บทที่37: เตือนภัยสู่อันตราย
บทที่37: เตือนภัยสู่อันตราย
วัดอู๋หมิง เดิมเป็นวัดหลวงของราชวงศ์โจวและมิได้มีชื่อเช่นนี้ แต่เพราะจักรพรรดิมัวเมาอยู่ในกิเลสและอำนาจ ทำให้เมินเฉยต่อคุณธรรมและศาสนาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ครั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงยุคสมัย จักรพรรดิแซ่จ้าวขึ้นครองราชย์ วัดแห่งนี้โดนพิษสงคราม เหลือเพียงซากปรักหักพังจนกลายเป็นสถานที่รกร้าง
เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติ ราษฎร์สงบสุข ทว่าที่แห่งนี้กลับไม่คล้อยตามกระแสคล้ายยังถูกยึดติดให้จมอยู่ในอดีตก่อเกิดพลังด้านลบจนทำให้เหล่าวิญญาณตายโหงมารวมตัวกัน ชาวบ้านหลายคนที่เข้ามาหาของป่าหรือล่าสัตว์บางครั้งใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ค้างแรม กลับพบเรื่องสยดสยองและถูกหลอกหลอนจนไม่อาจอยู่พ้นข้ามคืน ทำให้เกิดข่าวลือมากมายจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีกและขนานนามมันว่า อารามอเวจี
กระทั่งหลายปีต่อมาเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เรื่องราวยิ่งเลวร้ายลง เมื่อลูกสาวของผู้อาวุโสที่สุดในแถบนั้นมีอาการแปลกประหลาดคล้ายต้องมนต์สะกด ควบคุมตัวเองไม่ได้ ผู้อาวุโสร้อนใจเชื่อแน่ว่าเป็นเพราะอารามอเวจีจึงนำชาวบ้านขึ้นเขาไปตั้งใจจะเผาทำลายให้สิ้นซาก แต่การณ์กลับกลายเป็นคนกลุ่มนั้นหายไปไม่กลับมา คนที่รออยู่ยิ่งร้อนใจ
โชคดีที่มีนักบวชหนุ่มรูปหนึ่งเดินทางผ่านมาที่นี่ พอได้ฟังเรื่องราว นักบวชรูปนั้นจึงขอให้คนในพื้นที่ช่วยนำทางไปสถานที่แห่งนั้น คราแรกไม่มีใครกล้าไป จนที่สุดเด็กหนุ่มคนหนึ่งเสนอตัว ทั้งสองคนออกเดินทางไปที่แห่งนั้นแล้วช่วยทุกคนกลับออกมา พร้อมขับไล่วิญญาณที่สิงสู่ลูกสาวของผู้อาวุโสให้ไปสู่ภพภูมิที่ควร
นักบวชหนุ่มรูปนั้นนาม เลี่ยงหวง เหตุการณ์ช่วยเหลือชาวบ้านทำให้ทุกคนเลื่อมใส รวมทั้งไป่เลี่ยนที่เวลานั้นเป็นเด็กหนุ่มผู้นำทางนักบวชไปที่อารามอเวจี เขาได้เห็นคาถาอาคมที่นักบวชใช้ จนแน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง ถึงขนาดยอมก้มหัวฝากตัวเป็นศิษย์ แต่เลี่ยงหวงแค่สอนบางวิชาที่เป็นประโยชน์ให้เท่านั้น โดยไม่ได้นับอีกฝ่ายเป็นลูกศิษย์แต่อย่างใด
เมื่อเหตุการณ์สงบลง เลี่ยงหวงตัดสินใจทำการบูรณะวัดแห่งนั้นขึ้นมาใหม่ ถึงจะไม่ดีเท่าเดิมแต่ก็ทำให้ไม่น่ากลัวเท่าเช่นเคย ชาวบ้านต่างก็เห็นชอบเพราะที่แถบนี้ไม่มีวัดอื่นใด ที่สำคัญการที่เลี่ยงหวงอาศัยอยู่ที่นี่ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายส่วนทั้งภายนอกและภายในของสถานที่
ซึ่งมันก็เป็นเช่นที่ทุกคนคาดการณ์ไว้จริงๆ นักบวชหนุ่มนั่งสวดมนต์ปฏิบัติธรรมกรรมฐานส่งวิญญาณที่ตายไม่สงบให้ไปสู่ภพภูมิที่ควรไปจนเกือบหมดสิ้น ก่อนจะตั้งชื่อที่แห่งนี้ขึ้นใหม่ว่าวัดอู๋หมิง (แปลว่านิรนาม) ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข
แต่ทุกสิ่งไม่จีรัง...
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผันใยผู้คนจะไม่เปลี่ยนแปลง หลายปีถัดมา เพราะเลี่ยงหวงไม่ใช่นักบวชแบบที่เน้นพิธีการ สิ่งที่เขาทำคือการขจัดเภทภัยโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณซึ่งไม่อาจพิสูจน์ได้จริง พอมีขุนนางใหม่ถูกย้ายเข้ามาประจำการอยู่ที่แถบนี้ หมู่บ้านตีนเขาเล็กๆ ก็ถูกรวบให้อยู่ในเขตการปกครองไปโดยปริยาย
สิ่งที่ขุนนางคนนั้นไม่พอใจคือการที่ผู้คนศรัทธาพระนอกรีตที่ใช้วิชาอาคม ใช้เวทมนต์หลอกลวงให้คนหลงงมงาย เขาจึงวางแผนจัดฉากให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาเข้าใจผิดว่า เลี่ยงหวงเป็นพวกต้มตุ๋นที่ชั่วร้าย
ไป่เลี่ยนไม่ได้เล่าให้ลูกชายฟังถึงรายละเอียดในเรื่องนี้ ไป่หลงจึงรู้แค่เพียงว่า แผนการนั้นได้ผล ทุกคนหลงกลที่ขุนนางสร้างขึ้นและเสียศรัทธาต่อเลี่ยงหวง มีการลงมือทำร้ายกัน แต่นักบวชไม่ได้ตอบโต้ ที่เข้าทำมีเพียงแค่เก็บตัวจำศีลอยู่ในวัดอู๋หมิงเท่านั้น
เรื่องราวในครานั้นจบลงที่ไป่เลี่ยนซึ่งยังคงเช่นมั่นศรัทธาในตัวเลี่ยงหวง เอ่ยปากขอกับทุกคน เหตุการณ์จึงจบลงโดยที่ไม่บานปลายไปยิ่งกว่านี้ เมื่อเลี่ยงหวงเก็บตัวอยู่แต่ในอาราม ชาวบ้านก็เลิกสนใจเขาแล้วกลับไปเรียกสถานที่แห่งนั้นด้วยชื่ออารามอเวจีอีกครั้งหนึ่ง
เวลานี้ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้วนับตั้งแต่แยกจากบิดา ไป่หลงอยู่ห่างจากวัดไปไม่เกินครึ่งทาง เด็กชายรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่รู้ดีว่าภารกิจเร่งรีบจึงไม่ยอมหยุดพัก ปกติเขาเข้าป่ากับบิดาอยู่บ่อยครั้ง แถมยังเคยไปที่วัดอู๋หมิงอยู่บ้าง การไปที่นั่นเพียงลำพังในตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง หากไม่ใช่เพราะทางดินที่ใช้ กลายเป็นโคลนเหลวจนย่างก้าวได้ลำบาก
ที่สุดของความพยายามทำให้ไป่หลงฝืนเดินต่อไปได้อีกสองลี้ก็ต้องยอมหยุดพักดื่มน้ำเพื่อเอาแรงกลับคืนมา ระหว่างนั้นอีกาตัวหนึ่งถลาลงบนก้อนหินตรงหน้า เด็กชายมองไม่ใส่ใจ แต่พอเขาจะออกเดินทางต่อ มันกลับส่งเสียงร้องทักจนไป่หลงตกใจ
“รีบกลับไป” อีกาสีดำทะมึนตัวนั้นกระพือปีกแรงท่าทางคล้ายกำลังร้อนรน เสียงนั้นดูคุ้นหูอยู่ไม่น้อย
“ละ หลวงพ่อเลี่ยงหวงใช่ไหมครับ?” ไป่หลงเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ
เขาเคยเจอกับเลี่ยงหวงอยู่บ้าง แม้จะไม่ได้ใกล้ชิดสนิทเช่นพ่อ แต่ก็เคยได้ยินเสียงและได้เห็นวิชาอาคมประหลาดๆ ของอีกฝ่ายอยู่ นี่อาจเป็นวิชาสื่อจิตสู่สัตว์ที่บิดาตนเคยเล่าให้ฟัง
“รีบกลับไป ช่วยเด็กคนนั้น รีบกลับไป หาพ่อเจ้า รีบกลับไป ช่วยเด็กคนนั้น รีบกลับไป ที่ช่องเขาเครามังกร รีบกลับไป ช่วยเด็กคนนั้น” เสียงอีกาส่งเสียงพูดซ้ำย้ำวนไปมาอยู่แค่นั้น จนชวนให้รู้สึกขนลุก
ไป่หลงพยายามจดจำทุกคำให้ฝังใจ อยู่ๆ ท้องฟ้าพลันมืดครึ้ม เด็กชายมองดูแล้วแน่ใจว่าอีกไม่นานจะต้องเกิดพายุฝนแน่ แต่เขายังไปไม่ได้ เพราะยังทำภารกิจของพ่อไม่สำเร็จ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับหลวงพ่อ แล้วพวกเราต้องทำอย่างไรจึงจะหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นได้” ไป่หลงถามสิ่งที่ต้องถาม
“รีบกลับไป ช่วยเด็กคนนั้น รีบกลับไป หาพ่อเจ้า รีบกลับไป ช่วยเด็กคนนั้น รีบกลับไป ที่ช่องเขาเครามังกร รีบกลับไป ช่วยเด็กคนนั้น” ทว่าอีกากลับตอบมาแค่คำเดิมเท่านั้น
ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าควรจะทำยังไง อีกาตรงหน้าพลันโผบินขึ้นสู่ฟ้า ไป่หลงจะรั้งไว้แต่ไม่ทันการณ์ เด็กชายมองอย่างกังวล พริบตานั้นเกิดสายฟ้าฟาดผ่าลงเสียงดังสนั่นตรงเข้าที่ตัวอีกา
ไป่หลงสะดุ้งจนล้มลง ในใจผวากลัว สิ่งที่เกิดขึ้นรุนแรงจนเด็กชายไม่ได้เห็นกระทั่งเศษซากของอีกาตนนั้น มีเพียงขนสีดำที่ปลิดปลิวลงมาอย่างเชื่องช้าลงสู่บนหน้าตักของเขา เด็กชายมองขนนกนั่น เกิดเสียงฟ้าร้องคำรามขึ้นอีกครา ไป่หลงไม่รอช้า รวบหยิบขนอีกาสีดำนั่นขึ้นมาเก็บไว้ในอกเสื้อแล้วออกวิ่งกลับไปหาบิดาในทันที
........................................
เสียงฟ้าร้องคำรามคล้ายคำขู่จากสัตว์ร้าย จนจิ้นซาสะดุ้งตกใจพลอยทำให้กวนถงผวาไปด้วย แต่ทั้งสองก็ยังแสดงออกถึงความกลัวไม่เท่ากับอู๋หยางที่วิ่งเตลิดหนีไปตั้งแต่หมาป่าสามหัวกระโจนเข้าใส่ทุกคน
เสียงร้องของชายร่างยักษ์ใจปลาซิวดึงดูดให้ทุกคนหันไปมองหา เมื่อเหลือบมองอย่างตั้งใจ ไป่เลี่ยนจึงเจอเพื่อนเร้นกายซ่อนตนอยู่ในพุ่มไม้ไม่ไกลเกิน
“อาหยาง เป็นอะไรไหม?” ไป่เลี่ยนถาม แต่เสียงของเขาโดนกลบด้วยเสียงตวาดลั่นของกวนถง
“ไอ้เก๋าจ้ง!(แปลว่า ชาติหมา) เพราะเจ้าเกือบทำให้พวกข้าซวย ตอนนั้นถ้าเจ้าไม่ขี้ขลาดขยับตัว พี่เลี่ยนคงยิงธนูใส่มันตายโดยที่พวกเราไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเกือบตายกันแล้ว!!”
อู๋หยางที่คุดคู้พรางกายได้แต่ก้มหน้าใช้สองมือปิดหูพลางส่งเสียงร้องอย่างคุมสติไม่อยู่ ไป่เลี่ยนเห็นสภาพแล้วได้แต่อนาถใจ กวนถงถลันเข้าไปใช้เท้าข้างถนัดเตะใส่อย่างระบายอารมณ์ อู๋หยางสะดุ้งสุดตัวส่งเสียงร้องหนักกว่าเดิม ไป่เลี่ยนรีบห้ามกวนถงไว้
“อาถง พอเถิด แค่นี้อาหยางก็กลัวจนแย่แล้ว เดี๋ยวเกิดวิ่งเตลิดไปจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”
“ให้มันวิ่งไปเลย จะได้โดนไอ้เทาแหว่งฆ่าให้ตาย ไอ้ตัวซวยทำคนอื่นเดือดร้อนจนเกือบตาย!”
“ข้าขอละ เจ้าเองก็ด้วย ถึงฟ้าจะร้องดังแต่ยังขืนตะเบ็งเสียงอยู่เช่นนี้ เกิดมีตัวอะไรมาได้ยิน พวกเราจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่” เมื่อไป่เลี่ยนกล่าว กวนถงจึงยอมฟัง เพราะเห็นควรด้วยเหตุผล
“พี่เลี่ยนแล้วจากนี้จะเอายังไง?” จิ้นซาเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาเพราะเริ่มร้อนใจ หลิวสงเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย
“ไปที่น้ำตกเกล็ดมังกรก่อน ข้าอยากพิสูจน์ให้ชัดว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ไม่ไป ข้าไม่อยากไป พวกเรารีบออกไปจากป่านี้เถอะนะ พี่เลี่ยน ข้ากลัว ข้ายังไม่อยากตายอยู่ที่นี่” อยู่ๆ อู๋หยางถลันเข้ามาเกาะแขนไป่เลี่ยนทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่ง อาการของเขาคล้ายคนเสียสติ
กวนถงเห็นแล้วรำคาญใจจนทนไม่ไหว ถีบเท้าใส่สุดแรงจนอีกฝ่ายล้มตึงโดยที่ไม่มีใครตั้งตัวทัน ไป่เลี่ยนรีบให้จิ้นซารั้งกวนถงไว้ ส่วนตัวเองกับหลิวสงเข้าไปประคองอู๋หยางให้ลุกขึ้น
คนร่างยักษ์ร้องไห้ราวกับเด็ก ไป่เลียนได้แต่ปลอบทั้งที่ในใจก็รู้สึกว่าเวลานี้ควรเร่งรีบออกไปจากจุดที่ยืนกันอยู่ เพราะหวั่นใจว่าจะมีตัวอะไรโผล่มาอีก
“ใจเย็นๆ ถ้าเจ้ากลัวก็ออกไปจากป่านี่ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปดูที่น้ำตกเกล็ดมังกรเอง พวกเจ้าก็ด้วยหากต้องการออกไปข้าก็ไม่ห้าม” ประโยคหลังไป่เลี่ยนหันไปบอกกับกวนถงและจิ้นซา
“ไม่เอา ข้าอยากให้พี่เลี่ยนด้วย เกิดอะไรขึ้นมา หากข้าอยู่คนเดียวคงไม่มีทางเอาชีวิตรอด”
“ไม่มีทางรอดๆ ไอ้ซาจี๊! (แปลว่า สามสลึงหรือไม่เต็มบาท ถ้าให้ตรงตัวก็คือ ไอ้บ้า) เมื่อกี้เจ้าไม่ใช่หรือไงที่วิ่งหนีหางจุกก้นเอาตัวรอดก่อนใคร” คราวนี้กลับเป็นจิ้นซาที่ตะคอกขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
ไป่เลี่ยนส่ายหัวจนใจ หลิวสงตบบ่าเขาคล้ายให้ทำใจ
“พอได้แล้ว! ตอนนี้ตรงนี้อันตรายแค่ไหนพวกเจ้าก็รู้ จะทะเลาะกันก็ไว้หลังจากที่เอาตัวรอดคลี่คลายปัญหาก่อนไม่ได้หรือไง!?” คนที่เป็นเหมือนพี่ใหญ่กล่าวเสียงดุดันขึ้นอย่างสุดทน
ทุกคนนิ่งเงียบลงทันที แม้กระทั่งอู๋หยางที่ยังคุมสติไม่ค่อยอยู่
“ข้าจะไปน้ำตกเกล็ดมังกร มันอยู่ข้างหน้านี่ไม่ถึงสองลี้ด้วยซ้ำด้วย ถึงที่นั่น พิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วจะกลับก็กลับกัน และข้าจะไม่บังคับให้ใครตามไป เพราะมันอาจจะมีอันตรายหรือตัวอะไรอยู่ที่นั่น พวกเจ้าเลือกเอง”
กล่าวจบไป่เลี่ยนก็หยิบสัมภาระที่ตกพื้นแล้วออกเดิน หลิวสงที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก้าวตามทันที กวนถงกับจิ้นซามองหน้ากันอย่างจนใจ สองคนหันไปเหล่มองอู๋หยางด้วยท่าทีที่ยังโกรธเคือง แต่สุดท้ายก็ก้าวตามไป ที่สุดเหลือเพียงคนร่างยักษ์ที่เมื่อทุกคนเดินไปแล้วตัวเขาก็ไม่รอนาน รีบตามไปทันทีเช่นกัน
หนทางเข้าสู่น้ำตกเกล็ดมังกรมีหลายทางที่จะเดินไป ไป่เลี่ยนพยายามดูร่องรอยตามพื้นและกิ่งไม้ใบหญ้ารอบ เพื่อตรวจดูว่ามีสัตว์ประเภทไหนบ้างที่ใช้เส้นทางเดียวกันนี้ แต่ร่องรอยที่เห็นดูสับสนจนไม่อาจจำแนกได้ กระทั่งให้จิ้นซาที่เชี่ยวชาญสุดในด้านการแกะรอย ก็ยังตอบได้ยาก
“มีสัตว์ใหญ่... จากรอยเท้าตรงนี้กับตรงนี้ มันน่าจะเป็นหมูป่า แต่ข้าไม่เข้าใจ ทำไมร่องรอยมันบอกเหมือนกับว่าพวกมันเดินสองขา น่าจะมีมากกว่าหนึ่งตัวด้วย ที่สำคัญคือตรงนี้ รอยเท้าเสือแน่ๆ แต่มันมีหกเท้า”
จิ้นซาพูดตามที่เห็น แต่พูดไปก็ยิ่งคล้ายไม่เห็น กวนถงอยากขัดคอว่าเสือที่ไหนจะมีหกเท้า แต่ในเมื่อเพิ่งรอดชีวิตมาจากหมาป่าสามหัวได้ เสือหกเท้าก็คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่ควรไปทางนี้” ไป่เลี่ยนกล่าว
“แต่ทางไปทางอื่น เราต้องอ้อมไกลพอควรเลยนะ ข้าเกรงว่า...” อู๋หยางสอดขึ้น แต่พอเห็นสายตากวนถงก็รีบหุบปากทันที
“ข้าเห็นด้วยนะ ต่อให้เราอ้อมไปทางอื่นก็ใช่ว่าจะไม่เจออันตราย แถมทางอื่นที่ว่า หนึ่งลาดชัน หนึ่งปีนผา อีกหนึ่งก็ต้องฝ่าดง หากเจออะไรขึ้นมา อย่าว่าแต่จะสู้ แค่จะหนียังอาจไม่ทันได้ขยับตัวด้วยซ้ำไป หนทางนี้นับเป็นทางสะดวกสุดแล้ว” จิ้นซากล่าว คนที่เหลือกระทั่งหลิวสงยังเห็นด้วย
“เช่นนั้นก็ไปทางนี้ อย่าส่งเสียงดังเด็ดขาด แค่เข้าไปให้ใกล้พอที่จะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั้นแล้วรีบออกมา”
ฝนเม็ดหนาเริ่มกระหน่ำถี่แรงขึ้นหลังจากปล่อยให้มีลมพัดโบกและฟ้าส่งเสียงร้องอยู่นาน นั่นทำให้พวกเขาเดินทางกันได้ลำบากขึ้นเพราะพื้นโคลนยิ่งเฉอะแฉะและลื่นจนทรงตัวลำบาก แต่ไป่เลี่ยนกลับมองว่าเป็นข้อดี เพราะมันกลบเสียงและกลิ่นของพวกเขาจนหมดสิ้น
เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงจุดหมายปลายทาง ภาพตรงหน้าในเวลานี้ไม่ต่างจากปกติที่พวกเขาเคยเห็นสักเท่าไหร่
ฝนที่ตกแรงทำให้น้ำตกด้านบนที่คิดว่าหยุดนิ่ง กลับไหลเชี่ยวลงสู่พื้นน้ำด้านล่างจนผิวน้ำขึ้นสูงเอ่อล้นขอบแอ่งทะลักล้นออกมา
สิ่งที่ต่างมีเพียงสองสิ่ง หนึ่งคือน้ำที่กลายเป็นสีเลือดส่งกลิ่นเหม็นเน่าชวนอาเจียนและสองคือซากศพของฝูงสัตว์นับร้อยๆ ตัวที่กำลังโดนเหล่าปีศาจนับไม่ถ้วนรุมทึ้งฉีกกระชากร่างกัดกินอย่างหิวโหย
ราวกับว่าพวกเขาหลุดเข้ามาในขุมนรกอเวจี...