ตอนที่แล้วตอนที่ 126 การรวมตัวของผู้มีพรสวรรค์ (ฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 128 สามวีรชนกับสองโฉมงาม (ฟรี)

ตอนที่ 127 หน่วยข่าวกรอง (ฟรี)


ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามายืนอยู่ข้างกายของหลงเฉิน เขามีรูปร่างสันทัด หน้าตาธรรมดา ทว่าภายในดวงตากลับให้ความรู้สึกอัปลักษณ์แก่ผู้คนที่มองเข้าไปเป็นอย่างยิ่ง

 

“ข้าน้อยเป็นหน่วยข่าวกรองของสำนักพลิกสวรรค์ หากท่านมีข้อสงสัยอันใดก็สามารถสอบถามมาได้เลย ในที่แห่งนี้ไม่มีเรื่องใดที่ข้าน้อยไม่ทราบ” ชายหนุ่มผู้นั้นทุบไปที่หน้าอกของตัวเองอย่างหนักแน่น

หลงเฉินเกิดความสงสัยขึ้นมาในขณะที่จ้องมองไปยังเจ้าหนูที่ยืนอยู่เบื้องหน้า นี่เขาต้องการจะกระทำการอันใดกัน

 

“ไม่ว่าเป็นเรื่องใดของสำนักพลิกสวรรค์ก็สามารถล่วงรู้อย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินถามออกไป

 

“แน่นอน ข้าน้อยอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้วจึงได้เก็บข้อมูลจากทุกซอกมุมของสำนักพลิกสวรรค์เอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับหัวข้อในการสอบเลื่อนชั้นแล้วนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เพียงข้าน้อย กระดิกนิ้วก็สามารถทำให้ท่านพึงพอใจได้เป็นแน่ ทว่าท่านอาจจะต้องตอบแทนด้วยสินน้ำใจสักเล็กน้อย”

 

เมื่อชายหนุ่มดวงตาอัปลักษณ์กล่าวถึงสินน้ำใจก็ได้แสดงอาการเคอะเขินขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าเป็นการแสดงออกที่เสแสร้งอย่างไม่สมจริงเอา

 

“เจ้าเริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนอย่างนั้นหรือ? เจ้าทราบถึงการเลื่อนชั้นของสำนักพลิกสวรรค์ด้วย?” หลงเฉินยังคงถามหยั่งเชิงออกไป

 

“แน่นอน ผู้ที่มองการณ์ใกล้ย่อมไม่อาจไปถึงจุดหมายอันใดได้ ท่านดูนั่นสิ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสับสนเหล่านั้น ไม่ว่าจะหันไปทางใดก็ราวกับเห็นแต่สิ่งแปลกใหม่ อีกทั้งยังไม่ทราบด้วยว่าจะประเมินสถานการณ์อย่างไร แล้วท่านว่าอย่างไร? สนใจหรือไม่?” ชายหนุ่มดวงตาอัปลักษณ์จ้องมาที่หลงเฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

ทันใดนั้นหลงเฉินก็เห็นว่าชายหนุ่มได้ปรายสายตาไปที่เสี่ยวเสว่ยอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเข้าใจขึ้นมาได้ทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้คงจะจดจำสถานะที่แท้จริงของเสี่ยวเสว่ยได้ แล้วคิดไปว่าหลงเฉินจะต้องเป็นลูกเศรษฐีผู้มั่งคั่งอย่างแน่นอน

 

เสี่ยวเสว่ยนั้นเป็นสัตว์มายาระดับสามที่อยู่ในระดับสูงสุด ถึงแม้ว่าผู้ที่มารายงานตัวจะนำพาสัตว์มายาประจำกายมาด้วย ทว่าแทบจะทุกตัวกลับเป็นเพียงสัตว์มายาระดับสองทั้งนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหนูผู้อัปลักษณ์นี้จะมีสายตาเฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง

 

หลงเฉินเข้าตรวจสอบพลังฝีมือภายในร่างกายของชายหนุ่มดวงตาอัปลักษณ์อยู่ครู่หนึ่ง เขาพบว่าชายหนุ่มผู้นี้มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตตอนปลาย อีกทั้งยังมีสายตาคู่คมที่สามารถมองทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นี่เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือผู้มีสิ่งเร้นลับอย่างแท้จริง

 

“แล้วคิดราคาค่างวดอย่างไรบ้าง?” เมื่ออยู่ว่างและไม่มีสิ่งใดทำ หลงเฉินจึงเอ่ยถามออกไปอีกเสียหน่อย ในเมื่อภายในแหวนมิติของเขามีเงินทองจนท่วมท้น หากใช้จับจ่ายให้ได้ข่าวสารมาก็คงจะไม่น่าเกลียดมากนัก

 

“ข้ามีนามว่ากัวเหริน เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่คิดคดโกงผู้ใด คำถามโดยทั่วไปจะขอเก็บเป็นโอสถระดับกลางขั้นที่สองหนึ่งเม็ด

 

หากเป็นคำถามที่ต้องใช้การวิเคราะห์จะมีราคาสูงขึ้นไปอีกจะขอเก็บเป็นโอสถระดับสูงขั้นที่สอง

แน่นอนว่าข้าน้อยยังมีความลับที่พิเศษเฉพาะซึ่งเกี่ยวข้องกับภายหลังจากที่ท่านได้เข้าร่วมกับหมู่ตึกไปแล้วอีกด้วย ข้าน้อยขอรับรองว่าหากท่านได้ทราบถึงความลับเหล่านี้แล้วจะต้องอาศัยอยู่ภายในหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ประดุจปลาได้น้ำอย่างแน่นอน

 

และดูไปแล้วท่านก็คงจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์อยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน ฉะนั้นข้าน้อยจะให้ราคาแบบเหมารวมนั่นก็คือโอสถระดับสูงขั้นที่สามสิบเม็ดแลกกับความลับที่ข้าน้อยทราบทั้งหมด

 

นี่เป็นการขายที่อาจทำให้กระอักโลหิตออกมาได้เลยทีเดียว ทว่าโอสถสิบเม็ดนี้สามารถช่วยให้ท่านก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้โอสถทั้งสิบเม็ดย่อมถือว่าไม่แพง

 

แค่พลิกภูเขาลูกหนึ่ง ท่านก็สามารถพบกับเปลือกไม้สวรรค์ได้……” เจ้าหนูที่มีนามว่ากัวเหรินพร่ำเพ้อพรรณนาออกมาอย่างไม่หยุดปาก

 

“หยุด หยุดการแนะนำตัวของเจ้าเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน” หลงเฉินขมวดคิ้วเข้มชนกัน

 

กัวเหรินฉีกยิ้มอย่างขวยเขินแล้วกล่าวออกมาว่า “เพราะเห็นว่าท่านเป็นคนดีจึงเกรงว่าจะพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป ทว่าข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงนี้เป็นเพราะหวังดีต่อท่านแทบทั้งสิ้น” กัวเหรินยิ้มกริ่มแล้วกล่าวต่ออีกว่า “อีกทั้งเป็นเพราะว่าท่านเป็นคนที่จึงเกรงว่าจะพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป ทว่าข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงนี้เป็นเพราะหวังดีต่อท่านแทบทั้งสิ้น”

 

หลงเฉินพยายามเปิดหูเปิดตาอย่างไร้ซึ่งอคติแล้ว ใต้ผืนฟ้าแห่งนี้ไม่ได้มีแต่ผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น ทว่ายังมีความสามารถอันประหลาดจากบุคคลแสนจะพิศดาลด้วยเช่นกัน

 

“เจ้าล่วงรู้ทุกเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ประดุจพลิกฝ่ามือเดียวอย่างนั้นหรือ?”หลงเฉินยังคงถามออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

“แน่นอน หากทั้งหมดเป็นความเท็จย่อมต้องถูกลงโทษไปแล้ว ไม่คิดคดโกงมาตั้งแต่กำเนิด ถ้าหากเป็นคำถามเกี่ยวกับหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ที่ข้าน้อยตอบไม่ได้จะไม่คิดแม้แต่ตำลึงทองเดียว” กัวเหรินกล่าวออกมาแล้วทุบไปที่หน้าอกของตัวเองเพื่อยืนยันความเชื่อมั่น

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะขอถามเจ้า หลังจากที่ผู้คุมกฎสำนักประตูมนุษย์ของหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ถ่ายหนักเสร็จแล้ว เขาใช้มือข้างซ้ายหรือมือข้างขวาในการชำระล้างกัน?” หลงเฉินถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

กัวเหรินเบิกตากว้างขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เพื่อเห็นแก่อัจฉริยภาพของท่าน เหตุใดถึงได้กล่าววาจาไร้มารยาทออกมา เรื่องเช่นนี้จะมีผู้ใดทราบกันเล่า”

 

“เจ้าไม่ทราบก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่ทราบ ดูเหมือนว่าหน่วยข่าวกรองอย่างเจ้าคงจะไม่อาจยืนหยัดได้ยั่งยืนเสียแล้ว” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา

 

“นี่ท่านกำลังดูแคลนข้าน้อยอยู่อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็จงบอกข้าน้อยมาว่าผู้ใดทราบความลับนี้กัน” กัวเหรินระเบิดวาจาออกมาอย่างหุนหันพลันแล่น

 

“ข้า” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาพร้อมทั้งชี้นิ้วมาที่จมูกของตัวเอง

 

“ท่าน? หยอกล้อข้าน้อยอยู่หรืออย่างไรกัน?” กัวหราขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งเหยิง นี่ตัวเองกำลังถูกหลอกอยู่เป็นแน่

 

“อย่าเพิ่งโกรธเกรี้ยวจนเกินไป ในเมื่อข้าบอกเช่นนั้นก็หมายความว่าข้าทราบ” หลงเฉินยิ้มกริ่ม

 

“ได้ หากท่านเปิดเผยความจริงออกมา ข้าน้อยจะแบ่งปันความลับให้แก่ท่านโดยไม่มีราคาค่างวดแต่อย่างใด ทว่าหากท่านไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ข้าน้อยจะขอท้าประลองกับท่าน” กัวเหรินถูกหลงเฉินกระตุ้นโทสะขึ้นมาจนเดือดดาลเสียแล้ว

 

ท้าประลอง? หลงเฉินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าก็ยังไม่ตอบกลับไปในทันที “เจ้าทราบได้อย่างไรกันว่าผู้คุมกฎแห่งสำนักพลิกสวรรค์คือผู้ใด?”

 

“แน่นอนว่าต้องทราบ ผู้คุมกฎแห่งสำนักพลิกสวรรค์ก็คือหลิงหวินจื่อ ผู้ที่เป็นยอดฝีมือแห่งยุค ชายผู้นี้มียุทโธปกรณ์ประจำกายก็คือกระบี่ยาวแปดเซียะ เมื่อสามร้อยปีก่อนนามนี้ได้ลือเลื่องไปทั่วทั้งยุทธภพ ฉะนั้นจะมีผู้ใดที่ไม่ทราบบ้าง? ท่านรีบตอบคำถามของข้าน้อยมาได้แล้ว” กัวเหรินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วกล่าวตัดบทของตนเองในทันที

 

ที่กัวเหรินกล่าวมานั้นไม่มีผิดเพี้ยนเลย ผู้คุมกฎสำนักประตูมนุษย์ของหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ก็คือหลิงหวินจื่อ ชายผู้นี้มีพลังฝีมือที่สูงล้ำอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังถือครองอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ สามร้อยปีมานี้ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถลงมือต่อเขาได้สำเร็จ

 

ทว่าคำบอกเล่าเช่นนั้นกลับได้สะพัดไปทั่วพร้อมกับภาพเสมือนของเขา มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยที่นำภาพของเขาไปบูชาสรรเสริญ ทว่าภาพเสมือนเหล่านั้นกลับเป็นช่วงเวลาที่หลิงหวินจื่อยังเยาว์วัยและกำลังกุมกระบี่ยาวเอาไว้ในมือ ให้ความรู้สึกดั่งเทพแห่งดินแดนมนุษย์กำลังลอยล่องสู่ท้องนภาสีคราม

 

หลงเฉินไม่ได้ตั้งใจจะสืบข่าวนี้ ทว่าได้ยินจากบทสนทนาของคนผู้อื่นมาตลอดทางจึงแอบสงสัยเป็นอย่างมาก และอย่างน้อยในตอนนี้ก็ทราบขึ้นมาบางส่วนแล้วว่าผู้คุมกฎของหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์นั้นเป็นยอดฝีมือในเชิงกระบี่

 

“ในเมื่อเจ้าทราบดีอยู่แล้วว่าผู้คุมกฎได้ใช้กระบี่ยาวเป็นอาวุธ เช่นนั้นเจ้าก็คงจะทราบว่ายอดฝีมือผู้นี้จับกระบี่ด้วยมือข้างขวา นอกเสียจากยามต่อสู้แล้วมือข้างขวาก็คงจะว่างอยู่ตลอดใช่หรือไม่?” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

กัวเหรินกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่และไม่คิดจะกล่าววาจาอันใดออกมาอีก โดยมากแล้วผู้ฝึกยุทธ์จะชักนำกระบี่แตกต่างกัน คนผู้อื่นมักจะเก็บยุทโธปกรณ์ของตัวเองเอาไว้ในแหวนมิติ

 

ทว่าหากเป็นมือกระบี่ที่แท้จริงนั้นมักจะสะพายกระบี่เอาไว้บนแผ่นหลังอยู่ตลอดเวลา หรือไม่ก็จะคาดไว้ที่เอว การกระทำเช่นนี้จึงเป็นความเคยชินของมือกระบี่ซึ่งแตกต่างจากผู้ฝึกยุทธ์อื่น

 

เพราะพวกเขาไม่ได้มองว่ากระบี่ประจำกายเป็นเพียงยุทโธปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ทว่ากลับผสานจิตวิญญาณเข้าด้วยกันราวกับเป็นส่วนหนึ่งชีวิตของตัวเองไปแล้ว เช่นนั้นกระบี่ประจำกายจึงไม่สามารถอยู่ห่างไปจากมือของพวกเขาได้

 

และนอกเสียจากยามต่อสู้แล้ว กระบี่ก็แทบจะอยู่ในฝักตลอดเวลา ไม่มีการไปแตะต้องวัตถุสิ่งของอันใดให้แปดเปื้อน ไม่เช่นนั้นกระบี่เล่มนั้นก็จะคล้ายกับเป็นสิ่งอื่นที่ไม่คุ้นเคยอีกต่อไป

 

อีกทั้งหลงเฉินยังเคยเห็นภาพเสมือนของผู้คุมกฎแห่งสำนักพลิกสวรรค์จากเหล่าผู้เข้าร่วมทดสอบที่นำออกมาเชยชม บนภาพนั้นผู้คุมกฎได้ถือกระบี่โดยใช้มือข้างซ้าย ฉะนั้นเขาจึงมั่นใจหัวเด็ดตีนขาดว่ายอดฝีมือผู้นี้ย่อมต้องใช้มือข้างซ้ายในการชำระล้างอย่างแน่นอน

 

เมื่อได้ยินหลงเฉินหยั่งถามออกมาเช่นนั้น ภายในจิตใจของกัวเหรินจึงเกิดอาการกระสับกระส่ายขึ้นมาอย่างถึงที่สุด แม้จะเกิดความไม่ยินยอมขึ้นมาหลายส่วน ทว่าด้วยเหตุและผลเช่นนี้ย่อมต้องกล่าวว่าเขานั้นได้พ่ายแพ้แล้ว

 

“ท่านเดินหมากได้สูงส่งยิ่งนัก ข้าน้อยพ่ายแพ้แล้ว กล้าได้ก็ต้องกล้าเสีย ข้าน้อยจะยอมบอกสิ่งที่ทราบทั้งหมดแก่ท่าน ทว่าท่านต้องสัตย์สาบานว่าจะไม่บอกต่อผู้อื่น เพราะข้าน้อยยังต้องค้าขายต่อ” กัวเหรินกระซิบกระซาบขึ้นมา

 

“ช่างมันเถิด เจ้าไปทำการค้าของเจ้าต่อไปเถิด ข้าไม่ได้สนใจความลับของเจ้าอยู่แล้ว การสืบเสาะด้วยตัวเองย่อมมีความหมายเสียยิ่งกว่า” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาพร้อมทั้งส่ายหน้าไปมา

 

ภายในโสตประสาทของกัวเหรินเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ชายผู้นี้ปฏิเสธความหวังดีของเขาได้อย่างหน้าตายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงแม้ว่าเขาจะหน้าเลือดอยู่บ้าง ทว่าหลายปีมานี้ก็สามารถทำการค้าจนได้รับสิ่งของที่มีประโยชน์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

เมื่อเห็นว่าหลงเฉินหันกายกลับไปแล้ว กัวเหรินจึงรีบขานเรียกขึ้นมาในทันที “ไม่ได้ ค้าขายกันก็ต้องยึดหลักความยุติธรรม ท่านปฏิเสธเช่นนี้มีแต่ทำให้ข้าน้อยสูญเสียความน่าเชื่อถือไปน่ะสิ”

 

หลงเฉินขำขันชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในใจ พลันก็ได้หันหลังกลับมา ไม่คิดเลยว่าเด็กน้อยที่น่าสงสารผู้นี้จะยึดถือวาจาสัจจะได้ถึงเพียงนี้

 

“เช่นนั้นจงบอกข้ามาว่าเพราะเหตุใดเด็กน้อยที่พ่ายแพ้ไปเมื่อครู่นี้จะต้องถอนตัวจากการรายงานตัวด้วย?” หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามออกมา

 

“เด็กน้อยผู้นั้นหรือ หึหึ เขาเป็นผู้สืบทอดของหุบเหวธารา ซึ่งเป็นคู่อริของยิงหมิงหยาง ก่อนที่จะประมือกันพวกเขาได้ปฏิญาณด้วยคำสัตย์สาบานว่าหากผู้ใดแพ้ ผู้นั้นจะต้องไสหัวออกไปจากสำนักพลิกสวรรค์

 

นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากท่านได้เข้าแล้วจงดูเถิด ยังมีศิษย์ร่วมสำนักมากมายที่มีต้นตระกูลที่สร้างความแค้นร่วมกันมาก่อน ในภายหลังจากนี้ย่อมต้องเกิดศึกคึกคักอีกนับไม่ถ้วนให้ได้ชมอย่างแน่นอน” กัวเหรินพร่ำเพ้อพรรณนาออกมาเหมือนอย่างเช่นเคย

แท้ที่จริงแล้วภายในหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ก็ไม่ต่างไปจากถ้ำเสือแดนมังกรเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เขาคงจะต้องใช้ความคิดจนซับซ้อนเป็นอย่างมากแน่นอน

 

“ใช่แล้ว ข้าน้อยขอเรียนถามนามของท่าน และสถานที่ที่ท่านจากมาด้วย” กัวเหรินเขกไปที่ศีรษะของตัวเองเบาๆ ด้วยท่าทีเขินอายแล้วถามออกมา

 

“เรียกข้าว่าหลงเฉิน ส่วนสถานที่ที่จากมานั้น หึหึ ไม่สะดวกที่จะบอกกล่าวออกไป” หลงเฉินหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

หลงเฉินไม่อาจบอกออกไปได้ว่าตัวเองนั้นมาจากชนบทเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา ทั้งที่ผู้คนที่มายังสถานที่แห่งนี้ต่างก็มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงด้วยกันทั้งนั้น ในสายตาของผู้อื่นแล้วจักรวรรดิเฟิงหมิงเป็นเพียงเมืองที่เป็นชนบทขนาดเล็กมาก อีกทั้งยังไม่มีขุมกำลังที่เป็นหน้าเป็นตาได้

 

อีกทั้งหากบอกกล่าวออกไปแล้วเกรงว่ากัวเหรินจะสงสัยขึ้นมาได้ว่าเขาสามารถครอบครองสัตว์มายาระดับสามอย่างหมาอย่างป่าหิมะแดงเพลิงได้อย่างไร?

 

คนจริงจึงมักจะซ่อนสถานะที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ หากเกิดผลลัพธ์ที่ดีในภายหลังย่อมต้องได้รับการยกย่องเสียยิ่งกว่าผู้คนที่มีตระกูลคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน

 

นอกจากการค้าจะไม่สำเร็จแล้วยังถูกลูบคมเสียได้ ทว่ากลับไม่ได้ลดทอนกำลังใจของกัวเหรินเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงพลิกแพลงกลยุทธ์ไปตามสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมดังเดิม

 

ในขณะเดียวกันก็ได้เกิดความสงสัยในตัวของหลงเฉินอย่างมาก ชายผู้นี้มีวาจาเป็นเลิศ ทว่ากลับมีพลังฝีมือที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัดจนทำให้ผู้คนอื่นไม่สามารถหยั่งความตื้นลึกหนาบางของเขาได้ อีกทั้งภายในดวงตาคู่คมกลับสงบนิ่งประดุจผิวน้ำอันเย็นเยียบ

 

หลงเฉินและกัวเหรินสนทนากันอยู่พักใหญ่ หลงเฉินจึงทราบว่าเด็กน้อยผู้นี้มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ทว่ากลับมีคุณสมบัติด้อยกว่าผู้คนที่มารายงานตัวคนอื่นอยู่ไม่น้อยเลย

 

“ใช่แล้ว พี่หลง ท่านคิดจะหลบภัยอยู่กับขุมกำลังฝ่ายใดกัน?” เมื่อกัวเหรินมองซ้ายขวาแล้วไม่เห็นผู้ใดจึงแอบกระซิบที่ข้างหูของหลงเฉิน ....

 

ติดตามตอนอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : 9 ดารา   <<< (ถึงตอนที่ 320 แล้วครับ)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด