ตอนที่แล้วบทที่ 37 : ภารกิจเหมืองเก่า (2) - ชาวถ้ำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 39 : ภารกิจเหมืองเก่า (4) – หินกลม

บทที่ 38 : ภารกิจเหมืองเก่า (3) – ผู้รอดชีวิต


บทที่ 38 : ภารกิจเหมืองเก่า (3) – ผู้รอดชีวิต

“นี่มันเกินเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่นี้เนี่ย” ในห้วงบรรยากาศน่าสะอิดสะเอียน แสงจากตะเกียงคริสตัลใบน้อยในมือของหุ่นสงครามสาดกระทบให้แสงสลัวในความมืด ท่ามกลางกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลอยู่ภายในโถงรูปก้นชมพู่

ซากศพของเหล่าชาวถ้ำนอนเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณ แต่ละศพไม่อยู่ในสภาพที่สามารถชี้รูปพรรณได้ง่ายๆ เพราะต่างก็ถูกแยกส่วนเป็นชิ้น และจากสภาพอากาศด้านในที่ค่อนข้างเย็น ปราศจากแสงอาทิตย์รวมทั้งไม่มีแมลงทำลายซากยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าพวกเขาทั้งหมดน่าจะตายมาแล้วไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ถึงได้มีกลิ่นเหม็นเน่าได้ขนาดนี้

เอเดลเก็บกลั้นความรู้สึกสะอิดสะเอียนของตัวเอง คว้าเอาตะเกียงในมือของฮอรัสมาถือไว้ด้วยตัวเองก่อนจะเดินไปสำรวจสภาพศพของชาวถ้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด

เธอย่อเข่าลงกับพื้น หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าคาดเอวของตัวเองขึ้นมาห่อฝ่ามือเอาไว้ไม่ให้เปื้อน แล้วพลิกศพไปมา พิจารณาตรวจสอบสภาพศพอย่างละเอียด มองหาเบาะแสและสาเหตุการตายว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่

“บ้าไปแล้ว... อวัยวะภายในหายไปหลายอย่างเลย นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” เอเดลขมวดคิ้วชนกันด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเธอเองก็เคยเรียนกายวิภาคของชาวถ้ำมาจากแม่เหมือนกัน ถึงจะไม่แม่นนักแต่ก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง

ทว่าจากสภาพศพที่อยู่ตรงหน้าของเธอนี้มีหลายๆ อย่างผิดไปจากปกติ เพราะนอกเหนือจากส่วนล่างที่หายไปตั้งแต่สะโพกลงไปแล้ว อวัยวะภายในใหญ่ๆ ที่สำคัญอย่างหัวใจ ปอด และตับเองก็ไม่อยู่

“ผมเห็นรอยเขี้ยว... เขาถูกกิน” ฮอรัสที่นิ่งเงียบอยู่นานตั้งแต่แรกเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ถึงรายละเอียดที่เขาเก็บมาได้ผ่านการใช้สัมผัสรับรู้ของตัวเองตรวจสอบสภาพศพ

“หืม... ถูกกิน?” เอเดลได้ยินการสันนิษฐานของฮอรัสดังนั้นก็พลิกสำรวจศพตรงหน้า มองหารอยเขี้ยวที่ว่า ซึ่งก็เจอจริงๆ

เพียงแต่รอยเขี้ยวขนาดใหญ่ที่เธอเห็นไม่น่าจะใช่สาเหตุการตาย เพราะรอยแบบนี้เป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นหลังจากเหยื่อตายไปได้สักพักแล้ว ทว่าขณะเดียวกันมันก็ใหญ่เกินกว่าจะเป็นรอยกัดแทะของสัตว์กินซากทั่วไป อีกทั้งสัตว์พวกนั้นก็ไม่น่าจะเข้ามาด้านในลึกถึงขนาดนี้

แต่ระหว่างที่เอเดลยังสับสนกับสาเหตุการตายและปริศนาของซากศพจำนวนมากนั้นเอง ฮอรัสก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกำแพงของโถงถ้ำซึ่งบัดนี้แสงสลัวจากตะเกียงส่องให้เห็นร่องรอยประหลาดบนนั้น เป็นรอยครูดขนานกันเป็นแนวสี่รอย ในชั้นหินลึกเข้าไปเกือบนิ้ว ดูคล้ายกับรอยกรงเล็บของสัตว์ป่าเพียงแต่แข็งแกร่งและต้องคมกริบถึงขนาดกินเข้าไปในชั้นหินได้ อีกทั้งยังมีรอยเลือดและเศษเนื้อติดกรังอยู่ใกล้ๆ กัน เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเจ้าของรอยเล็บนั้นอาจเป็นต้นเหตุของการสังหารหมู่ครั้งนี้

เอเดลมองตามฮอรัส เห็นรอยกรงเล็บบนนั้นก็นึกถึงรอยเท้าที่เห็นก่อนหน้าจะเข้ามาในเหมืองเก่า ซึ่งประกอบเข้ากันได้อย่างพอดีกับเบาะแสทั้งหลายตอนนี้ เธอจึงเริ่มกระชับมีดในมือเพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ เพราะถึงรอยเท้าที่เห็นจะมุ่งหน้าออกจากเหมือง ทว่าก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่ามันอาจจะกลับมา หรือมันอาจกลับมานานแล้วก็ได้ ฉะนั้นปลอดภัยไว้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ดี

ผิดกันกับหุ่นสงครามซึ่งดูไปแล้วเหมือนจะไม่เคยยี่หระต่ออันตรายใดๆ เลยแม้แต่น้อย หากมันไม่เข้าถึงตัวเขาจริงๆ เหมือนอย่างตอนต่อสู้กับนักผจญภัยจากสภา

เพราะตอนนี้สายตาสีนิลไม่ได้สอดส่ายระแวดระวังภัยอะไร อีกทั้งอาวุธอย่างเดียวที่มีคือกำปั้น ก็ยังไผ่หลังไว้ใต้เสื้อคลุมไม่ได้เตรียมพร้อมต่อสู้แต่อย่างใด ด้วยว่าส่วนรับสัมผัสของเขายังไม่รู้สึกถึงอันตรายหรือภัยคุกคามใกล้ๆ นี้

“นั่นมันรอยของตัวอะไร... ใช่บลัดคลอว์รึเปล่า” เอเดลเอ่ยถามฮอรัสโดยที่ไม่ได้ละจากศพตรงหน้า ยังพยายามมองหาสิ่งผิดปกติอื่นๆ รวมทั้งเป็นการประเมินจากสภาพศพด้วยว่าวิธีการจู่โจมปลิดชีวิตของสิ่งที่ฆ่าเขานั้นมาในรูปแบบไหนเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์หากเกิดเหตุต้องต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ

“ไม่ใช่... บลัดคลอว์มีสามกรงเล็บและกรงเล็บพวกมันก็ไม่ได้แข็งพอจะฟันเข้าไปในหินแบบนี้” ฮอรัสเอ่ยอธิบายเสียงเรียบแทนคำตอบ ขณะใช้ดวงตาสีนิลเข้ากับบรรยากาศอึมครึมจับจ้องร่องรอยตรงหน้า

“ถ้างั้นมันเป็นตัวอะไร แวร์วูฟ? ไคเมร่า?” เอเดลยังถามต่อ ลงลึกเอ่ยชื่ออสูรชั้นสูงขึ้นมาอีกสองซึ่งมีความเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะล้วนแต่โดดเด่นด้านกรงเล็บพละกำลังและความป่าเถื่อนรุนแรง แต่กลายเป็นว่าตอนนั้นเองที่เธอเห็นฮอรัสส่ายหน้าออกมาเบาๆ

“ผมไม่รู้... ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ มันอาจไม่ใช่รอยของอสูร” พอสิ้นเสียงของฮอรัสเช่นนั้นเอเดลก็ถึงกับต้องหรี่ตาด้วยความไม่เข้าใจ เพราะว่ากันตามตรง แม้แต่นักวิเคราะห์อย่างไอน์ที่ขลุกอยู่กับตำราทั้งวันและน่าจะรู้เรื่องอสูรมากกว่าทุกคนที่เธอเคยรู้จักก่อนหน้านี้ ก็ยังมีคลังความรู้ด้านอสูรไม่ได้ครึ่งเทียบกับของฮอรัส

ตลอดช่วงที่เขาไปๆ มาๆ ระหว่างสวนสมุนไพรกับสมาคมนั้นคือช่วงเวลาที่บันทึกตำราด้านอสูรของสมาคมถูกเพิ่มเติมรายชื่อและรายละเอียดต่างๆ เข้าไปเป็นพันๆ หน้า เพราะงั้นหากว่าฮอรัสเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาเองว่าเขาไม่รู้จักรอยเล็บแบบนี้ แล้วจะมีใครได้อีกที่จะรู้ได้

“นายแน่ใจนะว่าไม่ได้ลืมอสูรตัวไหนไป...”

“ไม่ รอยเล็บแบบนี้ใกล้เคียงที่สุดคือแวร์วูฟ แต่ไม่ใช่ รอยเล็บนี้ลึกและเรียบมาก กรงเล็บของแวร์วูฟไม่คมขนาดนั้น...” ฮอรัสละจากรอยเล็บหันกลับมาอธิบายให้เอเดลฟัง ซึ่งการอธิบายของเขายิ่งทำให้สาวเจ้ายิ่งหวั่นวิตกเข้าไปอีก เพราะถ้าเธอไม่รู้ว่ากำลังเข้ามาพัวพันกับเรื่องอะไร หรือกำลังเอาตัวเองมาเสี่ยงกับสัตว์ประหลาดแบบไหนยังไงมันก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่

เอเดลผละออกจากศพของชาวถ้ำ ลุกขึ้นเดินเข้าไปสำรวจรอยเล็บนั้นใกล้ๆ ให้เห็นกับตาของตัวเอง เผื่อว่าอาจจะหาคำตอบอะไรได้บ้าง ทว่าก็ว่างเปล่า รอยเล็บที่เธอเห็นนั้นเป็นไปตามคำอธิบายของฮอรัสทุกอย่าง และเช่นกันหากว่าฮอรัสไม่รู้ว่ามันคือรอยของตัวอะไร แล้วเธอจะไปรู้อย่างไร “พวกเราบอกอะไรไม่ได้เลยหรอเนี่ย...”

“อันที่จริงผมบอกได้ว่ารอยนี้ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้น มีโอกาสเป็นไปได้สูงถึงแปดในสิบที่รอยนี้อาจจะเกิดขึ้นเมื่อสิบวันก่อน บวกลบวันหรือสองวัน ซึ่งเข้ากันพอดีกับสภาพของศพที่น่าจะเสียชีวิตมาได้ประมาณสิบวันเหมือนกัน... แต่รอยกัดแทะ ฉีกกินอวัยวะของศพมันผิดปกติ มันเป็นรอยใหม่ อาจจะไม่ถึงสิบชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง” ฉับพลันพอฮอรัสพูดจบสีหน้าของเอเดลก็เปลี่ยนไปในทันที เพราะจากสิ่งที่เขาว่ามานั้นคือการสื่อความหมายอย่างชัดเจนว่าสัตว์ประหลาดที่แม้แต่ฮอรัสก็ยังไม่รู้จักนั้นอาจจะยังอยู่ที่นี่ เธอจึงโยนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนศพทิ้งลงกับพื้นให้มือว่างเตรียมพร้อมปะทะเหตุการณ์ไม่คาดฝันทันที

“คราวหน้าบอกให้เร็วนี้นะเจ้าบ้า” เอเดลกดเสียงเข้มเบาๆ พยายามไม่ส่งเสียงมาก เพราะรู้แล้วว่าภารกิจนี้เปลี่ยนไปแล้ว

ต่อให้เธอไม่มีอำนาจตัดสินกำหนดระดับขั้นของภารกิจ แต่เธอก็สามารถประเมินได้ด้วยตัวเองว่าจากภารกิจง่ายๆ แค่เดินทาง เจรจาหาของเป็นภารกิจระดับสิบ ตอนนี้อาจยกระดับขึ้นมาถึงระดับสองหรืออาจจะถึงระดับหนึ่งด้วยซ้ำเพราะยังไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร

จนกระทั่งตอนนั้นเองที่เธอเห็นอาการผิดปกติของฮอรัส เมื่อเขาเริ่มหันหน้าลงต่ำแล้วยกฝ่ามือขึ้นมามองก่อนจะหันกลับไปพินิจรอยเล็บนั้นอีกครั้งราวกับนึกอะไรออก

“มีอะไร นายนึกอะไรได้รึเปล่า” เอเดลกล่าวถามเรียกให้หันฮอรัสหันหน้ากลับมาในแสงสลัวของตะเกียง

“ความจริง.. ผมอาจจะเคยเห็นรอยเล็บแบบนี้มาก่อน มันไม่ใช่รอยของอสูร”

“หมายความว่าไง งั้นมันคือรอยของตัวอะไร” เอเดลชะงักไปพริบตาหนึ่งจึงถามต่อ ก่อนที่ฮอรัสจะเริ่มอธิบายสิ่งที่เขาประมวลออกมาได้ผ่านความทรงจำ ซึ่งทำให้เธอถึงกับนิ่งอึ้ง

“ปีศาจที่สถิตร่างของนักผจญภัยที่สู้กับผมในตอนนั้น ฝ่ามือข้างนึงของเขามีกรงเล็บที่สามารถสร้างรอยคล้ายๆ กันกับแบบนี้ได้... มันแข็งและคมพอจะสร้างความเสียหายเป็นรอยบนโครงโลหะของผม” หุ่นสงครามกล่าวถึงการต่อสู้ระหว่างเขากับปีศาจคลั่งแห่งเทม ซึ่งเอเดลเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และจากสิ่งที่เธอเห็นกว่าฮอรัสจะชนะมาได้ก็นับว่ารากเลือด มันคือการต่อสู้เพียงครั้งเดียวที่เธอเห็นฮอรัสเอาจริงจนร่างแทบจะสลาย หากไม่นับการประลองซึ่งเกิดอุบัติเหตุจนทำให้แขนของเขาขาด การต่อสู้กันของปีศาจคลั่งและหุ่นสงครามในคราวนั้นคือครั้งเดียวที่มีคนสร้างความเสียหายถึงแก่นร่างของฮอรัสได้

เอเดลเองได้ฟังเช่นนั้นก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่กล้าหายใจแรงด้วยกลิ่นเหม็นคลุ้งยังอบอวล แต่แสดงท่าทางตื่นตระหนกออกมาอย่างชัดเจน “นาย อย่าบอกนะว่าหมายถึงร่างปีศาจของคุณฮาบิ นั่นมัน... นั่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก” แต่ยังไม่ทันให้สาวเจ้าพูดต่อจนจบ ฮอรัสก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

“ถ้าหากว่ามันคือปีศาจแบบเดียวกัน ผลลัพธ์ในการปะทะคราวนี้อาจแตกต่างออกไป... ผมไม่อยู่สภาพที่พร้อมจะต่อสู้แบบตอนนั้น...” ฮอรัสเอ่ยเสียงเรียบในลำคอ

สื่อความหมายว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจว่ถ้าาต้องต่อสู้กับปีศาจแห่งเทมอีกครั้งด้วยสภาพที่มีแขนแค่ข้างเดียวเช่นนี้จะสามารถเอาชนะได้ อีกทั้งเขาเองก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา ซึ่งมันค่อยๆ ละลายความเป็นตุ๊กตาสงครามในตัวเขาลงไปช้าๆ โดยที่ไม่รู้ตัว

“ผมเข้าใจว่าเราตกลงกันไว้ว่าคุณเอเดลคือคนที่ตัดสินใจ แต่คราวนี้ผมจำเป็นเลือกลำดับความสำคัญเป็นการปกป้องคุณเอเดลตามคำสั่งภารกิจของคุณเอลีอาเป็นลำดับแรก ผมจำเป็นต้องปฏิเสธคำสั่งภารกิจค้นหาแร่ชั่วคราว”

ฮอรัสละจากร่องรอยบนกำแพง เดินเข้าหามาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ เอเดลคล้ายต้องการจะให้ได้ยินสิ่งที่เขาพูดชัดๆ แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่มาตรการเพิ่มเติมสำหรับภารกิจปกป้องคุ้มครองซึ่งรับปากกับเอลีอาเอาไว้ เพราะอย่างไรหากเกิดเหตุขึ้นการอยู่ใกล้ๆ ย่อมจัดการอะไรได้ง่ายกว่าหลายเท่า

ฝั่งเอเดลเองถึงจะรู้สึกอึดอัดไม่ได้ดั่งใจที่ฮอรัสพูดเหมือนเธอเป็นเด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้ต้องให้คอยปกป้อง แต่ในสถานการณ์ที่เขาว่ามามันก็เป็นเรื่องที่จริง เถียงอะไรไม่ได้ อีกทั้งต่อให้เป็นเธอก็คงจะตัดสินใจคล้ายๆ กัน

ภารกิจนี้มันบานปลายผิดจากดั้งเดิมมากเกินไปแล้ว ยังไงก็ต้องกลับไปรายงานกับสมาคมเพื่อวางแผนใหม่อีกครั้ง พอคิดได้แบบนั้นเธอจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ เพื่อลดความตึงเครียด

“ก็ได้... พวกเราจะยกเลิกภารกิจนี้ไปก่อน กลับไปสมาคมวางแผนกันใหม่” เอเดลมองหน้าฮอรัสก่อนจะลุกขึ้น กวาดสายตาเก็บรายละเอียดของสิ่งที่เห็นทั้งหมดอีกครั้งเพื่อใช้ประเมินและเป็นข้อมูลให้กับไอน์ในการวิเคราะห์

แต่แล้วตอนนั้นเองที่ฮอรัสพลันแสดงท่าที่ผิดปกติ เขากำหมัดสะบัดข้อมืออย่างแรงจนเกิดเสียงโลหะปะทะกันภายในกำปั้นพร้อมกับเคลื่อนที่เข้ามาบังหน้าเธอเอาไว้ บ่งบอกถึงการเตรียมพร้อมเข้าปะทะ

“ผมสัมผัสได้ถึงชีวิตใกล้ๆ นี้ แต่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร...” เขาเอ่ยเสียงเรียบฟังดูไร้อารมณ์ แต่สำหรับเอเดล ไม่ว่าเธอจะคิดไปเองหรือไม่ แต่เธอรู้สึกได้ว่าฮอรัสกำลังกำลังแสดงความกังวลออกมา

และในแสงสลัวนั้นเองที่กองศพห่างออกไปเริ่มมีการเคลื่อนไหวเล็กๆ ดึงดูดสายตาของเอเดลให้ต้องจับจ้อง เธอเก็บมีดสั้นของตัวเองกลับเข้าฝักแล้วหยิบเอาคันธนูออกมาง้างเล็งไว้ทันทีพร้อมกับไอความเย็นที่เริ่มแผ่กระจายออกมาจากลูกศร เช่นกันกับฮอรัสที่ค่อยๆ ย่อเข่าเล็กน้อยเตรียมพร้อมเคลื่อนที่เข้าจู่โจมก่อนทันทีหากพบว่ามีอันตราย

“ชะ ช่วยด้วย... ผมได้ยิน ผมได้เสียงพวกคุณ.. ช่วยด้วย” พลันทุกอย่างก็กลับตาลปัตรทันที เมื่อภาพของสิ่งที่เคลื่อนไหวออกมาจากกองซากศพนั้นคือเด็กหนุ่มชาวถ้ำ ซึ่งกำลังคลานออกมาด้วยสภาพอิดโรยบาดเจ็บ บ่งบอกว่าเขาอาจจะซ่อนตัวอยู่ในกองศพแบบนี้มานานหลายวันโดยที่ไม่ได้กินอะไรเลยเป็นสัปดาห์ หรืออาจหลายสัปดาห์ เพื่อรอคอยความช่วยเหลือ

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด