในหน่วยเรียกชื่อนั้นขึ้นอย่างตกใจ หญิงสาวสวมแว่นที่ยังสวมชุดนักศึกษาของสถาบันกองปราบซึ่งมีคราบเลือดอยู่ตามชุดปรากฏตัวขึ้น
“ฉันขอไปด้วยค่ะ”
“ไม่ได้! บาดเจ็บขนาดนี้จะออกภาคสนามได้ยังไง กลับห้องพักฟื้นไปซะ”
เซไคดุลูกน้องที่เอ็นดูเหมือนลูกสาวในทันที
“แผลฉันไม่ได้หนักขนาดนั้นค่ะ ฉันพลาดเองที่ปล่อยให้พวกนั้นพาตัวเฟย์นะไปได้ ได้โปรดขอให้ฉันได้กลับไปแก้ตัวเถอะนะคะ ฉันพร้อมทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะต้องสู้กับวิญญาณหรือคนแน่นอนค่ะ”
หากเป็นภาวะปกติยูทากะคือหนึ่งในกำลังสำคัญที่เซไคจะต้องพาตัวไปด้วยแน่ๆ แต่ไม่ใช่ในยามที่บาดเจ็บแบบนี้
“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด เธอไปในสภาพนี้แต่จะเป็นตัวถ่วงคนอื่นเปล่าๆ”
หัวหน้าหน่วยยังยืนยันตามเดิม
“ถ้าคิดว่าฉันสู้ไม่ไหว หัวหน้าลองมาสู้กับฉันตอนนี้เพื่อเป็นการทดสอบก็ได้นะคะ”
เซไคหันมาสบตากับหญิงสาวแน่นิ่ง ถึงเขารู้ว่ายูทากะเอาจริง แต่เขาก็เลือกที่จะยื่นคำขาดให้แทน
“ถ้ายังดื้อไม่เชื่อฟังคำสั่งฉันจะไล่เธอออกจากหน่วย K-1 ลองไปอ้อนวอนขอหน่วยอื่นดูเอาเองก็แล้วกัน ไม่ก็ลองขอไปกับบ้านเจ้าเคนเซย์เองเถอะ แต่เธอจะไม่ได้ไปด้วยที่นั่งในหน่วยของเราแน่นอน”
เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้น ยูทากะก็เก็บอาวุธวิญญาณก่อนจะเดินออกจากประตูไปอย่างหัวเสีย แน่นอนว่าหน่วยอื่นไม่มีให้เธอไปด้วยได้อยู่แล้ว ที่เหลือก็แค่...บ้านของเคนเซย์ ตระกูลยูคิฮารุ ดูเหมือนที่นั่นจะเป็นหนทางสุดท้ายของเธอแล้ว…
เคนเซย์เปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดเครื่องแบบสีดำสำหรับออกปฏิบัติการที่รัดกุมกว่าปกติเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลับตาอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเองในออฟฟิศของหน่วยเคซีโร่ ตั้งสติ ทำสมาธิให้พร้อมเพื่อรอสัญญาณเรียกรวมพล
เฟย์นะยังมีชีวิตอยู่...ชายหนุ่มรู้สึกได้แบบนั้น เพราะผ่านพิธีชำระวิญญาณที่เหมือนทั้งสองได้ผูกวิญญาณเข้าด้วยกัน หากสัญญาณชีวิตอีกฝ่ายดับวูบไปอีกฝ่ายจะรู้สึกได้อย่างแน่นอน
นอกจากเคนเซย์แล้ว ภายในห้องยังมีเอ็ดเวิร์ดที่นั่งอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่งของตัวเองเงียบๆ ชาเกลนอนอยู่บนโซฟาตัวยาวเพื่อพักเหนื่อยจากการเพิ่งใช้พลังไปหนึ่งยกเพื่อสำรวจที่ทาง ฟอแกนด์ไม่อยู่ เพราะเห็นว่าจะไปติดต่อเพื่อขอยืมตัวผู้มีพลังสายพิเศษจากเจ้าหญิงเฌอรีนมาเพิ่ม
และก็คงเดาไม่ยากว่าตอนนี้เฮคเตอร์อยู่ที่ใด
ภายในห้องเก็บกระจกแห่งชะตากรรม ธาวินกำลังนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่งของห้องเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นส่วนเกินของโลกใบเล็กๆ นี้
พี่เฮคเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาในชุดหน่วยรบสีดำทั้งตัว หลังจากพาคุณโซอีกลับออกไปเอาพวกหมอนผ้าห่มและสิ่งของต่างๆ ที่จำเป็นมาเพิ่มแล้ว เขาก็ถอดเสื้อเกราะกันกระสุนไว้ด้านข้างแล้วนอนลงบนตักคุณโซอีเพื่อพักเอาแรง
ตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาเตรียมตัวสำหรับก่อนออกไปปฏิบัติภารกิจ แม้คุณโซเฟียจะไม่ได้ไปด้วย แต่ก็ต้องประจำการอยู่ที่ห้องบัญชาการรบเช่นกัน ห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ เขาเองก็รู้ว่าไม่ควรชวนคุยเพื่อให้พี่เฮคเตอร์ได้หลับเอาแรงก่อนสักหน่อย
คุณโซอีนั่งถักผ้าพันคออยู่เงียบๆ พอเงียบนานเข้าบวกกับเสียงกรนนิดๆ ของพี่เฮคเตอร์แล้ว ธาวินเองก็เริ่มจะง่วงเหมือนกัน ยังดีที่พี่ๆ ทั้งสองยังใจดีเอาอุปกรณ์การนอนเผื่อแผ่มาถึงเขาด้วย
โทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์ตแบตเตอรี่ไว้แม้จะเต็มไปแล้วร้องดังขึ้น เฮคเตอร์ลืมตาขึ้นมาก่อนจะหายตัววับไป ไม่นานจากนั้นก็กลับมาอีกครั้งด้วยสภาพที่ใบหน้าและผมที่ยังเปียกปอน
“เอ้านี่ คีย์การ์ดสำรองขึ้นไปห้องท่านผู้บัญชาการเผื่ออยากจะเข้าห้องน้ำกัน ฉันไปขอมาไว้ให้”
“อื้อ ขอบคุณนะ”
โซอีรับคีย์การ์ดแผ่นนั้นมา
“ฝากดูแลโซอีด้วยนะธาวิน นายเองก็อย่าซนไปแตะโน่นนี่เข้าล่ะรู้มั้ย”
“รู้แล้วครับ โธ่...พี่เป็นคนที่ห้าแล้วมั้งที่เตือนผมแบบนี้ในหนึ่งชั่วโมงนี้น่ะ”
เฮคเตอร์ขำเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองหน้าโซอีที่ไม่ได้ยิ้มส่งเขา
“ต้องไปแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย แล้วจะรีบกลับมารับนะ”
โซอีไม่ตอบ เพียงเม้มปากแน่นจ้องมองเฮคเตอร์ด้วยสีหน้ากังวลใจ แต่ก่อนที่เฮคเตอร์จะได้ลุกขึ้นยืนเพื่อกลับออกไป โซอีก็โผเข้าไปจูบหน้าผากของเฮคเตอร์ไว้หนึ่งที
“ต้องกลับมานะ”
แม้เฮคเตอร์จะยังดูอึ้งๆ ไปเล็กน้อยที่โดนจูบหน้าผากแบบนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ยื่นมือออกมายีหัวเธอเบาๆ ก่อนจะส่งท้ายไว้แล้วหายตัวไป
“ต้องกลับมาแน่ๆ อยู่แล้ว เตรียมคิดเมนูอร่อยๆ ไว้รอได้เลย กลับมาเมื่อไหร่ฉันต้องหิวมากแน่ๆ”
เกาะซาฮาลิน
เฟย์นะรู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้วพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงภายในห้องนอนห้องหนึ่ง เธอกำลังถูกจับมัดมือรวบไว้ด้านหน้าและมัดข้อเท้าไว้ เมื่อสติกลับมาจนจำทุกอย่างได้แล้ว หญิงสาวก็กวาดสายตามองรอบตัวอย่างตื่นตระหนกอีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน มันเป็นห้องที่ไม่มีหน้าต่าง แต่เปิดเครื่องปรับอากาศไว้เพื่อให้มีอากาศหายใจ หญิงสาวรู้สึกเจ็บที่หัวจนพอนึกภาพย้อนหลังกลับไปได้ว่ามันน่าจะแตกตอนล้มหัวฟาด เธอถูกคนกลุ่มหนึ่งลักพาตัวมา และน่าจะเป็นกลุ่มคนเดียวกับที่เจอในวันที่เธอระเบิดพลังประหลาดๆ นั่นออกมา
“ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงทักทายนั้นดังขึ้นจากคนที่เปิดประตูเข้ามา ดวงตาของเฟย์นะวาวโรจน์ขึ้นด้วยความโกรธถึงสุดขีด เมื่อเห็นว่านี่คือชายผมสีทองคนเดียวกับที่ฆ่าทิมในตอนนั้น
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ อ่อ...คงโกรธที่พ่อจัดการลูกเขยที่ไม่ได้เรื่องทิ้งไปสินะ”
หัวคิ้วของหญิงสาวขมวดเข้ากันจนสุด บทสนทนาเมื่อครู่นี้มันหมายความว่ายังไง ชายผมทองเดินมานั่งอยู่ที่ขอบเตียง หากเป็นเมื่อก่อนเฟย์นะคงพุ่งเข้าใส่หมอนี่ พยายามทำทุกอย่างเพื่อฆ่าไอ้บ้านี่ให้ได้แม้จะต้องแลกกับชีวิตตัวเองก็ตาม แต่ว่า...ตอนนี้ชีวิตของเธอไม่ได้เป็นของเธอคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
“หมะ...หมายความว่ายังไง”
หญิงสาวขยับตัวถอยห่างออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วถามถึงคำพูดเมื่อครู่
“จริงสินะ เราจากกันตั้งแต่เกิดลูกคงจำพ่อไม่ได้ นี่พ่อเองนะ...พ่อที่แท้จริงของเธอ เพราะไอ้บ้าตระกูลยูคิฮารุนั่นแท้ๆ ที่ทำให้พวกเราพลัดพรากกัน”
เฟย์นะอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แน่นอน...เธอไม่มีทางเชื่อว่าชายหนุ่มที่ดูมีอายุไม่ห่างจากเธอเกินห้าหรือหกปีแน่ๆ คนนี้จะเป็นพ่อของเธอได้ แต่แล้วเมื่ออยู่ๆ เขาก็ชูนิ้วชี้ขึ้นมาตรงหน้าเธอ ก่อนจะมีควันสีดำเป็นรูปหัวใจเล็กๆ ออกมาจากปลายนิ้วนั้น ภาพเหตุการณ์ของตัวเองที่ระเบิดพลังสีดำออกมาในคืนนั้น ก็ย้อนกลับมาให้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง…
“ในที่สุดเราก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน...พ่อจะไม่ให้ใครมาแย่งตัวลูกไปอีกแล้ว… เฟย์นะ”
ณ ใจกลางชั้นใต้ดินของบ้านแบบโบราณที่ถูกปกป้องดูแลไว้อย่างดีที่สุดของตระกูลยูคิฮารุ
ชายหนุ่มผมยาวสีดำคนหนึ่งได้ลืมตาตื่นขึ้น…
หลายปีมาแล้วหลังจากที่ออกไปท่องโลก ก่อนจะพบเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้ต้องใช้พลังไปมากมายจนต้องกลับมาพักฟื้นพลังวิญญาณ
ในที่สุด ‘ยูคิฮารุ’ ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งภายในบ้านที่กำลังดูอลหม่านวุ่นวาย...